คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
รถชน

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4368/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับช่วงสิทธิเรียกค่าเสียหายจากผู้รับประกันภัยกรณีรถชนจากความประมาทของผู้อื่น
โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งบรรทุกสินค้าไปส่งให้แก่ลูกค้า และเหตุรถชนเกิดเพราะความประมาทของรถคันที่เอาประกันภัยไว้กับจำเลย โจทก์จึงชำระค่าเสียหายให้ลูกค้าไป ดังนี้เมื่อทรัพย์ที่เสียหายอยู่ในความครอบครองของโจทก์และโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกค้าไปตามสัญญาแล้ว โจทก์ย่อมรับช่วงสิทธิในความเสียหายนั้นและมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยรถบรรทุกของนายจ้างผู้กระทำละเมิดได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เหตุเกิดจากความประมาทของ ส. และจำเลยเป็นบริษัทที่รับประกันภัยไว้ได้ขอเข้ามาชดใช้ค่าเสียหาย แต่ก็บ่ายเบี่ยงผัดผ่อนตลอดมา โดยโจทก์ได้แนบบันทึกถ้อยคำของ อ.ตัวแทนของจำเลยมาท้ายฟ้อง ซึ่งปรากฏรายละเอียดว่า จำเลยมิได้ปฏิเสธการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ แต่ต้องการให้โจทก์แสดงรายการของสินค้าที่เสียหายเนื่องจากอุบัติเหตุด้วย เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องและมีเอกสารแนบมาท้ายฟ้องไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยต้องรับผิดชอบต่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่ ส.ขับ ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าจำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ.มาตรา 882 จึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนายจ้างต่อการละเมิดของลูกจ้าง และการกำหนดค่าเสียหายจากเหตุรถชน
แม้พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พ.ศ. 2464มาตรา 72 จะบัญญัติว่า "เมื่อทางรถไฟผ่านข้ามถนนสำคัญเสมอระดับ ให้วางรางคู่กำกับเพื่อให้มีช่องพอครีบล้อรถผ่านไป มาได้ กับให้ทำประตูหรือขึงโซ่หรือทำราวกั้นขวางถนน หรือทางนั้น ๆ ตามสมควรแก่การ" ก็ตาม แต่ได้มีบทบัญญัติต่อไปในมาตรา 73 ว่า "เมื่อถนนที่ต้องผ่านข้ามไปนั้นไม่สู้สำคัญพอถึงกับต้องทำประตูกั้นแล้ว ให้พนักงานขับรถจักรเปิดหวีดก่อนที่รถจะผ่านข้ามถนนนั้นกับให้ทำเครื่องหมายสัญญาณอย่างถาวรปักไว้ให้แจ้งบนทางและถนนนั้นเพื่อให้พนักงานขับรถจักรและประชาชนรู้ตัวก่อนภายในเวลาอันสมควรว่าเข้ามาใกล้ทางรถไฟที่ผ่านข้ามถนน" แสดงว่ากฎหมายให้อำนาจโจทก์เป็นผู้พิจารณาว่า ทางรถไฟผ่านข้าม ถนนสายใดสำคัญหรือไม่ ถ้าเป็นทางสำคัญก็ให้ปฏิบัติตามมาตรา 72ถ้าเป็นทางไม่สู้สำคัญก็ให้ปฏิบัติตามมาตรา 73 หาได้บังคับให้โจทก์จำต้องทำประตูหรือขึงโซ่ หรือทำราวกั้นขวางถนนบรรดาที่ตัดผ่านทางรถไฟทุกแห่งไม่ ได้ความว่าถนนที่ตัดผ่านทางรถไฟที่เกิดเหตุเป็นถนนสุขาภิบาลห้วยราช อยู่ห่างจากสถานีรถไฟห้วยราชประมาณ 800 เมตร อยู่ในท้องที่กิ่งอำเภอห้วยราช จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งไม่ได้ความว่าเป็นท้องที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นหรือมีการจราจรคับคั่งเพียงใดเมื่อคำนึงถึงสภาพของท้องที่เกิดเหตุในขณะเกิดเหตุซึ่งเป็นเพียงกิ่งอำเภอในจังหวัดบุรีรัมย์แล้ว เชื่อว่าถนนที่เกิดเหตุเป็นเพียงถนนในเขตสุขาภิบาลเล็ก ๆ ซึ่งมีการจราจรไม่คับคั่งนัก ถนนที่เกิดเหตุจึงไม่ใช่ถนนสำคัญอันโจทก์มีหน้าที่จะต้องทำประตูหรือขึงโซ่ หรือทำราวกั้นขวางถนนตามที่กฎหมายบังคับไว้ ส่วนการทำเครื่องหมายสัญญาณอื่นเพื่อเตือนให้พนักงานขับรถจักรหรือประชาชนรู้ตัวก่อนภายในเวลาอันสมควรว่าเข้ามาใกล้ทางรถไฟที่ผ่านข้ามถนนซึ่งโจทก์มีหน้าที่ต้องจัดทำตามมาตรา 73 นั้น โจทก์นำสืบว่าก่อนถึงที่เกิดเหตุประมาณ 500 เมตร พนักงานขับรถไฟของโจทก์ได้เปิดหวีดเตือน พร้อมปิดคันบังคับการและลดความเร็วลงตามระเบียบแล้วและในบริเวณที่เกิดเหตุก็ได้ติดตั้งสัญญาณจราจรระวังรถไฟและสัญญาณจราจรหยุดไว้ที่ข้างถนนเพื่อให้ประชาชนรู้ตัวก่อนภายในเวลาอันสมควรว่าเข้ามาใกล้ทางรถไฟที่ผ่านข้ามถนนแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้นำพยานหลักฐานมาสืบเพื่อหักล้างพยานหลักฐานดังกล่าวของโจทก์แต่อย่างใดจึงฟังได้ว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในมาตรา 73 แล้ว ส่วนข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ว่าโจทก์ละเลยไม่ตัดต้นไม้และวัชพืชที่ขึ้นปกคลุมหรือปิดบังทางรถไฟและพนักงานของโจทก์ขับรถไฟด้วยความเร็วสูงนั้นโจทก์นำสืบว่าถนนบริเวณที่เกิดเหตุเป็นทางโล่งและพนักงานของ โจทก์ขับรถไฟในอัตราความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้นำสืบหักล้างพยานหลักฐานดังกล่าวของโจทก์แต่อย่างใดเช่นเดียวกัน พยานหลักฐานจำเลยที่ 1และที่ 2 เลื่อนลอย ขัดต่อเหตุผล ทั้งเจือสมกับพยานหลักฐานของโจทก์ จึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานของโจทก์ ฟังไม่ได้ว่าเหตุรถชนกันเกิดเพราะความประมาทของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 นำรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุไปร่วม กิจการเดินรถกับจำเลยที่ 3 ในเส้นทางที่ได้รับสัมปทานจากทาง ราชการเพื่อประโยชน์ของตน ดังนี้แม้จำเลยที่ 1 จะให้จำเลยที่ 2 เช่าซื้อไปก็เป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ในรถเท่านั้น การที่จำเลยที่ 1 มอบรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุให้จำเลยที่ 2 นำไปวิ่งส่งผู้โดยสารในเส้นทางสัมปทานของจำเลยที่ 3 โดยจำเลยที่ 1 ยังไม่เปลี่ยนชื่อผู้ร่วมเดินรถกับจำเลยที่ 3แล้วจำเลยที่ 2 ให้ ว. ลูกจ้างเป็นผู้ขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวเมื่อเกิดเหตุชนกันจำเลยที่ 1 เป็นผู้ไปเจรจาค่าเสียหายกับผู้บาดเจ็บ ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 เป็นนายจ้างของ ว. ด้วย ดังนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงเป็นนายจ้างของ ว. ซึ่งทำละเมิดต่อโจทก์ในทางการที่จ้าง ต้องร่วมกันรับผิดชอบต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 959/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถไฟ: การลดค่าเสียหายจากเหตุรถชน
จำเลยขับรถยนต์เก๋งโดยประมาทเลินเล่อข้ามทางรถไฟในขณะที่มีรถไฟแล่นผ่านจึงถูกรถไฟเฉี่ยวชนด้านหน้ารถยนต์เก๋งเสียหายเล็กน้อยแต่เป็นเหตุให้โจทก์ซึ่งนั่งห้อยเท้าอยู่ริมประตูตู้รถไฟถูกรถยนต์เก๋งของจำเลยชนได้รับอันตรายสาหัสถึงกับขาหักทั้งสองข้างดังนี้แม้ในขณะเกิดเหตุขบวนรถไฟดังกล่าวจะมีผู้โดยสารแน่นจนไม่มีที่นั่งโจทก์กับผู้โดยสารหลายคนจึงต้องนั่งตรงริมประตูขึ้นลงของตู้ขนสัมภาระก็ตามก็ถือได้ว่าโจทก์มีส่วนประมาทด้วยจึงควรลดค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องมาลงบ้างแต่ข้อเท็จจริงยังไม่ถึงกับจะรับฟังได้ว่าโจทก์ประมาทเลินเล่อไม่ยิ่งหย่อนกว่าจำเลยซึ่งจะทำให้เสียค่าเสียหายเป็นพับดังที่จำเลยฎีกาไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2540

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิเคราะห์พยานหลักฐานความประมาทในคดีรถชน: จำเลยไม่ได้ประมาทเนื่องจากผู้ตายไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร
จำเลยขับรถมาด้วยความเร็วประมาณ80ถึง90กิโลเมตรต่อชั่วโมงเมื่อขับรถมาถึงบริเวณที่เกิดเหตุไม่มีรถแล่นอยู่ข้างหน้าเห็นผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ตัดข้ามถนนจำเลยใช้สัญญาณแตรเตือน2ครั้งก่อนหักหลบไปทางขวาแต่ผู้ตายตกใจเร่งเครื่องยนต์พุ่งออกมาอีกจำเลยห้ามล้อรถยนต์แล้วแต่ไม่สามารถหยุดรถได้ทันทีเมื่อปรากฏว่าเส้นทางเดินรถของจำเลยเป็นทางเอกซึ่งผู้ตายจะต้องหยุดรอให้รถของจำเลยผ่านไปก่อนประกอบกับขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางคืนการที่ผู้ตายเห็นแสงไฟรถของจำเลยยังขับข้ามถนนจนเกิดชนกันขึ้นเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะหลีกเลี่ยงได้จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังซึ่งบุคคลที่อยู่ในภาวะเช่นจำเลยต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แล้วแม้รอยห้ามล้อรถจำเลยจะยาวประมาณ22เมตรก็ไม่อาจบ่งชี้ว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของรถที่แล่นสวนมาเมื่อพยานหลักฐานที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบมายังไม่เพียงพอที่จะฟังว่าจำเลยกระทำโดยประมาทจึงฟังลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินความประมาทในคดีรถชน และผลต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังข้อเท็จจริงว่า จ.ผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มีส่วนประมาท โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้นั้นเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่า เหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 หรือไม่ อันมีความหมายรวมไปถึงว่า ความประมาทดังกล่าวจะมีผลทำให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่ออีกฝ่ายหรือไม่เพียงใด และที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 และ จ.ซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ค่าเสียหายทั้งสองฝ่ายจึงเป็นพับไปนั้น เป็นการวินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยในประเด็นพิพาท ไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงขึ้นใหม่โดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5092/2539

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยความประมาทและการแบ่งความรับผิดในคดีรถชน ศาลฎีกาชี้ว่าการวินิจฉัยความประมาทของทั้งสองฝ่ายไม่เกินกรอบประเด็นอุทธรณ์
ที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ฟังข้อเท็จจริงว่าจ.ผู้ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้มีส่วนประมาทโจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยได้นั้นเป็นปัญหาตามอุทธรณ์ของโจทก์ในประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นกำหนดว่าเหตุเกิดจากความประมาทของจำเลยที่1หรือไม่อันมีความหมายรวมไปถึงว่าความประมาทดังกล่าวจะมีผลทำให้จำเลยที่1ต้องรับผิดต่ออีกฝ่ายหรือไม่เพียงใดและที่ศาลอุทธรณ์ภาค3วินิจฉัยว่าเหตุเกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่1และจ.ซึ่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันค่าเสียหายทั้งสองฝ่ายจึงเป็นพับไปนั้นเป็นการวินิจฉัยไปตามพยานหลักฐานของโจทก์จำเลยในประเด็นพิพาทไม่เป็นการฟังข้อเท็จจริงขึ้นใหม่โดยไม่มีฝ่ายใดอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9347/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่: ความเพียงพอของคำฟ้องในคดีรถชน โดยไม่จำต้องระบุรายละเอียดความสัมพันธ์และพฤติกรรมการขับขี่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน 6ฉ-6649 กรุงเทพมหานคร ไว้จากห้างหุ้นส่วนจำกัดส.พ. ขับรถยนต์คันดังกล่าวโดยได้รับความยินยอมจากห้างหุ้นส่วนจำกัดส. ไปตามถนนในช่องเดินรถช่องขวาสุดจากจังหวัดกาญจนบุรี มุ่งหน้าไปกรุงเทพมหานคร เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุบริเวณหน้าโรงงานน้ำตาล จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์หมายเลขทะเบียนน-8185 กาญจนบุรี แล่นออกจากโรงงานน้ำตาลด้วยความประมาทเลินเล่อโดยจะต้องหยุดรถให้รถยนต์ของ พ.แล่นผ่านไปก่อน แต่จำเลยที่ 1 หาได้ปฏิบัติไม่ จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์เข้าสู่ถนนโดยกะทันหันตัดหน้ารถยนต์ที่ พ. ขับ เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันจึงได้รับความเสียหาย โจทก์ผู้รับประกันภัยได้ชำระค่าเสียหายแล้วจึงสวมสิทธิที่จะเรียกร้องเอาแก่จำเลยได้ เช่นนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายเพียงพอที่จะทำให้จำเลยที่ 1 เข้าใจได้ดีแล้ว เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วว่า พ. ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยโดยได้รับความยินยอมของห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยแล้ว โจทก์ก็หาจำต้องบรรยายฟ้องว่าพ.มีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้เอาประกันภัยไม่ เพราะไม่ว่า พ. จะมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับผู้เอาประกันภัยหรือไม่ ก็มิใช่ข้อที่จำเลยที่ 1จะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ได้ ทั้งโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ขับรถออกจากโรงงานโดยไม่ระมัดระวังไม่หยุดรถก่อนจะออกสู่ถนนและตัดหน้ารถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัย เป็นเหตุให้เฉี่ยวชนกันเช่นนี้ โจทก์จึงหาจำต้องบรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความเร็วเท่าใดไม่ฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6683/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ยืมรถที่ถูกชนไม่มีหน้าที่ซ่อมเอง ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 ประกอบด้วยมาตรา 438 วรรคสอง บัญญัติให้ผู้ทำละเมิดต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนรวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นเป็นการเฉพาะไว้แล้วโจทก์ผู้ยืมรถยนต์ของผู้อื่นมาแล้วถูกจำเลยทำละเมิดชนท้ายได้รับความเสียหาย โจทก์ไม่มีหน้าที่ซ่อมรถยนต์คันที่ถูกทำละเมิดได้รับความเสียหายให้อยู่ในสภาพเดิม จึงมิใช่ผู้ได้รับความเสียหายจากการกระทำละเมิด ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยให้รับผิดใช้ค่าซ่อมรถยนต์ให้อยู่ในสภาพเดิม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 66/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจมอบอำนาจสัญญาเช่าซื้อ, สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากรถชน, และฎีกาที่ไม่ชัดเจน
บริษัทโจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ จ.และอ.ลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อในฐานะผู้ให้เช่าซื้อแทนโจทก์ จ.และอ.ย่อมมีอำนาจลงชื่อในสัญญาเช่าซื้อแทนโจทก์ได้โดยไม่ต้องระบุในสัญญาเช่าซื้ออีกว่าโจทก์มอบอำนาจให้ จ.และอ.กระทำการแทน เมื่อรถยนต์ที่เช่าซื้อได้รับความเสียหาย โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายในส่วนที่เป็นค่าซ่อมรถยนต์ดังกล่าวได้โดยไม่จำต้องมีการซ่อมรถยนต์ดังกล่าวเสียก่อน จำเลยที่ 2 กล่าวในฎีกาว่า โจทก์ฟ้องเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ18ต่อปี เกินกว่าดอกเบี้ยที่กฎหมายบัญญัติไว้ ฉะนั้นดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกร้องทั้งหมดจึงตกเป็นโมฆะ ไม่มีผลใช้บังคับตามกฎหมายแต่มิได้กล่าวว่าดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวเกินกว่าดอกเบี้ยตามกฎหมายใด จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6220/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่ายในคดีรถชน ทำให้ค่าเสียหายเป็นพับกัน
เมื่อเวลาประมาณ 23 นาฬิกา จำเลยขับรถยนต์เทรลเลอร์บรรทุกรถแทรกเตอร์ตักดินมาจอดเสียอยู่บนถนน โดยล้อด้านขวาล้ำอยู่บนถนนห่างจากขอบถนนด้านซ้ายประมาณ 1.50 เมตร โดยไม่เปิดสัญญาณไฟหรือติดตั้งเครื่องหมายสะท้อนแสงหรือสัญญาณใด ๆ เวลาไล่เลี่ยกัน ส. ขับรถยนต์บรรทุกไม้ยางมาเต็มคันรถแล่นมาในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วสูงชนรถยนต์เทรลเลอร์ที่จำเลยขับมาจอดอยู่โดยแรง เกิดความเสียหายอย่างมาก การที่ ส. ขับรถยนต์บรรทุกไม้มาในเวลากลางคืน แม้หากจะมีรถวิ่งสวนมาทำให้มองเห็นทางข้างหน้าเพียงประมาณ 5-6 เมตร ส. ควรจะลดความเร็วลงจนกว่าจะเห็นว่าอาจขับไปโดยปลอดภัย การที่ ส.ขับรถไปด้วยความเร็วสูงทำให้เห็นรถยนต์เทรลเลอร์ที่จำเลยเป็นคนขับจอดกีดขวางทางอยู่ข้างทางต่อเมื่ออยู่ในระยะกระชั้นชิด หักหลบไม่ทันและชนกันขึ้นถือว่า ส. กระทำโดยประมาทเลินเล่อ เหตุชนกันไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่อของจำเลยฝ่ายเดียว เมื่อพฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า ส. กับจำเลยทั้งสองฝ่ายต่างทำละเมิดต่อกันเท่า ๆ กัน ค่าเสียหายจึงย่อมเป็นพับกันไป
of 4