คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
สิ้นผล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 53 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5954/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ บุริมสิทธิจากการก่อสร้างอาคารย่อมสิ้นผลหากไม่ได้จดทะเบียนรายการประมาณราคาชั่วคราวก่อนเริ่มงาน
โจทก์รับจ้างทำของบนที่ดินของจำเลยที่ 1 อันทำให้โจทก์มีบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ตาม ป.พ.พ. มาตรา 273 (2) แต่ก่อนลงมือทำการงานจ้าง โจทก์ไม่ได้ทำรายการประมาณราคาชั่วคราวไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ บุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพย์อันโจทก์มีอยู่ย่อมสิ้นผลไปตามมาตรา 286 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนบุริมสิทธิเหนืออสังหาริมทรัพทย์ในมูลจ้างทำของขึ้นบนที่ดินของจำเลยที่ 1 และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งเป็นผู้ยึดถือโฉนดที่ดินขอให้บังคับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 823/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประนอมหนี้ก่อนล้มละลายทำให้คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดสิ้นผลบังคับ
ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ก่อนล้มละลายของจำเลยซึ่งขอประนอมหนี้โดยยอมชำระค่าใช้จ่ายและหนี้สินตามมาตรา 130 (1) - (7) แห่ง พ.ร.บ.ล้มละลายฯ เต็มจำนวนและในทันทีเมื่อศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยการประนอมหนี้ จำเลยยอมชำระบรรดาหนี้ที่ศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้แล้วซึ่งทำให้จำเลยต้องผูกพันตามข้อตกลงในการประนอมหนี้และคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นอันยกเลิกไปในตัว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาฎีกาของจำเลยอีกต่อไป ชอบที่จะจำหน่ายคดีจากสารบบความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 948/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเปลี่ยนแปลงแบบก่อสร้างทำให้สัญญาเดิมสิ้นผล จำเลยไม่มีสิทธิปรับสัญญา
จำเลยผู้ว่าจ้างเป็นผู้เสนอขอยกเลิกข้อกำหนดเดิมในสัญญา โดยเสนอขอเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการก่อสร้างใหม่ ทำให้สัญญาในส่วนที่จะทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการก่อสร้างใหม่ยังไม่เกิด เพราะคู่สัญญายังไม่สามารถหาข้อยุติและยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับเรื่องการยืดเวลาการก่อสร้าง และนับแต่วันที่จำเลยขอเปลี่ยนแปลงแบบรูปรายการก่อสร้างงานเฉพาะในส่วนที่จะทำการเปลี่ยนแปลง โจทก์ผู้รับจ้างต้องหยุดทำการก่อสร้าง เนื่องจากต้องรอดูผลจากจำเลยว่าจะอนุมัติให้เปลี่ยนแปลงหรือไม่ งานในงวดที่ 4 และงวดสุดท้ายจึงไม่จำต้องผูกพันตามเงื่อนเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างเดิม การที่จำเลยใช้สิทธิปรับโจทก์ตามเงื่อนเวลาในสัญญาฉบับเดิมจึงไม่ถูกต้อง โจทก์มีเหตุผลในการส่งมอบงานล่าช้าซึ่งมิใช่ความผิดของโจทก์ โจทก์มิได้ผิดสัญญาจำเลยจึงไม่มีสิทธิปรับและหักเงินค่าจ้างโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมสิ้นผลจากมิได้ใช้สิบปี แม้ที่ดินว่างเปล่าก็เพียงพอแสดงเจตนาไม่ใช้สิทธิ
เมื่อที่ดินโฉนดเลขที่ 15267 ซึ่งมีสิทธิภารจำยอมเกี่ยวกับทางเดินบางส่วนในที่ดินโฉนดเลขที่ 225609 และ 15269 ถูกปล่อยให้เป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีการหาผลประโยชน์ใด ๆ บนที่ดิน ความจำเป็นที่จะต้องเดินผ่านทางภารจำยอมพิพาทไปสู่ที่ดินโฉนดเลขที่ 15267 จึงไม่มีตามไปด้วย เมื่อทางภารจำยอมไม่เคยใช้มาเกิน 10 ปี แล้วภารจำยอมจึงสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399
การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกคำขอของโจทก์ที่ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภารจำยอม เป็นการแก้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไว้แล้วว่าภารจำยอมได้สิ้นผลไปแล้ว ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ดังกล่าวจึงชอบแล้ว เพราะการวินิจฉัยดังกล่าวย่อมมีผลว่าโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากทางภารจำยอมที่กล่าวหาได้ศาลอุทธรณ์จึงต้องยกคำขอในส่วนนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมสิ้นผลเพราะไม่ได้ใช้สิบปี สภาพที่ดินว่างเปล่าไม่มีการใช้ประโยชน์
ที่ดินของโจทก์ซึ่งเป็นสามยทรัพย์มีภารจำยอมเกี่ยวกับทางเดินในที่ดินของจำเลยถูกปล่อยให้เป็นที่ว่างเปล่าไม่มีการหาผลประโยชน์บนที่ดิน ความจำเป็นที่จะต้องเดินผ่านทางภารจำยอมไปสู่ที่ดินของโจทก์จึงไม่มีตามไปด้วย เมื่อโจทก์มิได้ใช้ทางภารจำยอม 10 ปี แล้ว ภารจำยอมจึงสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1399

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5143/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันครอบคลุมหนี้ทั้งปัจจุบันและอนาคต ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในหนี้ใหม่ด้วย หากสัญญายังไม่สิ้นผล
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ ฉบับแรกมีจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 เป็นผู้ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่จะมีต่อไปในภายหน้าและให้มีผลตลอดไปตราบเท่าที่จำเลยที่ 1 ยังมีหนี้สินคงค้างอยู่กับโจทก์ ซึ่งสัญญาค้ำประกันดังกล่าวมิได้กำหนดว่าค้ำประกันหนี้จำนวนใดโดยเฉพาะเจาะจง และมิได้กำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของสัญญาค้ำประกัน แม้ต่อมาจำเลยที่ 1 จะได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้กับโจทก์ใหม่อีก โดยมีจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้ค้ำประกัน ซึ่งจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในสัญญาค้ำประกันหนี้ใหม่ก็ตาม แต่ก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ได้ตกลงยกเลิกสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ต่อกัน และให้ยึดถือเอาสัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ทำไว้กับโจทก์เพียงฉบับเดียว ดังนั้น สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ทำไว้กับโจทก์จึงยังคงมีผลบังคับอยู่ เมื่อโจทก์นำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีฉบับใหม่มาฟ้อง จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 7 ต้องรับผิดในหนี้ใหม่ตามสัญญาค้ำประกันที่ทำไว้ต่อโจทก์ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 503/2543

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันตามสัญญาว่าจ้างเดิมสิ้นผลเมื่อทำสัญญาใหม่โดยไม่แจ้งเจ้าหนี้ค้ำประกัน
โจทก์ทำสัญญาว่าจ้างจำเลยร่วมก่อสร้างสถานีบริการน้ำมัน โดยมีจำเลยที่ 1ทำสัญญาค้ำประกัน ต่อมาจำเลยร่วมไม่ปฏิบัติตามสัญญา โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยร่วม หลังจากนั้นโจทก์กับจำเลยร่วมได้ทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันกันใหม่ โดยเปลี่ยนแปลงกำหนดเวลาเริ่มต้นการก่อสร้างใหม่ และกำหนดระยะเวลาก่อสร้างเป็น 5 งวด โดยโจทก์ไม่ได้แจ้งให้จำเลยที่ 1 ทราบและจำเลยที่ 1ก็ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกันสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันฉบับหลังจำเลยที่ 1 จึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ แม้จำเลยร่วมผิดสัญญาฉบับหลังและโจทก์บอกเลิกสัญญาฉบับหลังแล้วก็ตาม โจทก์จะอาศัยสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันฉบับหลังมาฟ้องร้องบังคับตามสัญญาค้ำประกันสัญญาว่าจ้างก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันฉบับแรกที่จำเลยที่ 1 ทำไว้หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2846/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมฯ สิ้นผลเมื่อลูกจ้างลาออก ศาลไม่วินิจฉัยคำร้องขอแก้ไขสัญญา
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นว่าจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานสโตร์อะไหล่ตามที่โจทก์จำเลยตกลงกันในห้องพิจารณา ศาลแรงงานมีคำสั่งยกคำร้อง ข้อเท็จจริงเป็นอันยุติว่าจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานสโตร์ตามสัญญาประนีประนอมยอมความแล้ว แต่ภายหลังจากที่โจทก์ยื่นคำร้องขอให้แก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลแรงงาน โจทก์ก็ไม่ได้ทำงานกับจำเลยเพราะโจทก์ลาออกไปแล้ว เท่ากับว่าโจทก์มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยอีกต่อไป ปัญหาเรื่องการแก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความตามคำร้องของโจทก์เพื่อให้ได้ความว่าจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างไม่ว่าในตำแหน่งใดย่อมไม่เป็นประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยต่อไป อุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้แก้ไขสัญญาประนีประนอมยอมความจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6990/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยโดยปริยาย เนื่องจากการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง และการไม่ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้สัญญาสิ้นผล
หนังสือข้อตกลงระบุถึงการเลิกสัญญาว่า "ถ้าผู้รับโครงการไม่ดำเนินการใด ๆหรือดำเนินการไม่เป็นไปตามข้อผูกพันในข้อตกลงแม้ข้อหนึ่งข้อใด ภายในกำหนด 90 วันถือว่าข้อตกลงนี้สิ้นสุดลงโดยมิต้องบอกกล่าวให้ผู้รับโครงการทราบ คุรุสภาจะสรรหาผู้จะรับเป็นผู้รับโครงการอื่นต่อไป" ดังนี้ แม้ ก. และ ห. พยานโจทก์จะเบิกความเพื่อแสดงให้เห็นว่าหนังสือข้อตกลงยังไม่มีการยกเลิกก็ตาม แต่พยานเหล่านี้เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า เมื่อโครงการประสบความล้มเหลว โจทก์ได้จัดให้ผู้อื่นเข้าดำเนินการ ส่วนจำเลยที่ 1 นำป้ายโครงการออกแล้วใช้ชื่อ "หมู่บ้านเดชา" ดำเนินการต่อมา โจทก์กับจำเลยทั้งสองไม่ได้ติดต่อกันทางเอกสารเป็นเวลาประมาณ 5 ปี พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างไม่ติดใจที่จะปฏิบัติตามหนังสือข้อตกลงต่อไป หนังสือข้อตกลงดังกล่าวย่อมยกเลิกกันโดยปริยายโจทก์ไม่มีสิทธิบังคับให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามหนังสือข้อตกลงที่เลิกกันไปแล้วได้
เมื่อหนังสือข้อตกลงดังกล่าวได้ยกเลิกไปแล้ว ไม่มีผลบังคับ จึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ว่าหนังสือข้อตกลงเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษ มิใช่สัญญาต่างตอบแทนธรรมดา เพราะไม่เป็นสาระแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7478/2541

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความครอบคลุมค่าฤชาธรรมเนียมศาลชั้นต้น คำพิพากษาเดิมสิ้นผล
โจทก์และจำเลยทั้งสี่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ กันในชั้นอุทธรณ์ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความมิได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่า เงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความจำนวนเงิน404,005 บาท ที่จำเลยทั้งสี่ได้วางศาลใช้แทนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ตกเป็นของโจทก์หรือคืนให้แก่จำเลยทั้งสี่ คงมีระบุไว้แต่เพียงว่า โจทก์และจำเลยทั้งสี่ติดใจเรียกร้องต่อกันเพียงนี้ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากส่วนที่ศาลจะสั่งคืนและค่าทนายความให้ตกเป็นพับกรณีไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์และจำเลยทั้งสี่จะตกลงกันเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์เท่านั้นดังนั้นข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความย่อมหมายความรวมถึงค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความในศาลชั้นต้นด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความของโจทก์และจำเลยทั้งสี่แล้ว ถือได้ว่าสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นส่วนหนึ่งของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คำพิพากษาศาลชั้นต้นจึงไม่ผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสี่ในกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นที่ได้พิพากษาเพราะคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่งโจทก์จึงไม่มีสิทธิขอรับเงินค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่จำเลยทั้งสี่วางศาลใช้แทนโจทก์ได้
of 6