คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ยกประโยชน์แห่งความสงสัย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 59 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2789/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความน่าเชื่อถือพยานโจทก์เป็นเหตุให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสอง
เมื่อพยานโจทก์ที่นำสืบยังเป็นที่สงสัย เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 227 วรรคสอง และเนื่องจากข้อเท็จจริงดังกล่าวเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 2 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ด้วย ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5875/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจับกุมและแจ้งข้อหาจำหน่ายยาเสพติดโดยไม่มีพยานหลักฐานชัดเจน ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
ก่อนจับกุมจำเลย พยานผู้จับกุมสืบทราบเพียงว่ามีหญิงคนหนึ่งลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจึงไปที่หมู่บ้านที่เกิดเหตุพบจำเลยยืนอยู่ข้างทางท่าทางมีพิรุธจะเดินหนีจึงแสดงตัวเข้าตรวจค้นจับกุมพบเมทแอมเฟตามีนอยู่ในมือจำเลยและเงินสดอยู่ในกระเป๋ากางเกง จึงแจ้งข้อหาว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ดังนี้ พยานผู้จับกุมก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าจำเลยจะเป็นหญิงตามที่สืบทราบมาหรือไม่ เหตุที่จับจำเลยได้น่าจะเป็นเหตุบังเอิญมากกว่า นอกจากจำเลยแล้วก็ยังมีการจับกุมผู้ต้องหารายอื่น ๆ อีก ทั้งบันทึกคำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนก็มีร่องรอยการแก้ไขในช่องแจ้งข้อหา กรณียังมีเหตุน่าสงสัยอยู่ว่าจำเลยกระทำผิดในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่คงลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยกประโยชน์แห่งความสงสัยในคดีอาญา ต้องพิจารณาพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายอย่างละเอียด ไม่ใช่เพียงความขัดแย้งของพยานหลักฐาน
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสองที่บัญญัติว่า "เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย" หมายความว่า เมื่อศาลชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวงในคดีตามที่โจทก์และจำเลยต่างนำสืบแล้ว เห็นได้ว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่อาจรับฟังได้โดยปราศจากความสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ ศาลจึงจะยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยมิใช่แต่เพียงว่าเมื่อข้อเท็จจริงตาม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาแตกต่างหรือไม่ตรงกับข้อเท็จจริงตาม พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบต่อสู้แล้ว จะให้รับฟังเลยว่าพยานหลักฐาน ของโจทก์มีเหตุสงสัยแล้วยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยเสียทีเดียว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7331/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานไม่เพียงพอฟังได้ว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้จำหน่าย ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
โจทก์มีเพียงคำรับที่จำเลยที่ 2 เคยให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นนอกเหนือจากคำรับดังกล่าวมาสืบประกอบเพื่อให้ฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามที่โจทก์ฟ้องทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพเฉพาะในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อเสพเท่านั้น อีกทั้งเมทแอมเฟตามีนของกลางมีเพียง 5 เม็ด ไม่มากเกินกว่าที่จะมีไว้เพื่อเสพได้ ดังนั้นเมื่อโจทก์ไม่มีพยานรู้เห็นว่าจำเลยมีไว้ซึ่งของกลางเพื่อจำหน่าย กรณียังมี ข้อสงสัยตามสมควรจึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง คดีจึงรับฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 เสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเท่านั้น
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกระทำความผิดด้วยกันฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 เท่านั้น ซึ่งมีโทษเบากว่าฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตาม มาตรา 66 วรรคหนึ่ง และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้ฎีกา ศาลก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึง จำเลยที่ 1 ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7331/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หลักฐานไม่เพียงพอฟังว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้จำหน่าย ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
โจทก์มีผู้ร่วมจับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความประกอบกันว่าก่อนจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับก่อนว่า ล. จะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งมอบแก่จำเลยที่บริเวณคลองส่งน้ำด้านทิศเหนือของหมู่บ้านเพื่อ นำไปจำหน่ายในช่วงเวลาจับกุม จำเลยที่ 2 เป็นผู้ขับรถจักรยานยนต์โดยจำเลยที่ 1 นั่งซ้อนท้าย และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ล้วงเอาเมทแอมเฟตามีนของกลางในกระเป๋ากางเกงของตนออกมาทิ้งลงข้างตัว แต่พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีแต่คำรับที่จำเลยที่ 2 เคยให้การในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสืบประกอบเพื่อให้ฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ทั้งในชั้นพิจารณาจำเลยที่ 2 ได้ให้การรับสารภาพเฉพาะ ในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนและมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ใน ครอบครองเพื่อเสพ แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและเมทแอมเฟตามีนของกลางมีเพียง 5 เม็ด ไม่มากเกินกว่าที่จะมีไว้ เพื่อเสพ ประกอบกับจำเลยที่ 2 ได้เสพเมทแอมเฟตามีนมาก่อนถูกจับกุมพยานหลักฐานของโจทก์ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 มีของกลางเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยที่ 2 ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 2 เสพเมทแอมเฟตามีนและ มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเท่านั้น
จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมพร้อมกับจำเลยที่ 2 ในเหตุการณ์เดียวกันข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 เป็นอย่างเดียวกันและเป็นการนำสืบในข้อหาเดียวกันกับกรณีของจำเลยที่ 2 ดังนั้น จึงฟังได้เพียงว่าจำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 มีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67ซึ่งมีโทษเบากว่ามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง และเป็นเหตุในส่วนลักษณะคดี แม้จำเลยที่ 1มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วย มาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5606/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีอาญา ใช้อาวุธปืนยิง: ยกประโยชน์แห่งความสงสัยเมื่อพยานหลักฐานไม่ชัดเจน
++ เรื่อง ความผิดต่อชีวิต พยายาม ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ++
++
++ คำพิพากษาสั่งออก - พิมพ์จากสำเนาชุดพิเศษ ++
++
++
++ พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า
++ ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง มีคนร้ายหลายคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายสัมผัสทองมี ผู้ตาย และนายเฉี้ยง อ่อนนวล ผู้เสียหายหลายนัด เป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ ส่วนผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส
++
++ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาหรือไม่
++ โจทก์ระบุพยานซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุ 2 ปาก คือนายสุภาพ สุวรรณโชติ และผู้เสียหาย สำหรับนายสุภาพมาศาลตามหมายเรียกแล้ว แต่โจทก์ไม่นำเข้าเบิกความ คงอ้างส่งบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนายสุภาพตามเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งให้การไว้ว่า คืนเกิดเหตุนายสุภาพซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับไปสูบกัญชากันที่แหลมทวด เมื่อผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับมาถึงที่เกิดเหตุพบรถยนต์กระบะสีเข้มจอดปิดไฟหันหน้ารถไปทางตลาดดอนสัก มีคนร้าย 3 ถึง 4 คน เข้ามาขวางและผลักรถจักรยานยนต์ล้มลง มีเสียงปืนดัง 3 นัด นายสุภาพเข้าใจว่าจะถูกยิงจึงวิ่งลัดเลาะเข้าป่าข้างทางถึงถนนสายดอนสัก - ขนอม ปรากฏว่ามีโลหิตไหลที่ศีรษะจึงโดยสารรถยนต์ไปโรงพยาบาลกาญจนดิษฐ์ แพทย์แจ้งว่าบาดแผลเกิดจากถูกฟันด้วยของมีคม นายสุภาพรักษาตัวที่โรงพยาบาล 2 วัน จึงกลับบ้าน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่านายสุภาพเดินทางไปกับผู้ตายจึงสอบปากคำไว้ แต่นายสุภาพอ้างว่าขณะเกิดเหตุกำลังมึนเมาไม่ทันได้สังเกตว่า คนร้ายเป็นใคร ส่วนผู้เสียหายเบิกความว่า คืนเกิดเหตุขับรถจักรยานยนต์จะไปลอยอวนจับปลาที่แหลมทวด ก่อนถึงที่เกิดเหตุผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงไป โดยมีชายนั่งซ้อนท้าย 1 คน แล้วมีเสียงปืนดังขึ้น 3 ถึง 4 นัด เห็นจำเลย นายหมีไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุล นายปองไม่ทราบชื่อจริงและนามสกุลกับพวกอีก 2 คน ยืนอยู่ข้างรถยนต์กระบะซึ่งจอดอยู่ริมถนน ผู้ตายถูกยิงฟุบไปที่พื้นพร้อมรถจักรยานยนต์ จำเลยสั่งให้ผู้เสียหายหยุดรถ ผู้เสียหายจึงจอดรถแล้วลงไปยืน ผู้เสียหายบอกว่าไม่รู้เรื่อง จะไปลอยอวน จำเลยพูดว่าฆ่าให้ตาย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด 9 มิลลิเมตร ยิงผู้เสียหายในระยะห่างประมาณ 1 เมตร นัดแรกถูกด้านหลังทะลุหน้าท้อง นัดที่สองถูกที่คอทะลุปาก ผู้เสียหายล้มหมดสติแล้วมารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ที่ผู้เสียหายเบิกความว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์แซงรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับมุ่งหน้าไปทางแหลมทวดนั้น ขัดแย้งกับคำให้การของนายสุภาพที่ว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์กลับจากสูบกัญชาที่แหลมทวด หลังเกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้ตรวจสถานที่เกิดเหตุ ทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุและบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.2 และ จ.13 ก็พบรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายขับไปล้มอยู่ใกล้ศพผู้ตายเพียงคันเดียว ไม่ปรากฏว่าได้พบรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับและล้มไปพร้อมกับที่ผู้ตายถูกยิงดังที่ผู้เสียหายเบิกความ ผู้เสียหายเบิกความและให้การต่อพนักงานสอบสวนตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.5 ว่า ไม่เคยรู้จักผู้ตายมาก่อน แต่รายงานการสืบสวนของร้อยตำรวตรีสุนิตย์ ไชยหาญ รองสารวัตรป้องกันและปราบปรามสถานีตำรวจภูธรอำเภอดอนสักเอกสารหมาย จ.15 ระบุว่าจากการสืบสวนหาข่าวทราบว่าเหตุที่ผู้ตายเดินทางผ่านไปที่เกิดเหตุเพราะผู้เสียหายชวนผู้ตายและนายสุภาพไปนอนที่บ้านซึ่งต้องผ่านที่เกิดเหตุ ส่วนเหตุการณ์ขณะคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงในที่เกิดเหตุซึ่งผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่บอกให้ผู้เสียหายหยุดรถ ผู้เสียหายได้พูดตอบโต้กับจำเลยผู้เสียหายเห็นจำเลยในระยะห่างประมาณ 1 เมตร และเห็นเหตุการณ์ชัดแจ้งถึงขนาดระบุว่าจำเลยใช้อาวุธปืนขนาด 9 มิลลิเมตร นั้น ในชั้นสอบสวนผู้เสียหายให้การไว้เพียงว่า เมื่อขับรถจักรยานยนต์ไปถึงที่เกิดเหตุเห็นว่ามีการชุลมุนกัน จึงจอดรถจักรยานยนต์ริมถนน มีเสียงตะโกนถามว่าจะไปไหนผู้เสียหายบอกว่าจะไปลอยอวน เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงปืนดังขึ้นในที่ชุลมุนกัน2 นัด มีเสียงพูดว่าต้องเก็บมันด้วย แล้วมีเสียงปืนดังติดกันหลายนัดจนผู้เสียหายถูกกระสุนปืนหมดสติไป ผู้เสียหายมิได้ให้การถึงพฤติการณ์ในการกระทำผิดของจำเลยตลอดจนอาวุธปืนที่จำเลยใช้เหมือนที่เบิกความต่อศาล เห็นว่า คดีนี้โจทก์มีแต่ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานปากเดียว การที่ผู้เสียหายเบิกความแตกต่างจากคำให้การชั้นสอบสวนและเบิกความขัดแย้งกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์ ทำให้น่าสงสัยว่าผู้เสียหายจำคนร้ายที่ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายได้แน่นอนว่าเป็นจำเลยหรือไม่ ส่วนที่โจทก์อ้างรายงานการสืบสวนของร้อยตำรวจตรีสุนิตย์เอกสารหมาย จ.15 ระบุว่า จำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกระทำผิดคดีนี้ โจทก์ก็มิได้นำร้อยตำรวจตรีสุนิตย์มาเบิกความทำให้จำเลยไม่มีโอกาสซักค้านเพื่อให้ข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างแก่ศาลว่าร้อยตำรวจตรีสุนิตย์สืบสวนได้ข้อเท็จจริงมาอย่างไร ทั้งรายงานการสืบสวนดังกล่าวระบุว่าคนร้ายมี 8 คน แตกต่างกับที่ผู้เสียหายเบิกความว่าคนร้ายมี 5 คน อีกด้วย พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบทั้งหมดเมื่อประมวลแล้วเห็นว่ายังมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยอาจจะไม่ใช่คนร้ายที่ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหาย ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อพยานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยได้ร่วมใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและผู้เสียหายในเวลาเกิดเหตุจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตในเวลาเกิดเหตุ และไม่มีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรในเวลาเกิดเหตุด้วย
++ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8พิพากษาลงโทษจำเลยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้น
++ สำหรับปลอกกระสุนปืนของกลางซึ่งตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เป็นทรัพย์สินที่ได้ใช้ในการกระทำผิด จึงเห็นสมควรให้ริบปลอกกระสุนปืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง แต่คงให้ริบของกลาง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 375/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การค้นพบยาเสพติดหลังบ้าน: ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัยเมื่อหลักฐานไม่ชัดเจน
โจทก์มิได้นำสืบให้ศาลเห็นว่า ที่อ้างว่าสืบทราบว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเฮโรอีนนั้นสืบทราบด้วยวิธีใดและจำเลยมีพฤติการณ์อย่างใด การไปจับกุมจำเลยมานี้ไม่ได้ใช้วิธีล่อซื้อแต่เป็นการนำหมายค้นไปค้นเพื่อพบและยึดสิ่งของผิดกฎหมาย ซึ่งการที่ร้อยตำรวจโท ป.ยันยันว่า มีชายซึ่งไม่ได้สอบถามชื่อมา กระซิบ บอกว่ามี เฮโรอีนอยู่หลังบ้านจำเลยนั้นถือเป็นการเลื่อนลอยทั้งการค้นของเจ้าพนักงานก็มิได้เป็นไปตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 102 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้ว่า การค้นในที่รโหฐานเท่าที่สามารถจะทำได้ให้ค้นต่อหน้าผู้ครอบครองสถานที่หรือบุคคลในครอบครัว ฯลฯแต่ในขณะที่ไปตรวจค้นนั้นมีจำเลยอยู่ที่บ้านคนเดียวและไม่ปรากฏว่ามีเหตุขัดข้องอย่างใด เมื่อค้นในบ้านไม่พบสิ่งผิดกฎหมายก็สมควรจะนำจำเลยไปหลังบ้านด้วยและค้นต่อหน้าจำเลยเพื่อแสดงความบริสุทธิ์และเพื่อให้เป็นไปตามกฎหมาย การที่ค้นพบเฮโรอีนของกลางลับหลัง อย่างนี้ทำให้ยังเป็นที่น่าเคลือบแคลงสงสัย จำเลยประกอบอาชีพมีงานทำเป็นกิจจะลักษณะโดยเป็นเจ้าของร้านรับซ่อมรถจักรยานยนต์อยู่ ณ บ้านที่เกิดเหตุนั้นเองมี ช. กำนันตำบลที่เกิดเหตุรับรองว่าจำเลยไม่เคยเสพหรือจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ และทางพิจารณาได้ความว่าบริเวณที่พบเฮโรอีนของกลางมิได้อยู่ในบ้าน แต่อยู่นอกบ้านออกไปในที่โล่ง ไม่มีหลังคาคลุม เพียงแต่มีรั้วลวดหนามกั้นอยู่โดยรอบ ซึ่งก็สามารถเดินผ่านข้ามได้แสดงว่ารั้วนี้กั้นคนไม่ได้ทั้งจุดที่ค้นพบถุงเฮโรอีนซึ่งอยู่ห่างรั้วประมาณ 1 ศอกนั้น ก็ง่ายต่อการที่ ผู้อื่นจะนำถุงเฮโรอีนของกลางไปวางซุก ไว้อย่างยิ่งโดยไม่ถึงกับต้องเข้าไปข้างในรั้วเพียงแต่เดินมาข้างรั้ว แล้วยื่นมือเข้าไปวางก็ทำได้ทุกเวลาอยู่แล้ว จะฟังว่า ค้นพบเฮโรอีนของกลางหลังบ้านจำเลยก็ต้องเป็นของจำเลย ยังฟังได้ไม่ถนัด กรณีมีเหตุสงสัยจึงเห็นสมควรยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2090/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง: ยกประโยชน์แห่งความสงสัยเมื่อพยานหลักฐานไม่ชัดเจน
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ยังเป็นที่สงสัยว่าอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางตามฟ้องเป็นของจำเลยหรือไม่ ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า จำเลยมีอาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนของกลางไว้ในครอบครอง ศาลฎีกา ย่อมมีอำนาจพิพากษา ยกฟ้องไปถึงความผิดฐานมีอาวุธปืน ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยจำเลยต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185ประกอบมาตรา 215 และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน แต่อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่ามีไว้เป็นความผิดซึ่ง ต้องริบเสียทั้งสิ้น ศาลจึงมีอำนาจริบได้ ไม่ว่าจำเลยจะถูกลงโทษหรือไม่ ทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6587/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานหลักฐานโจทก์มีพิรุธและข้อต่อสู้ของจำเลยสมเหตุสมผล ศาลฎีกายกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย
เมื่อคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์มีพิรุธก็รับฟังคำเบิกความดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน ลงโทษจำเลยตามฟ้องโดยปราศจากข้อระแวงสงสัย ไม่ได้ ประกอบกับจำเลยให้การปฏิเสธมาโดยตลอด ทั้งต่อสู้ว่าจำเลยสงสัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้ง จำเลยด้วยการนำธนบัตรตามสำเนาธนบัตร ที่เจ้าพนักงานตำรวจเตรียมไว้มาใส่ในกระเป๋าเงิน ของจำเลยตอนที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดกระเป๋าของจำเลยไป ซึ่งข้อนำสืบของจำเลยดังกล่าวก็ควรรับฟังประกอบการพิจารณาด้วย เมื่อจำเลยปฏิเสธว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดตามฟ้องและพยานหลักฐาน ของโจทก์มีพิรุธ ก็ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็น คุณแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6476/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย: จำเลยต่อสู้ป้องกันตนเองจากกลุ่มผู้ก่อเหตุจำนวนมาก ศาลยกประโยชน์แห่งความสงสัย
จำเลยที่ 1 กับพวกเพียง 5 คน นั่งมาด้วยกันบนรถโดยสารประจำทาง ส่วนผู้ตายกับพวกมีจำนวนประมาณ 30 คนที่ยืนคอยรถโดยสารประจำทางอยู่การที่ฝ่ายผู้ตายกับพวกอาศัยพวกมาก ขึ้นไปทำร้ายจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงเป็นการ ประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จึงจำเป็นต้องป้องกันสิทธิของตนเอง หาใช่เป็นการสมัครใจเข้าร่วมชุลมุนต่อสู้ไม่ การที่ จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 ถอดเข็มขัดและใช้หัวเข็มขัดป้องกันขัดขวาง มิให้ฝ่ายผู้ตายขึ้นมาบนรถทางประตูหน้าและประตูหลัง แสดงว่า ฝ่ายจำเลยที่ 1 กับพวกได้กระทำไปพอสมควรแก่เหตุ และไม่ได้ความว่าการที่ผู้ตายถึงแก่ความตายนั้นเกิดจาก การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 5จึงไม่ต้องรับโทษฐานชุลมุนต่อสู้เป็นเหตุให้คนตาย
of 6