พบผลลัพธ์ทั้งหมด 17 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 209/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาชี้ชัดจำเลยประมาทขับรถชนผู้เสียหาย หลักฐานแน่น พยานยืนยัน การรับสารภาพไม่ช่วยลดโทษ
บนถนนที่เกิดเหตุเป็นทางตรง มีรถยนต์กระบะของจำเลยแล่นมาเพียงคันเดียว แม้โจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานเห็นตอนที่รถจักรยานยนต์ของผู้ตายถูกชนก็ตาม แต่ภิกษุ จ. ซึ่งขับรถจักรยานยนต์สวนกับรถยนต์กระบะสีน้ำเงินที่ชนรถจักรยานยนต์ของผู้ตายก็เห็นแทบจะในทันทีทันใดทั้งก่อนและหลังเกิดเหตุ และห่างจากที่เกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตรส่วน ท. ซึ่งรู้จักจำเลยมานานเพราะเป็นเพื่อนบ้านกันก็เห็นจำเลยขับรถยนต์กระบะคันดังกล่าวเป็นประจำ นอกจากนี้เมื่อนำรถจักรยานยนต์ของผู้ตายและรถยนต์กระบะของจำเลยมาเปรียบเทียบร่องรอยที่เกิดขึ้นแล้วสามารถเข้ากันได้ และจากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญตามหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์พบว่า เศษสีฟ้าที่ปลายคันเบรกรถจักรยานยนต์และที่คอปกเสื้อที่หน้าอกของผู้ตายมีลักษณะและคุณสมบัติน่าเชื่อว่าเป็นสีฟ้าชนิดเดียวกับสีฟ้าของรถยนต์จำเลย แม้จะไม่สามารถบอกยี่ห้อสีได้ก็มิใช่ข้อพิรุธ แต่การที่จำเลยอ้างว่านำรถไปซ่อมปะผุแล้วซื้อสีมาพ่นเองกลับเป็นพิรุธ เพราะรถมีรอยซ่อมข้างขวาเพียงด้านเดียวเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมสอดคล้องต้องกัน โดยเฉพาะเจ้าพนักงานตำรวจก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ทั้งได้ปฏิบัติงานตามหน้าที่ไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 291
เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่เจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้วจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้
เหตุบรรเทาโทษเพราะรับสารภาพนั้นจะต้องให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา การที่เจ้าพนักงานตรวจสอบพบการกระทำผิดจากรถยนต์ของจำเลยที่ยึดมาแล้วจึงได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติม แม้จำเลยไม่ให้การรับสารภาพก็ย่อมพิสูจน์ความผิดได้โดยง่าย จึงเป็นการจำนนต่อหลักฐานไม่สมควรลดโทษให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 833/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความน่าเชื่อถือของพยานหลักฐานในคดีลักทรัพย์: คำเบิกความขัดแย้งและขาดพยานยืนยัน
ผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยกับผู้เสียหายเข้าพักในโรงแรมที่เกิดเหตุเมื่อผู้เสียหายหลับไปและตื่นขึ้นปรากฏว่าจำเลยไม่อยู่ในห้องพักและทรัพย์สินของผู้เสียหายสูญหายไป ผู้เสียหายลงไปที่เคาน์เตอร์โรงแรมและแจ้งให้พนักงานโรงแรมทราบ แต่พนักงานโรงแรมซึ่งอยู่ที่เคาน์เตอร์โรงแรมในคืนเกิดเหตุกลับเบิกความว่าผู้เสียหายออกจากโรงแรมเวลาประมาณ5 นาฬิกา โดยไม่ได้พูดอะไรเลย คำเบิกความพยานโจทก์จึงเป็นพิรุธซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ประกอบกับไม่ได้ตรวจพบทรัพย์สินของผู้เสียหายที่จำเลยและพนักงานโรงแรมมิได้ยืนยันว่าจำเลยเป็นบุคคลเดียวกับสุภาพสตรีที่มากับผู้เสียหายในคืนที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานโจทก์จึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยเป็นคนร้าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7432/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน - พยานยืนยันเหตุการณ์ต่างจากคำเบิกความอื่น และมีพยานสนับสนุน
แม้ ล. ประจักษ์พยานได้นั่งอยู่ในห้องพิจารณาด้วยในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความต่อศาลก็ตาม แต่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่า เห็นเหตุการณ์ตอนไฟไหม้บ้านแล้ว ไม่เห็นว่าใครเป็นคนจุดไฟ ส่วน ล. เบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยเป็นคนใช้ไฟแช็กจุดไฟเผาบ้านผู้เสียหายที่ 1 แล้วไฟลุกลามไปไหม้บ้านผู้เสียหายที่ 2 บางส่วนด้วยคำเบิกความของ ล. จึงมิได้เบิกความตามที่ได้ยินผู้เสียหายทั้งสองเบิกความแต่อย่างใดทั้งโจทก์ยังมี ค. ประจักษ์พยานอีกปากหนึ่งเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนจุดไฟเผาบ้านผู้เสียหายที่ 1 แล้วไฟลุกลามไหม้บ้านผู้เสียหายที่ 2 สอดคล้องกัน คำเบิกความของ ล. จึงรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7432/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานหลักฐาน - พยานยืนยันเหตุการณ์ต่างจากคำให้การอื่น ไม่ขัดแย้งกับพยานอื่น
แม้ ล. ประจักษ์พยานได้นั่งอยู่ในห้องพิจารณาด้วยในขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความต่อศาลก็ตาม แต่ผู้เสียหายทั้งสองเบิกความว่า เห็นเหตุการณ์ตอนไฟไหม้บ้านแล้ว ไม่เห็นว่าใครเป็นคนจุดไฟ ส่วน ล. เบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยเป็นคนใช้ไฟแช็กจุดไฟเผาบ้านผู้เสียหายที่ 1 แล้วไฟลุกลามไปไหม้บ้านผู้เสียหายที่ 2 บางส่วนด้วยคำเบิกความของ ล. จึงมิได้เบิกความตามที่ได้ยินผู้เสียหายทั้งสองเบิกความแต่อย่างใดทั้งโจทก์ยังมี ค. ประจักษ์พยานอีกปากหนึ่งเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนจุดไฟเผาบ้านผู้เสียหายที่ 1 แล้วไฟลุกลามไหม้บ้านผู้เสียหายที่ 2 สอดคล้องกัน คำเบิกความของ ล. จึงรับฟังได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 738/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปล้นทรัพย์ด้วยอาวุธปืน: พยานยืนยันตัวผู้กระทำผิดจากลักษณะรูปร่างและคำให้การรับสารภาพ
แม้จำเลยจะสวมหมวกไหมพรมสีดำปิดหน้าถึงบริเวณคิ้วแต่สามารถเห็นหน้าและพยานโจทก์ทั้งสามเบิกความยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนจี้ขู่บังคับพยานจำหน้าจำเลยได้แม่นยำ เนื่องจากบริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟนีออนและสปอทไลท์ เปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ประกอบกับก่อนเกิดเหตุ 1 วัน จำเลยได้มาคุยกับผู้เสียหายที่ 1 ขอทำงานอยู่เป็นเวลา 2 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุผู้เสียหายที่ 1 ได้เดินทางไปแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจที่ตู้ยามพร้อมกับยืนยันว่าคนร้ายคือจำเลยพยานทั้งสามไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าเบิกความไปตามที่เป็นจริง นอกจากนี้โจทก์ยังมี ท.พนักงานสอบสวนมาเบิกความว่า เมื่อจับกุมจำเลยได้แล้วได้แจ้งข้อหาจำเลยว่าร่วมกันปล้นทรัพย์ผู้อื่นและมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพ เมื่อท. เป็นเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยน่าเชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพชั้นจับกุม และชั้นสอบสวนด้วยความสมัครใจ ที่จำเลยนำสืบว่าเจ้าพนักงานตำรวจบอกให้ลงลายมือชื่อแล้วจะกันไว้เป็นพยานโดยไม่ได้อ่านข้อความให้ฟังนั้น เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่มีน้ำหนักที่จะรับฟังเมื่อฟังคำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนประกอบคำเบิกความของประจักษ์พยานทั้งสามแล้ว เชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 180/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานยืนยันจำเลย 2 คือคนร้ายชิงทรัพย์ฆ่าผู้ตาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 2 แต่แก้เรื่องค่าชดใช้
แม้โจทก์มีบ. ประจักษ์พยานยืนยันว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันชิงทรัพย์และฆ่าผู้ตายเพียงปากเดียวแต่บ. มีโอกาสเห็นคนร้ายหลายครั้งและเห็นจำเลยที่2ในตลาดซึ่งแสงไฟฟ้าส่องสว่างบ.มีอาชีพเป็นยามมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในตลาดย่อมมีความระมัดระวังและต้องใช้ความสังเกตเป็นพิเศษเพราะจำเลยที่2ขับรถจักรยานยนต์มาวนเวียนอยู่ที่ตลาดหลายเที่ยวในเวลายามวิกาลเป็นการผิดปกติโดยเฉพาะตอนที่บ. เดินไปตีระฆังบอกเวลาได้เดินสวนกับจำเลยที่2ซึ่งนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ที่ซึ่งมีแสงไฟนีออนส่องสว่างเมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัวจำเลยที่2มาให้ดูหลังเกิดเหตุประมาณ19ชั่วโมงบ. ก็ยืนยันทันทีโดยไม่ลังเลว่าจำเลยที่2เป็นคนร้ายทั้งระบุด้วยว่าเพื่อนจำเลยที่2ที่ถูกจับมาด้วยอีกคนหนึ่งไม่ใช่คนร้ายบ. ไม่เคยรู้จักหรือมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่2มาก่อนคำพยานมีเหตุผลและมีน้ำหนักน่าเชื่อถือว่าจำเลยที่2ได้ไม่ผิดตัว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 582/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ชิงทรัพย์โดยใช้กำลัง ผู้เสียหายและพยานยืนยันตัวตนคนร้าย มีหลักฐานรับสารภาพและชี้จุดเกิดเหตุ
เมื่อผู้เสียหายและนางสาว ค. ประจักษ์พยานโจทก์ซึ่งไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุที่จะปรักปรำจำเลยต่างยืนยันว่าจำเลยกับพวกร่วมกันชิงทรัพย์สร้อยคอทองคำของผู้เสียหายทั้งภายหลังเกิดเหตุไม่นานเมื่อร้อยตำรวจโท ส. จับจำเลยมาจากห้องน้ำซึ่งจำเลยเข้าไปซ่อนตัวอยู่ผู้เสียหายก็ยืนยันในขณะนั้นว่าจำเลยเป็นคนร้ายในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจำเลยก็ให้การรับสารภาพตลอดมาและยังได้นำพนักงานสอบสวนไปชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพให้ถ่ายภาพไว้ด้วยพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังได้แน่ชัดปราศจากสงสัยว่าจำเลยร่วมกับพวกกระทำผิดจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 49/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานไม่เพียงพอ การจำผิดตัว และพยานยืนยันฐานที่อยู่จำเลย ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย
พยานโจทก์ไม่เคยรู้จักคนร้ายทั้งสองมาก่อน วันเกิดเหตุเวลากลางวันคนร้ายทั้งสองเข้ามาสั่งสุราและกระทิงแดง อย่างละหนึ่งขวดนั่งดื่ม ตามปกติอยู่ในร้านของโจทก์ร่วม ไม่มีอาวุธร้ายแรงติดตัวและยังสั่งอาหารมารับประทานอีกด้วย ขณะคนร้ายทั้งสองรับประทานอาหารก็มีลูกค้าคนอื่นเข้ามารับประทานอาหาร 1 คน และมีคนมาติดต่อธุระกับบุตรสาวของโจทก์ร่วมอีก 1 คน คนร้ายรับประทานอาหารนานประมาณ1 ชั่วโมง ไม่มีพิรุธใด ๆ ที่เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมและพยานโจทก์สนใจเป็นพิเศษกว่าลูกค้ารายอื่น ๆ ขณะเกิดเหตุ คนร้ายใช้มีดปังตอฟันโจทก์ร่วมเป็น เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นโดยรวดเร็ว เชื่อ ว่าพยานโจทก์จำคนร้ายได้เพียงคลับคล้ายคลับคลา โดยจดจำเครื่องแต่งกายเป็นหลักเมื่อดู ภาพถ่ายคนร้ายพยานโจทก์ต้องดู ภาพถ่ายถึง 3 รอบ และใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง แสดงว่าพยานไม่แน่ใจ ปรากฏว่าจำเลยได้ลาออกไปจากบริษัทที่พยานไปดู ภาพถ่ายประวัติคนงานในหลายเดือนแล้ว พยานโจทก์อาจจำคนร้ายผิดพลาดว่าเป็นจำเลยก็ได้หลังจากเกิดเหตุ ประมาณเดือนครึ่ง เจ้าพนักงานตำรวจพาพยานโจทก์ไปดู ตัวจำเลยซึ่ง บวชเป็นพระภิกษุ พยานโจทก์บางปากไม่ยอมชี้ ตัวจำเลยว่าเป็นคนร้าย ในครั้งแรกโดยอ้างว่ากลัวบาป แสดงว่าพยานโจทก์ปากดังกล่าวไม่แน่ใจเกี่ยวกับคนร้าย หลังจากเกิดเหตุจำเลยไม่ได้หลบหนี แต่กลับมาพบเจ้าพนักงานตำรวจโดยดีและยอมให้สึกจากพระภิกษุ แสดงถึงความบริสุทธิ์ ของจำเลยคดีมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันยิงผู้อื่นเสียชีวิต พยานยืนยันจำเลยเป็นผู้ก่อเหตุ แม้ไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์โดยตรง
เกิดเหตุเวลากลางคืนใกล้เวทีชกมวยซึ่งมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด แม้ไม่มีประจักษ์พยานเห็นจำเลยยิงผู้ตาย แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเมื่อเสียงปืนดัง ขึ้นมี บ. พยานซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุมองไปตามเสียงปืนเห็นจำเลยกับพวกอีก 1 คน ยืนถืออาวุธปืนอยู่คนละกระบอกแล้ววิ่งผ่าน ม. พยานอีกคนหนึ่งเข้าป่าไป ขณะนั้นเจ้าหน้าที่สายตรวจทราบเหตุทางวิทยุจึงขับรถมายังที่เกิดเหตุพบจำเลยกับพวกคนหนึ่งเดิน อยู่จึงขอตรวจค้นจำเลยกับพวกวิ่งหนี เจ้าหน้าที่ตำรวจจับจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนแล้วพาจำเลยมายังที่เกิดเหตุ ม. ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุเบิกความว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่วิ่งผ่านพยานหนีเข้าป่าไปและหลังเกิดเหตุสิบกว่าวัน บ. มาดู ตัวจำเลยและยืนยันว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งในจำนวนสองคนที่ยืนถืออาวุธปืนอยู่ในที่เกิดเหตุ ขณะเกิดเหตุมีแต่จำเลยกับพวกเท่านั้นที่ถืออาวุธปืนอยู่ เสียงปืนดัง มาจากกลุ่มของจำเลยกับพวกซึ่งมีเพียง2 คน พฤติการณ์ดังนี้ถ้า จำเลยไม่ได้ยิงพวกของจำเลยก็ต้องยิงการที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยแสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันที่จะยิงผู้ตาย พยานโจทก์ดังกล่าวจึงฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงผู้อื่น โดยมีพยานยืนยันเห็นจำเลยในที่เกิดเหตุและถืออาวุธปืน
เมื่อเสียงปืนดังขึ้น บ. เห็นคนแปลกหน้า 2 คน ยืนถืออาวุธปืนคนละกระบอกและวิ่งผ่านหน้า ห. หนีเข้าป่าไป ต่อมาตำรวจพบจำเลยกับพวกเดินอยู่จึงขอตรวจค้น แต่จำเลยกับพวกวิ่งหนี ตำรวจจับกุมจำเลยได้พร้อมอาวุธปืนพามาให้ ห. ดูตัวห. ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนหนึ่งที่วิ่งผ่านตนไป และ บ. ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนหนึ่งที่ถืออาวุธปืนในที่เกิดเหตุประกอบกับจำเลยมีลักษณะเตี้ยเป็นพิเศษเป็นลักษณะเด่นชัดจำได้ง่าย ทั้งเหตุเกิดขึ้นใกล้เวทีชกมวยย่อมมีแสงสว่างเห็นได้ถนัด เชื่อว่าจำเลยเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่งที่ บ. กับ ห. เห็น แม้จะไม่มีผู้ใดรู้เห็นขณะเกิดเหตุ แต่เมื่อขณะเกิดเหตุจำเลยกับพวกเท่านั้นถืออาวุธปืนอยู่ และเสียงปืนดังขึ้นจากกลุ่มของจำเลยกับพวก ถ้าจำเลยไม่ได้ยิง พวกของจำเลยก็ต้องยิง การที่จำเลยวิ่งหนีไปพร้อมกับพวกโดยถืออาวุธปืนไปด้วยกันเช่นนี้ แสดงว่าจำเลยกับพวกมีเจตนาร่วมกันยิงผู้ตาย