พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7154/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดสนับสนุนการออกใบเสร็จปลอม - การลงโทษซ้ำซ้อน
ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 222 เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 2 กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นออกใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีโดยมิชอบเท่านั้น จำเลยที่ 2 จึงไม่ได้เป็นผู้ปลอมใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีและเมื่อมีการล่อซื้อใบเสร็จรับเงินและใบกำกับภาษีปลอมจำนวน 69 ชุดในครั้งเดียวการกระทำของจำเลยที่ 2 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นออกใบกำกับภาษีและใบเสร็จรับเงินปลอมรวม 69 ชุด จึงเป็นความผิดกรรมเดียว การที่ศาลล่างพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2ในความผิดฐานนี้ 69 กระทง จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษซ้ำซ้อนในคดีละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลฎีกาแก้ไขโทษฐานละเมิดลิขสิทธิ์เนื่องจากจำเลยกระทำผิดก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด
จำเลยกระทำผิดในคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2544 และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางให้ลงโทษปรับในความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 30 เมษายน2544 แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ก่อนที่จะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว ดังนั้น จำเลยจึงมิใช่ผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537ซึ่งได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบห้าปีกลับมากระทำความผิดอีกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 จึงไม่อาจระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษซ้ำซ้อนในคดีละเมิดลิขสิทธิ์: ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำเลยเนื่องจากความผิดเกิดขึ้นก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด
คำฟ้องโจทก์บรรยายว่า จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์2544 และจำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ให้ลงโทษปรับในความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2544 แสดงว่าจำเลยกระทำความผิดในคดีนี้ก่อนที่จะต้องคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว ดังนั้นจำเลยจึงมิใช่ผู้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งได้รับโทษและพ้นโทษมาแล้วยังไม่ครบห้าปีกลับมากระทำความผิดอีกตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรา 73 แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 จึงไม่อาจระวางโทษจำเลยเป็นสองเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3310/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษซ้ำซ้อนในความผิดฐานทำและมีสุรา ศาลฎีกาแก้ไขโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติสุรา พ.ศ. 2493 มาตรา 5บัญญัติห้ามมิให้ผู้ใดทำสุราโดยมิได้รับอนุญาต และมาตรา 32บัญญัติเกี่ยวกับการมีไว้ในครอบครองซึ่งสุราที่รู้ว่าทำขึ้นโดยฝ่าฝืนมาตรา 5 สุราตามบทมาตราทั้งสองดังกล่าวหมายความถึงทั้งสุรากลั่นและสุราแช่ เมื่อจำเลยกระทำความผิดในคราวเดียวกันโดยการทำสุรากลั่นและสุราแช่จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกันกรรมหนึ่ง และการมีสุรากลั่นและสุราแช่ไว้ในครอบครองก็เป็นความผิดกรรมเดียวกันอีกกรรมหนึ่ง เมื่อปรากฏว่าศาลล่างพิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดตามฟ้องไม่ถูกต้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นแก้ไขให้ถูกต้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3631/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่า vs. ทำร้ายร่างกาย: การลงโทษซ้ำซ้อนในคดีอาญา
เมื่อวินิจฉัยว่าจำเลยกระทำโดยมีเจตนาฆ่าและลงโทษจำเลยฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายแล้วการกระทำอันเดียวกันนี้เองจำเลยไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายอีกบทหนึ่งคงเป็นความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายเพียงบทเดียวเท่านั้นปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การลงโทษซ้ำซ้อนทางวินัยและการพักงานโดยจ่ายค่าจ้าง
ระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ระบุการลงโทษทางวินัยแก่พนักงานที่กระทำความผิดฯ ว่า..."(3) ให้พักงานชั่วคราว โดยไม่จ่ายค่าจ้างในระหว่างนั้น" การให้พักงานที่จะเป็นการลงโทษทางวินัยตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าว jจะต้องเป็นการให้พักงานชั่วคราวโดยไม่จ่ายค่าจ้างในระหว่างนั้น จำเลยให้โจทก์พักงานชั่วคราวเพื่อสอบสวน โดยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามปกติ จึงไม่ถือเป็นการลงโทษในความผิดที่โจทก์ได้กระทำไปแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษทางวินัยซ้ำซ้อน: การพักงานโดยจ่ายค่าจ้าง ไม่ถือเป็นการลงโทษ, การเลิกจ้างจึงไม่เป็นการลงโทษซ้ำซ้อน
ตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยระเบียบการลงโทษทางวินัยของจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างกำหนดมาตรการลงโทษพนักงานที่กระทำความผิดไว้หลายประการรวมถึงการให้พักงานชั่วคราวโดยไม่จ่ายค่าจ้างระหว่างนั้นก่อนที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้สั่งพักงานโจทก์เป็นเวลา7 วัน เพื่อทำการสอบสวน และจำเลยได้จ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามปกติดังนี้ การพักงานกรณีดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการลงโทษในความผิดที่โจทก์ได้กระทำไปแล้ว และการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่เป็นการลงโทษซ้ำซ้อนในความผิดเดียวกัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2216/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม: การลงโทษซ้ำซ้อนทางวินัย การพักงานโดยจ่ายค่าจ้างไม่ถือเป็นการลงโทษ
ระเบียบข้อบังคับของจำเลยที่ระบุการลงโทษทางวินัยแก่พนักงานที่กระทำความผิดฯ ว่า..."(3) ให้พักงานชั่วคราว โดยไม่จ่ายค่าจ้างในระหว่างนั้น" การให้พักงานที่จะเป็นการลงโทษทางวินัยตามระเบียบข้อบังคับดังกล่าว จะต้องเป็นการให้พักงานชั่วคราวโดยไม่จ่ายค่าจ้างในระหว่างนั้น จำเลยให้โจทก์พักงานชั่วคราวเพื่อสอบสวน โดยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ตามปกติ จึงไม่ถือเป็นการลงโทษในความผิดที่โจทก์ได้กระทำไปแล้ว.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2646/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองและขายยาเสพติดเป็นกรรมเดียวกัน ศาลไม่ลงโทษซ้ำซ้อน
พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 มาตรา13 บัญญัติห้ามผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ ประเภท 1 หรือประเภท 2 และมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 89 ซึ่งมาตรา 4 ได้วิเคราะห์ศัพท์คำว่า "ขาย" ว่าหมายความรวมถึงจำหน่าย จ่าย แจก แลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย ฉะนั้น การขายหรือมีไว้เพื่อขายตามนัยแห่งพ.ร.บ. ฉบับนี้จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกัน.
จำเลยมีแอมเฟตามีนคลอไรด์ อัน เป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในครอบครอง 18 เม็ด และจำเลยขายแอมเฟตามีนคลอไรด์ ดังกล่าวให้แก่ผู้ล่อซื้อไป 3 เม็ด ยังเหลืออยู่ที่ตัวจำเลย 15 เม็ด แอมเฟตามีนคลอไรด์ ทั้ง 18เม็ด เป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยครอบครองและขายไปในเวลาต่อเนื่องกัน การครอบครองในลักษณะเช่นนี้ก็คือการมีไว้เพื่อขายนั่นเอง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62 ประกอบด้วยมาตรา 106 อีกกรรมหนึ่ง.
จำเลยมีแอมเฟตามีนคลอไรด์ อัน เป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในครอบครอง 18 เม็ด และจำเลยขายแอมเฟตามีนคลอไรด์ ดังกล่าวให้แก่ผู้ล่อซื้อไป 3 เม็ด ยังเหลืออยู่ที่ตัวจำเลย 15 เม็ด แอมเฟตามีนคลอไรด์ ทั้ง 18เม็ด เป็นจำนวนเดียวกันกับที่จำเลยครอบครองและขายไปในเวลาต่อเนื่องกัน การครอบครองในลักษณะเช่นนี้ก็คือการมีไว้เพื่อขายนั่นเอง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม พ.ร.บ. วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 62 ประกอบด้วยมาตรา 106 อีกกรรมหนึ่ง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4171/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษซ้ำซ้อนในความผิดเดียวกันและการส่งตัวเด็กไปฝึกอบรม
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 7 เดือน 15 วันก่อนศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาจำเลยรับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นครบแล้ว การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นส่งตัวจำเลยไปยังสถานฝึกอบรมจนกว่าจะมีอายุครบ 18 ปี มิใช่เป็นการลงโทษสองครั้งในความผิดเดียวกันเพราะการส่งตัวไปฝึกอบรมไม่ใช่เป็นการลงโทษตามกฎหมาย แต่ศาลฎีกาเห็นไม่สมควรส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมอีก