พบผลลัพธ์ทั้งหมด 41 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4861/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังพยานเอกสารสำเนาที่คู่ความตกลงกัน
จำเลยเบิกความยอมรับว่า เป็นผู้เขียนข้อความทั้งด้านหน้าและด้านหลัง รวมทั้งเป็นผู้วาดแผนที่ไว้ในสำเนาแบบแสดงรายการที่ดิน แม้เอกสารดังกล่าวจะมิใช่ต้นฉบับที่แท้จริง แต่เป็นภาพถ่ายสำเนามาจากต้นฉบับซึ่งจำเลยยอมรับว่าเป็นผู้เขียนขึ้นเอง เมื่อโจทก์ก็ยอมรับไม่โต้เถียงความไม่ถูกต้อง จึงต้องถือว่าคู่ความทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องตกลงกันว่าสำเนาเอกสารนั้นถูกต้องแล้ว สามารถรับฟังเป็นพยานเอกสารได้ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 93 (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3882/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต: พยานหลักฐานจากสำเนาใบอนุญาตและการรับรองสำเนา
++ เรื่อง ความผิดต่อร่างกาย ความผิดต่อพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ลหุโทษ
++
++
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2426/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังสำเนาพินัยกรรม: โจทก์ไม่คัดค้านก่อนสืบพยาน ทำให้จำเลยไม่ต้องนำต้นฉบับมา
เมื่อโจทก์ได้รับสำเนาพินัยกรรมที่ผู้ตายได้ทำพินัยกรรมให้จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายพร้อมกับสำเนาคำให้การของจำเลยแล้ว โจทก์ก็มิได้คัดค้านการนำสืบสำเนาเอกสารดังกล่าว และบอกกล่าวไปยังจำเลยเสียก่อนวันสืบพยาน ดังนั้น โจทก์จึงต้องห้ามมิให้คัดค้านถึงการมีอยู่และความแท้จริง หรือความถูกต้องแห่งสำเนาเอกสารนั้น ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 125 วรรคสาม และจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายอ้างเอกสารนั้นก็ไม่ต้องเอาต้นฉบับมาสืบ ศาลจึงมีอำนาจที่จะรับฟังสำเนาพินัยกรรมดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5541/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งคำร้องอุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา – ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาให้อีกฝ่ายก่อน
โจทก์ยื่นคำร้องขออุทธรณ์ปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาแต่ศาลชั้นต้นยังมิได้ส่งสำเนาคำร้องให้แก่อีกฝ่ายว่าจะคัดค้านหรือไม่ และยังมิได้พิจารณาว่าจะอนุญาตตามคำร้องหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องมาให้ศาลฎีกาพิจารณาสั่งคำร้องดังกล่าวจึงเป็นการไม่ชอบตาม ป.วิ.พ.มาตรา 223 ทวิ คดีจึงยังไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลฎีกา ศาลฎีกาให้จำหน่ายคดีเสียจากสารบบความศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5495/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฟังเอกสารประกอบคำให้การ แม้เป็นสำเนาและมิได้สืบประกอบ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ได้รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยไปแล้ว จึงมีปัญหาที่ศาลอุทธรณ์จะต้องวินิจฉัยว่า โจทก์ได้รับค่ารักษาพยาบาลจากจำเลยไปแล้วเพียงใดหรือไม่ เมื่อปรากฏว่าจำเลยให้การต่อสู้ไว้แล้วว่า จำเลยได้จ่ายเงินให้โจทก์เป็นค่าเสียหายเบื้องต้นจำนวน 10,000 บาท ปรากฏตามเอกสารท้ายคำให้การ และได้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้โจทก์ไปแล้ว 10,000 บาท ตามสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัย โดยผู้รับมอบอำนาจโจทก์เป็นผู้ไปรับเอง ตามเอกสารท้ายฟ้องเอกสารท้ายคำให้การดังกล่าวจึงเป็นเอกสารที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบแล้ว แม้จะเป็นสำเนาเอกสารและจำเลยมิได้สืบประกอบก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมก็ย่อมมีอำนาจรับฟังเอกสารดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานในคดีได้ ตามป.วิ.พ.มาตรา 87
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2298/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการส่งสำเนาอุทธรณ์ และผลกระทบต่อการรับอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง 2 ประการ คือ สั่งไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ และสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลย ในกรณีสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์หากจำเลยไม่เห็นด้วยต้องทำเป็นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223,229ซึ่งมาตรา 235 บัญญัติบังคับให้ต้องส่งสำเนาอุทธรณ์แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ส่วนในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์หากจำเลยไม่เห็นด้วยต้องทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ตามมาตรา 234 คดีนี้จำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งศาลชั้นต้นทั้งสองประการ และโต้แย้งคำสั่งทั้งสองประการรวมกันมาโดยทำเป็นอุทธรณ์ ไม่ได้แยกทำเป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ขึ้นต่างหาก ดังนี้ ในกรณีจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จำเลยต้องนำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ภายใน 7 วัน ตามคำสั่งศาลชั้นต้น แต่จำเลยไม่ได้ชำระเงินค่าส่งภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดก็ต้องถือว่าจำเลยทิ้งอุทธรณ์ตามที่ศาลชั้นต้นสั่งไว้ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกับที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าจำเลยไม่ติดใจให้ศาลมีคำสั่งเมื่ออุทธรณ์คำสั่งขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของจำเลยตกไป ดังนั้น ในส่วนที่เป็นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับอุทธรณ์ จึงไม่เป็นสาระ แก่คดีที่จำเลยจะขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลย เพราะพ้นกำหนดเสียแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปิดทับภาพถ่ายบนสำเนาเอกสาร ไม่เป็นความผิดฐานปลอมแปลงเอกสาร หากไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น
การที่จำเลยนำเอาภาพถ่ายของจำเลยเองมาปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลยถึงแม้จะกระทำไปเพื่อให้เจ้าพนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริงแต่ในเมื่อเป็นภาพถ่ายของจำเลยและเป็นสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลยเองการกระทำของจำเลยย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใดๆแต่ผู้อื่นหรือประชาชนจึงไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารแม้จำเลยจะนำไปใช้ก็ไม่ทำให้จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามที่โจทก์ฟ้องไปได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยแม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็ตามจำเลยผู้ฎีกาก็ยกขึ้นอ้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา195วรรคสองประกอบมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1154/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งฟ้องอุทธรณ์เนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลเกี่ยวกับการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ แม้จะวางค่าพาหนะแล้ว
ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นอุทธรณ์ให้โจทก์ทั้งหกนำส่งสำเนาอุทธรณ์ใน7วันส่งไม่ได้ให้แถลงใน7วันนับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นจะถือว่าทิ้งฟ้องอุทธรณ์ถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้วเมื่อไม่แถลงให้ศาลทราบว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปภายในกำหนด7วันนับแต่วันส่งไม่ได้จึงถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ประกอบมาตรา246แม้โจทก์จะได้วางเงินค่าพาหนะและค่าป่วยการในการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ล่วงหน้าก็ไม่ทำให้โจทก์หมดหน้าที่ที่จะต้องจัดการนำส่งสำเนาตามคำสั่งของศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การส่งสำเนาอุทธรณ์ซ้ำซ้อน ศาลสั่งให้จำเลยปฏิบัติตามคำสั่งเดิม มิใช่คำสั่งใหม่
จำเลยอุทธรณ์และยื่นคำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาในชั้นร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาจำเลยได้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์แล้วเมื่อศาลชั้นต้นยกคำร้องขออุทธรณ์คดีอย่างคนอนาถาของจำเลยและจำเลยนำเงินค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตลอดจนค่าธรรมเนียมซึ่งจะต้องใช้แก่คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นมาวางศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนดศาลชั้นต้นก็ชอบที่จะสั่งให้รับเงินและรับอุทธรณ์ของจำเลยไว้แล้วดำเนินการออกหมายนัดแจ้งให้โจทก์ทราบกับกำหนดให้โจทก์แก้อุทธรณ์ของจำเลยภายใน15วันนับแต่วันที่ได้รับหมายนัดไม่มีเหตุที่จะต้องสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ซ้ำอีกการที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ภายใน5วันจึงเป็นการ ผิดหลงและเป็นเหตุให้จำเลยสำคัญผิดว่าการที่จำเลยได้ส่งสำเนาอุทธรณ์แก่โจทก์ไว้ดังกล่าวแล้วในตอนต้นเป็นการที่จำเลยได้ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลชั้นต้นนั้นแล้วไม่จำต้องปฏิบัติซ้ำอีกจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีในการนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้โจทก์ตามคำสั่งศาลชั้นต้นอันจะเป็นการทิ้งอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3188/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องแสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน และการรับฟังสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับเมื่อต้นฉบับสูญหาย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ถอนเงินของโจทก์จากธนาคาร2 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 26 มิถุนายน 2528 เป็นเงิน 500,000 บาทครั้งที่สองเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2529 เป็นเงิน 200,000 บาทและเบียดบังเอาเป็นประโยชน์ส่วนตัวโดยทุจริต แล้วหลบหนีไปเป็นละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ซึ่งเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ไม่จำเป็นที่โจทก์จะต้องบรรยายว่าจำเลยที่ 1จงใจหรือประมาทเลินเล่ออีก คำฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม โจทก์นำสืบว่า ต้นฉบับสัญญาค้ำประกันสูญหายเพราะถูกจำเลยที่ 1ลักไป ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจไว้แล้ว อันเป็นการแสดงเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถส่งต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐานได้การที่ศาลชั้นต้นรับฟังสำเนาสัญญาค้ำประกัน จึงเท่ากับศาลชั้นต้นอนุญาตให้นำสำเนาเอกสารมาสืบได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) ศาลย่อมรับฟังสำเนาเอกสารแทนต้นฉบับเอกสารได้โดยชอบด้วยกฎหมาย การรับฟังสำเนาเอกสารเป็นพยานหลักฐานแทนต้นฉบับเอกสารตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) หาใช่เป็นการรับฟังต้นฉบับเอกสารเป็นพยานหลักฐาน อันจะต้องปิดอากรแสตมป์ที่ต้นฉบับนั้นไม่ ทั้งสำเนาเอกสารดังกล่าวก็มิใช่ต้นฉบับหรือคู่ฉบับหรือคู่ฉีก จึงไม่อยู่ในบังคับที่ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากร