คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
หน้าที่ศาล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 38 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3379/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจเจ้าพนักงานบังคับคดีในการอายัดทรัพย์สินจากบุคคลภายนอก และหน้าที่ของศาลในการพิจารณาคำร้อง
ภายใต้บังคับบทบัญญัติ แห่ง ป.วิ.พ. ว่าด้วยการบังคับคดีฯ เมื่อศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีย่อมมีอำนาจในฐานเป็นผู้แทนเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะรับชำระหนี้หรือทรัพย์สินที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษานำมาวาง ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษา รวมทั้งมีอำนาจรวบรวมเงินที่บุคคลภายนอกจะต้องชำระให้แก่ลูกหนี้ตามคำพิพากษาโดยวิธีอายัดเงินเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 278 และมาตรา 282 (3) หรือในกรณีที่ศาลเห็นสมควร ศาลจะกำหนดไว้ในหมายบังคับคดีระบุให้เจ้าพนักงานบังคับคดีจัดการยึดอายัดทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องต่อบุคคลภายนอกของลูกหนี้ตามคำพิพากษาก็ได้ตามมาตรา 311 วรรคสอง ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสืออายัดเงินค่าเช่าที่ลูกหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิจะได้รับจากผู้คัดค้านไปยังผู้คัดค้าน จึงเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีที่จะดำเนินการได้ ทั้งนี้ไม่ว่าหนี้ของผู้คัดค้านซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจะมีข้อโต้แย้ง ข้อจำกัดหรือเงื่อนไขใด ส่วนผู้คัดค้านมีสิทธิปฏิเสธหรือโต้แย้งได้โดยการยื่นคำร้องต่อศาลตามมาตรา 312 วรรคหนึ่ง ถ้าคำสั่งอายัดไม่มีการคัดค้านหรือศาลมีคำสั่งรับรองตามวรรคหนึ่งแล้วผู้คัดค้านไม่ปฏิบัติตาม เจ้าพนักงานบังคับคดีอาจร้องขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีแก่ผู้คัดค้านและดำเนินการไปเสมือนหนึ่งว่าผู้คัดค้านเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษา ตามมาตรา 312 วรรคสอง มิใช่หน้าที่ของโจทก์แต่อย่างใด โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกกรรมการบริษัทผู้คัดค้านมาไต่สวนและมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านส่งเงินค่าเช่าที่อายัดไปยังเจ้าพนักงานบังคดีหาได้ไม่ ที่ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องและมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านส่งเงินค่าเช่าที่อายัดและศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำนวนเงินที่ให้ผู้คัดค้านส่งเงินที่อายัดไปยังเจ้าพนักงานบังคับคดี จึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1803/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลแจ้งคำสั่งขยายระยะเวลาอุทธรณ์ การไม่แจ้งถือว่าจำเลยยังไม่ทราบคำสั่ง
แม้ท้ายคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยจะมีหมายเหตุข้อความว่า ข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอถือว่าทราบแล้ว แต่การที่ศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยในวันเดียวกันกับที่จำเลยยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบ เมื่อไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นให้จำเลยทราบ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวแล้ว เมื่อจำเลยไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้ยกคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ของจำเลยโดยมิได้เป็นความผิดของจำเลย ทำให้จำเลยทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นเมื่อพ้นกำหนดระยะเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จึงเสียสิทธิที่จะยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนดเวลาที่ยังเหลืออยู่ ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำเลยจะไม่ได้ฎีกา แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร ย่อมจะยกขึ้นได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 247 ประกอบมาตรา 246 และ 142 (5) กรณีมีเหตุสมควรที่จะขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3802/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลชั้นต้นเมื่อได้รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ และผลของการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เรื่องกำหนดเวลา
เมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์แล้ว ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 ไม่มีหน้าที่จะตรวจสั่งไม่รับเหมือนอย่างชั้นรับหรือไม่รับอุทธรณ์ตามความในมาตรา 232 การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์จึงไม่ชอบ แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ส่งอุทธรณ์และสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวยื่นเกินกำหนดและให้ยกอุทธรณ์ จึงมีผลเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3802/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ และผลของการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เรื่องกำหนดเวลา
จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ส่งคำร้องนั้นไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 ไม่มีหน้าที่จะตรวจสั่งไม่รับเหมือนอย่างชั้นรับหรือไม่รับอุทธรณ์ตามความในมาตรา 232 การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์จึงไม่ชอบ แต่เมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ส่งอุทธรณ์และสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยว่าคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ดังกล่าวยื่นเกินกำหนดและให้ยกอุทธรณ์ จึงมีผลเป็นการที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับอุทธรณ์ยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้น คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9407/2546 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับอุทธรณ์: บทบาทหน้าที่ศาลชั้นต้นและการยื่นอุทธรณ์ภายในกำหนด
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ เช่นนี้ จำเลยที่ 1 ต้องยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์ ภายในกำหนด 15 วัน นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 234 ซึ่งกรณีนี้ ป.วิ.พ. มาตรา 236 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นส่งคำร้องเช่นนี้ไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่งโดยไม่ชักช้า โดยศาลชั้นต้นไม่มีหน้าที่ จะตรวจสั่งไม่รับคำร้องเช่นว่านั้นเหมือนอย่างชั้นสั่งรับหรือไม่รับอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 232 การที่ศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งเสียเองย่อมไม่ต้องด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ศาลฎีกาจึงให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์เสีย แต่เมื่อคดีขึ้นมาสู่ศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียทีเดียวโดยไม่ต้อง ให้ศาลชั้นต้นส่งคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาสั่ง และเมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นที่ไม่รับอุทธรณ์เกินกำหนด 15 วัน นับแต่วันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์ จึงไม่อาจรับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยที่ 1 ไว้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1722/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลแจ้งคำสั่งขยายเวลาอุทธรณ์ ความบกพร่องของศาลถือเป็นเหตุสุดวิสัย
โจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันถัดมาว่าอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์แต่น้อยกว่าระยะเวลาที่โจทก์ขอ แม้ท้ายคำร้องของโจทก์จะมีหมายเหตุข้อความว่าข้าพเจ้ารอฟังคำสั่งอยู่ ถ้าไม่รอให้ถือว่าทราบแล้วก็ตาม แต่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้มีคำสั่งในวันเดียวกันกับที่โจทก์ยื่นคำร้อง ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องแจ้งคำสั่งให้โจทก์ทราบ เมื่อไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งของศาลชั้นต้นให้โจทก์ทราบ จะถือว่าโจทก์ได้ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นแล้วมิได้ การที่โจทก์ไม่ทราบคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์น้อยกว่าที่โจทก์ขอจึงมิใช่เป็นความผิดของโจทก์ หากแต่เหตุเกิดจากความบกพร่องของศาลชั้นต้นเองที่ไม่ดำเนินการแจ้งคำสั่งศาลให้โจทก์ทราบ กรณีดังกล่าวจึงนับว่าเป็นเหตุสุดวิสัย ศาลฎีกาอนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ตามคำร้องขอครั้งที่สองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8750/2542

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลในการพิจารณาฟ้องแย้งร่วมกับคำให้การ และความชอบด้วยกฎหมายของการสั่งให้พิจารณาก่อนพิพากษา
จำเลยฟ้องแย้งและมีคำขอบังคับโจทก์รวมมาในคำให้การตรงกับบทบัญญัติของกฎหมาย ศาลชั้นต้นจึงมีหน้าที่ต้องตรวจฟ้องแย้งของจำเลยและมีคำสั่งตามที่พิจารณาเห็นสมควรว่าจะรับไว้พิจารณาต่อไป หรือไม่ โดยต้องพิจารณาประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การโดยมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องฟ้องแย้งของจำเลยไว้เลย จึงเป็นการไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว และเมื่อคดียังมีปัญหาเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยเช่นนี้ สมควรให้ศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งฟ้องแย้งของจำเลยเสียก่อนแล้วจึงค่อยพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจสั่งได้ตาม มาตรา 27 และเมื่อศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งเกี่ยวกับฟ้องแย้งของจำเลยจึงยังไม่มีเหตุที่จำเลยจะมาอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งในเรื่องฟ้องแย้งโดยขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับฟ้องแย้งได้ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยและให้ศาลชั้นต้นสั่งฟ้องแย้งของจำเลยก่อนแล้วดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปนั้นชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3971/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ หน้าที่ศาลในการสอบถามจำเลยเรื่องทนายความก่อนพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษจำคุก หากไม่ดำเนินการ กระบวนพิจารณาไม่ถูกต้อง
เป็นหน้าที่ของศาลชั้นต้นที่จะต้องสอบถามจำเลยก่อนเริ่มพิจารณาคดีที่มีอัตราโทษจำคุกเสียก่อนว่าจำเลยมีและต้องการทนายความหรือไม่ ตาม ป.วิ.อ.มาตรา 173 วรรคสอง เมื่อไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีการดำเนินการดังกล่าว การดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจึงไม่ถูกต้อง จำเป็นต้องดำเนินการใหม่ให้ถูกต้อง แม้จำเลยมิได้ฎีกาในปัญหานี้ก็ตาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2124/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขออนุญาตฎีกาข้อเท็จจริงหลังศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา และหน้าที่ของศาลในการส่งคำร้องต่ออธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค
ในชั้นฎีกาประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้อธิบดีผู้พิพากษาภาคมีอำนาจอนุญาตให้ฎีกาในข้อเท็จจริงได้ และบุคคลผู้มีอำนาจรับรองหรืออนุญาต ให้ฎีกานี้มาตราดังกล่าวก็บัญญัติไว้ชัดแจ้งแล้วว่ามีบุคคลใดบ้าง จึงไม่จำต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยผู้มีอำนาจอนุญาตให้อุทธรณ์ ในข้อเท็จจริงมาใช้บังคับโดยอนุโลม คำว่า ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์และอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งหมายถึงผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาคและอธิบดีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ด้วยตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลอุทธรณ์ภาค พ.ศ. 2532 มาตรา 8 ซึ่งการยื่นขอให้รับรองหรืออนุญาตตามมาตรานี้จะต้องยื่นภายใน กำหนดอายุฎีกา แต่การที่จำเลยทั้งสองขอให้อธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับรองหรืออนุญาตให้ฎีกาหลังจากที่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองแล้ว ซึ่งในชั้นฎีกา ไม่มีบทบัญญัติโดยตรงในเรื่องนี้เหมือนเช่นในชั้นอุทธรณ์ ที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 วรรคสามจึงต้องนำมาตรา 230 วรรคสาม มาใช้บังคับโดยอนุโลมตามที่ บัญญัติไว้ในมาตรา 247 ดังนั้น เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ผู้ฎีกาชอบที่จะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นถึงอธิบดีผู้พิพากษา ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ภายใน 7 วัน เมื่อศาลชั้นต้นได้รับคำร้อง เช่นว่านั้นก็ต้องส่งคำร้องนั้นพร้อมด้วยสำนวนความไปยังอธิบดี ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 เพื่อมีคำสั่งยืนตามหรือกลับคำสั่ง ของศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8125/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งสำเนาฎีกาในคดีอาญา: หน้าที่ศาลและผลของการไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง
ในคดีอาญา ศาลชั้นต้นต้องมีหน้าที่ส่งสำเนาฎีกาให้จำเลยโดยตรงจะให้โจทก์เป็นผู้นำส่งหาชอบไม่ ทั้งนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 200 ประกอบมาตรา216 และจะนำ ป.วิ.พ.มาตรา 70 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15มาใช้บังคับให้โจทก์เป็นผู้นำส่งสำเนาฎีกาหาได้ไม่ เพราะได้มีบทบัญญัติเรื่องการส่งสำเนาฎีกาไว้ตาม ป.วิ.อ.โดยชัดแจ้งแล้ว
เมื่อคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์นำส่งสำเนาฎีกาในคดีอาญาเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบ แม้โจทก์มิได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด กรณีก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทิ้งฎีกา
of 4