คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
พิพากษาเกินคำขอ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 73 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5601/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ศาลฎีกามีอำนาจปรับบทกฎหมายให้ถูกต้องได้
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานพาอาวุธปืนฯ ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ เท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 371 ด้วยเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาปรับบทกฎหมายที่ลงโทษจำเลยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2762/2548

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องในคดีอาญา: การริบของกลาง
ตามคำขอท้ายฟ้องโจทก์มีคำขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมายและสั่งริบเมทแอมเฟตามีนที่เหลือจากการตรวจพิสูจน์ กับโทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง ของกลาง และบวกโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาของศาลชั้นต้นเข้ากับโทษจำเลยที่ 1 ด้วยเท่านั้น โดยไม่ได้มีคำขอให้ริบเงินจำนวน 82,500 บาท ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบของกลางโดยไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าให้ริบของกลางอะไรบ้าง จึงย่อมหมายถึงเฉพาะของกลางที่โจทก์กล่าวมาในคำขอท้ายฟ้อง การที่ศาลอุทธรณ์เข้าใจว่าศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ริบเงินจำนวน 82,500 บาท ด้วยจึงได้หยิบยกปัญหาว่าเงินของกลางจำนวน 82,500 บาท มิได้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ซึ่งได้ใช้เฉพาะความผิดในคดีนี้ขึ้นวินิจฉัยและพิพากษาแก้เป็นว่าไม่ริบเงินจำนวน 82,500 บาท โดยให้คืนเจ้าของ จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 292 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3368/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอในคดีไถ่ถอนขายฝาก ศาลฎีกาตัดสินให้ตัดคำสั่งคืนเงินออกจากคำพิพากษา
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ไปจดทะเบียนไถ่ถอนการขายฝากที่ดิน โดยอ้างว่าโจทก์ได้ผ่อนชำระค่าไถ่ถอนให้จำเลยจำนวน 74,500 บาท ครบถ้วนตามสัญญาขายฝากแล้วและมีคำขอให้บังคับจำเลยทำการเพิกถอนนิติกรรมสัญญาขายฝากและคืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ไปดำเนินการจดทะเบียนไถ่ถอน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา จำเลยให้การต่อสู้ว่า โจทก์มิได้ไถ่ถอนที่ดินภายในกำหนด ที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์มิได้กล่าวอ้างหรือตั้งประเด็นเกี่ยวกับความรับผิดฐานลาภมิควรได้และมีคำขอให้บังคับจำเลยคืนเงินจำนวน 67,500 บาท ที่ชำระไปแก่โจทก์ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ใช้สิทธิไถ่ถอนภายในกำหนด จึงหมดสิทธิไถ่ถอนที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 492 กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทตกเป็นของจำเลยโดยเด็ดขาด แต่เห็นว่าเงินไถ่ถอนจำนวน 67,500 บาท จำเลยรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ แล้วพิพากคืนเงินจำนวน 67,500 บาท แก่โจทก์ จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอและเป็นเรื่องนอกฟ้องนอกประเด็นต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6095/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอน น.ส.3ก. ที่ทับทางสาธารณประโยชน์ และการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกาแก้ไขให้ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่ทับที่ดินของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้ข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ ซึ่งหากศาลพิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำขอของโจทก์ก็ย่อมเป็นผลให้โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกลับคืนมา คดีของโจทก์ในส่วนที่ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่อ้างว่าออกทับที่ดินของโจทก์จึงเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อที่ดินมีราคา 32,000 บาท ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง
โจทก์ขอให้เปิดทางสาธารณประโยชน์ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยมิได้มีคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในส่วนที่ทับทางเกวียนแต่ประการใด ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เฉพาะส่วนที่ทับทางเกวียน จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง และปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นมาแก้ไขให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7321/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนฟ้องคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว และการพิพากษาเกินคำขอ/ข้อเท็จจริงไม่ตรงตามฟ้อง
คดีอาญาที่เป็นความผิดต่อส่วนตัว โจทก์จะถอนฟ้องในเวลาใดก่อนคดีถึงที่สุดก็ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 ได้ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)
การที่ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ยักยอกทรัพย์ของโจทก์ไปเพียง 200,000 บาท มิใช่จำนวน 325,000 บาท ตามที่โจทก์ฟ้อง เป็นเพียงข้อแตกต่างกันในรายละเอียดของทรัพย์ที่ถูกจำเลยที่ 1 ยักยอก มิใช่การ แตกต่างกันในข้อเท็จจริงอันจะทำให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ไม่เป็นความผิด ทั้งจำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธต่อสู้คดี โดยตลอดมิได้หลงต่อสู้คดีแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับ ข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องในข้อสาระสำคัญและไม่ใช่กรณีที่ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานยักยอก เกินคำขอแต่อย่างใด
เมื่อโจทก์ประกอบกิจการขายรถยนต์โดยมีจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขา ดำเนินการติดต่อลูกค้าแทนโจทก์ โดยจำเลยที่ 1 ครอบครองเงินที่นาย อ. ลูกค้าชำระให้โจทก์แล้วไม่ส่งมอบให้โจทก์ตามหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็น การกระทำความผิดหน้าที่ของตนด้วยประการใด ๆ โดยทุจริตเบียดบังเอาทรัพย์นั้นไว้เป็นของตน จำเลยที่ 1 จึงมี ความผิดฐานยักยอก แต่การทำสัญญาซื้อขายและการชำระราคารถยนต์เป็นเรื่องความไว้วางใจกันระหว่างโจทก์กับ ลูกค้าเป็นการเฉพาะราย มิใช่กับประชาชนทั่วไป การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ตามมาตรา 354 คงมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ตามมาตรา 352 เพียงมาตราเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6380/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอและขอบเขตการบังคับคดีในคดีทางจำเป็น ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้ชัดเจน
ทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินโจทก์ แต่ก็ยังคงเป็นของจำเลยทั้งโจทก์มิได้มีคำขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับทางพิพาทการที่ศาลพิพากษาห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับทางพิพาทจึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5633/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอในคดีเกี่ยวกับยาเสพติด: ศาลสามารถลงโทษฐานความผิดที่ถูกต้องได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีกัญชาน้ำหนัก 576.200 กิโลกรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตโดยโจทก์อ้างบทลงโทษตามมาตรา 76 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตราดังกล่าวได้อ้างถึงมาตรา 26 ซึ่งเป็นบทห้ามและข้อสันนิษฐานเด็ดขาดเกี่ยวกับการมียาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายไว้ด้วย เพียงแต่โจทก์มิได้ระบุมาตรา 26 มาในคำขอท้ายฟ้องส่วนมาตรา 25 ที่โจทก์ระบุมานั้นไม่ใช่บทบัญญัติที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดของจำเลยตามที่โจทก์ฟ้องเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างบทมาตราผิดศาลมีอำนาจลงโทษจำเลยตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคห้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2596/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการโอนที่ดินเนื่องจากประพฤติเนรคุณและการพิพากษาเกินคำขอ ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์
คำขอท้ายฟ้องของโจทก์ระบุว่า ให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ และจดทะเบียนโอนสิทธิเฉพาะส่วนของโจทก์เนื้อที่ 3 ไร่ 1 งาน 81 ตารางวา คืนแก่โจทก์เพราะเหตุที่จำเลยทำการโอนที่ดินดังกล่าวเป็นของจำเลยโดยไม่มีอำนาจกับขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนการให้ที่ดินจำนวน 1 ไร่ กลับคืนเป็นของโจทก์ตามเดิม เพราะเหตุที่จำเลยประพฤติเนรคุณ แสดงว่า โจทก์ประสงค์จะบังคับจำเลยให้คืนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เนื้อที่ 4 ไร่ 1 งาน81 ตารางวา แก่โจทก์ทั้งแปลง เพียงแต่เหตุแห่งการเพิกถอนต่างกันเท่านั้น การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยส่งมอบต้นฉบับหนังสือรับรองการทำประโยชน์และโอนที่ดินทั้งแปลงคืนแก่โจทก์ จึงไม่เกินคำขอ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นย่อมพิพากษาให้เพิกถอนการให้ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 แต่โจทก์มิได้ยกที่ดินให้จำเลยทั้งแปลงดังที่ศาลชั้นต้นพิพากษาคดีจึงยังมีประเด็นว่า โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยเนื้อที่เท่าใดซึ่งศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัย อันเป็นการมิได้ตัดสินตามข้อหาทุกข้อตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 วรรคหนึ่ง ศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วส่งสำนวนคืนไปให้พิพากษาใหม่ตามมาตรา 243(1)อำนาจนี้เป็นดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานในสำนวนเพียงพอที่จะวินิจฉัยคดีได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน ศาลอุทธรณ์ก็สามารถวินิจฉัยคดีไปได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2961/2543 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอในคดีอาญา และอำนาจศาลฎีกาในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
จำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ แล้วจำเลยยังทำร้ายผู้เสียหายและชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่สามารถยึดอาวุธปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดมาเป็นของกลาง และโจทก์มิได้มีคำขอให้ริบอาวุธปืน การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบอาวุธปืนซึ่งมีไว้เป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา32 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา192 วรรคหนึ่ง และศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ.มาตรา 195วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2961/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาเกินคำขอเรื่องการริบของกลาง และอำนาจศาลฎีกาในการแก้ไขปัญหาข้อกฎหมาย
จำเลยกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯแล้วจำเลยยังทำร้ายผู้เสียหายและชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้แต่เจ้าพนักงานตำรวจไม่สามารถยึดอาวุธปืนที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิดมาเป็นของกลาง และโจทก์มิได้มีคำขอให้ริบอาวุธปืนการที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ริบอาวุธปืนซึ่งมีไว้เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32 จึงเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือที่มิได้กล่าวในฟ้อง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคหนึ่งและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไข ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
of 8