พบผลลัพธ์ทั้งหมด 14 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3267/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีพิพาทที่ดิน: การแจ้งเท็จเกี่ยวกับอาณาเขตไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อสิทธิครอบครอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า ที่ดินของจำเลยกับของโจทก์อยู่ติดกันโดยที่ดินของจำเลยทางด้านทิศตะวันตกติดที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยได้ขอออกโฉนดที่ดินของจำเลยโดยแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานที่ดินว่าที่ดินของจำเลยด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ เป็นเหตุให้เจ้าพนักงานที่ดินออกโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยและระบุรูปแผนที่ที่ดินของจำเลยว่าทางด้านทิศตะวันตกติดทางสาธารณประโยชน์ทำให้โจทก์ไม่สามารถขอออกโฉดที่ดินได้ แต่โจทก์มิได้บรรยายว่าเพราะเหตุใดการกระทำของจำเลยจึงเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินได้ อีกทั้งการกระทำของจำเลยดังกล่าวก็เป็นเรื่องการขอออกโฉนดที่ดินในส่วนที่ดินของจำเลยโดยเฉพาะ ไม่มีผลโดยตรงต่อเนื้อที่ดินของโจทก์ กล่าวคือ มิได้ขอออกโฉนดที่ดินรุกล้ำทับที่ดินของโจทก์หรือเป็นการรบกวนการครอบครองหรือแย่งสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ สิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์มีอยู่อย่างไรก็ยังคงมีอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และเป็นเรื่องที่โจทก์จะต้องพิสูจน์สิทธิครอบครองต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ถือไม่ได้ว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วเห็นว่า การที่โจทก์จะออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดิน จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง มีผลเป็นการวินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) กรณีมิใช่เรื่องสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตามมาตรา 151 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลชั้นต้นพิเคราะห์คำฟ้องแล้วเห็นว่า การที่โจทก์จะออกโฉนดที่ดินได้หรือไม่เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการทางเจ้าพนักงานที่ดิน จึงมีคำสั่งไม่รับคำฟ้อง มีผลเป็นการวินิจฉัยเนื้อหาแห่งคดีตาม ป.วิ.พ. มาตรา 131 (2) กรณีมิใช่เรื่องสั่งรับหรือไม่รับคำคู่ความตามมาตรา 18 จึงไม่มีเหตุที่จะคืนค่าธรรมเนียมศาลแก่โจทก์ตามมาตรา 151 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2540 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกลับคืนสู่สัญชาติเดิมหลังโอนอาณาเขต: กรณีสัญชาติโดยอนุสัญญา
คำแปลหนังสือยืนยันความตกลงด้วยวาจาระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยกับหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศส ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ.1946 (พ.ศ.2489) ระบุไว้ว่า"พลเมืองซึ่งได้สัญชาติไทยโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1941จะได้กลับคืนสู่สัญชาติเดิมของเขาทีเดียวในทันทีที่การโอนอาณาเขตดังกล่าวข้างต้นเสร็จสิ้นลง พลเมืองซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายคงรักษาสัญชาตินี้ไว้" ไม่มีข้อกำหนดให้บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับลงวันที่9 พฤษภาคม ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484) คงมีสัญชาติไทยอยู่ต่อไปหากเดินทางออกจากแขวงจำปาศักดิ์เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวร โจทก์เป็นบุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1941 (พ.ศ.2484)ไม่ใช่บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิด หรือได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมาย จึงกลับคืนสู่สัญชาติเดิมของโจทก์ในทันทีที่การโอนอาณาเขตจังหวัดนครจำปาศักดิ์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเสร็จสิ้นลง ดังนั้น โจทก์จึงไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกลับสู่สัญชาติเดิมหลังโอนอาณาเขต: การพิจารณาบุคคลที่ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญา
หนังสือยืนยันความตกลงด้วยวาจาระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยกับหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศส ณ กรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 17 พฤศจิกายนค.ศ. 1946 ระบุว่า พลเมืองซึ่งได้สัญชาติไทยโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 9พฤษภาคม ค.ศ. 1941 จะได้กลับคืนสู่สัญชาติเดิมของเขาทีเดียวในทันทีที่การโอนอาณาเขตเสร็จสิ้นลง พลเมืองซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายคงรักษาสัญชาตินี้ไว้ ความตกลงดังกล่าวไม่มีข้อกำหนดให้บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 คงมีสัญชาติไทยอยู่ต่อไปหากเดินทางออกจากแขวงจำปาศักดิ์เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวรโจทก์เป็นผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ไม่ใช่บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิด หรือได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมาย จึงกลับคืนสู่สัญชาติเดิมของโจทก์ในทันทีที่การโอนอาณาเขตจังหวัดนครจำปาศักดิ์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเสร็จสิ้นลง โจทก์จึงไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 509/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงสัญชาติเนื่องจากการโอนอาณาเขตและอนุสัญญาฯ การกลับสู่สัญชาติเดิมเมื่ออาณาเขตเปลี่ยน
คำแปลหนังสือยืนยันความตกลงด้วยวาจาระหว่างหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายไทยกับหัวหน้าคณะผู้แทนฝ่ายฝรั่งเศษณกรุงวอชิงตันประเทศสหรัฐอเมริกา ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946(พ.ศ.2489) ระบุไว้ว่า "พลเมืองซึ่งได้สัญชาติไทยโดยอาศัยอนุสัญญาฉบับลงวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1941 จะได้กลับคืนสู่สัญชาติเดิมของเขาทีเดียวในทันที่ที่การโอนอาณาเขตดังกล่าวข้างต้นเสร็จสิ้นลง พลเมืองซึ่งมีสัญชาติไทยโดยกำเนิดหรือซึ่งได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมายคงรักษาสัญชาตินี้ไว้"ไม่มีข้อกำหนดให้บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับลงวันที่9 พฤษภาคม ค.ศ.1941(พ.ศ.2484) คงมีสัญชาติไทยอยู่ต่อไปหากเดินทางออกจากแขวงจำปาศักดิ์เข้ามาอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการถาวร โจทก์เป็นบุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยอนุสัญญาฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1941(พ.ศ.2484) ไม่ใช่บุคคลผู้ได้สัญชาติไทยโดยกำเนิด หรือได้รับสัญชาติไทยตามกฎหมาย จึงกลับคืนสู่สัญชาติเดิมของโจทก์ในทันทีที่การโอนอาณาเขตจังหวัดนครจำปาศักดิ์ให้แก่ประเทศฝรั่งเศสเสร็จสิ้นลง ดังนั้นโจทก์จึงไม่ใช่บุคคลสัญชาติไทยอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1582/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจผู้ว่าฯ เพิกถอน น.ส.3 กรณีอาณาเขตคลาดเคลื่อนกระทบสาธารณประโยชน์ ชอบด้วยกฎหมาย
ประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา 61 บัญญัติว่า เมื่อปรากฏว่าได้ออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์โดยคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพมหานครมีอำนาจสั่งเพิกถอนหรือแก้ไขได้ กฎหมายดังกล่าวได้บัญญัติไว้ในลักษณะให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีอำนาจที่จะพิจารณาว่า กรณีใดควรจะสั่งเพิกถอนหรือแก้ไข การที่ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ของโจทก์ทั้งฉบับเนื่องจากระบุอาณาเขตด้านทิศตะวันตก คลาดเคลื่อน ทั้งที่ตามความเป็นจริงจดที่สาธารณประโยชน์อันจะมีผลให้ที่สาธารณประโยชน์ดังกล่าวหายไป คำสั่งให้เพิกถอนดังกล่าวจึงชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินวัด การพิสูจน์อาณาเขต และการบุกรุกโดยไม่ได้รับอนุญาต
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงแห่งข้อหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำโขง เนื้อที่ 150ตารางวา ทำให้โจทก์เสียหาย โดยมีแผนที่สังเขปแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ส่วนที่จำเลยบุกรุกแนบมาท้ายฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วยและมีคำขอบังคับขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักข้อหาชัดเจนชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้วจึงไม่เคลือบคลุม โจทก์เป็นวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ในวัดโดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่ายังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่ ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะ พัง เป็นที่ลาดต่ำลงไปเมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกันที่ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หา กลาย เป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1206/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินวัด การบุกรุก และการพิสูจน์อาณาเขตที่ดินตามทะเบียนวัด
ฟ้องโจทก์บรรยายข้อเท็จจริงแห่งข้อหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ทางด้านทิศเหนือซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำโขง เนื้อที่150 ตารางวา ทำให้โจทก์เสียหาย โดยมีแผนที่สังเขปแสดงแนวเขตที่ดินของโจทก์ส่วนที่จำเลยบุกรุกแนบมาท้ายฟ้อง ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วยและมีคำขอบังคับขอให้ขับไล่และให้ใช้ค่าเสียหาย ฟ้องโจทก์จึงเป็นฟ้องที่ได้บรรยายสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักข้อหาชัดเจนชอบด้วย ป.ว.พ. มาตรา 172 แล้ว จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์เป็นวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ในวัดโดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่ายังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่
ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นที่ลาดต่ำลงไป เมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ที่ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หากลายเป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
โจทก์เป็นวัดที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้บางครั้งจะไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่ในวัดโดยมีลักษณะเป็นวัดร้าง แต่เมื่อไม่มีการยุบเลิกวัด จึงต้องถือว่ายังคงมีฐานะเป็นวัดอยู่
ที่ดินของโจทก์ส่วนที่เป็นที่ลาดลงไปสู่แม่น้ำถูกน้ำท่วมถึงเป็นบางฤดูกาล เพราะที่ดินส่วนนี้ถูกน้ำเซาะพังเป็นที่ลาดต่ำลงไป เมื่อไม่ปรากฏว่ามีประชาชนเข้าใช้ที่ส่วนนี้เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ที่ส่วนนี้ก็ยังเป็นที่ดินของโจทก์ หากลายเป็นทางน้ำหรือที่ชายตลิ่งอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินไม่.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1219-1222/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การได้กรรมสิทธิ์จากการครอบครองปรปักษ์หลังการยกที่ดินให้บุตร โดยมีอาณาเขตชัดเจน
เมื่อปรากฏว่าโจทก์และสามีโจทก์ยกที่ดินมีโฉนดให้แก่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นบุตร และยอมให้จำเลยทั้งสองเข้าทำกินมาประมาณ 20 ปีโดยมีอาณาเขตเป็นส่วนสัด ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของโดยความสงบและโดยเปิดเผย จำเลยทั้งสองจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินส่วนที่ตนครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 และใช้ยันโจทก์ได้แม้ในการยื่นคำร้องขอต่อศาลขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท จำเลยทั้งสองจะมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบ และกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นคนหลงใหลสติฟั่นเฟือน กับใช้วิธีขอให้ศาลประกาศทางหนังสือพิมพ์ ก็ไม่ทำให้สิทธิของจำเลยทั้งสองเสียไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรม: การแบ่งที่ดินตามพินัยกรรมต้องเป็นไปตามอาณาเขตและเนื้อที่จริง แม้พินัยกรรมระบุเนื้อที่เกินจริง
เมื่อพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองระบุชัดแจ้งว่าผู้ใดได้ที่ดินที่ตรงไหน อย่างไรการแบ่งที่ดินก็ย่อมต้องแบ่งไปตามที่ระบุในพินัยกรรม การที่จำนวนเนื้อที่ดินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมีมากกว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริง ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งจำนวนเนื้อที่ย่อมได้รับลดน้อยลงไป จะถือเอาตามจำนวนที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่ ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งโดยระบุอาณาเขตไม่ระบุเนื้อที่ก็ย่อมต้องได้ตามอาณาเขตที่ระบุในพินัยกรรม จะนำพยานบุคคลมาสืบพิสูจน์เจตนาผู้ทำพินัยกรรมให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2853/2523
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกตามพินัยกรรม: ถือตามอาณาเขตที่ระบุ แม้เนื้อที่รวมในพินัยกรรมเกินจำนวนที่ดินจริง
เมื่อพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองระบุชัดแจ้งว่าผู้ใดได้ที่ดินที่ตรงไหน อย่างไร การแบ่งที่ดินก็ย่อมต้องแบ่งไปตามที่ระบุในพินัยกรรม การที่จำนวนเนื้อที่ดินตามที่ระบุไว้ในพินัยกรรมมีมากกว่าจำนวนเนื้อที่ดินที่แท้จริงฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งเป็นจำนวนเนื้อที่ย่อมได้รับลดน้อยลงไป จะถือเอาตามจำนวนที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่ฝ่ายที่ได้รับส่วนแบ่งโดยระบุอาณาเขตไม่ระบุเนื้อที่ก็ย่อมต้องได้ตามอาณาเขตที่ระบุไว้ในพินัยกรรมจะนำพยานบุคคลมาสืบพิสูจน์เจตนาผู้ทำพินัยกรรมให้ผิดแผกแตกต่างไปจากที่ระบุไว้ในพินัยกรรมหาได้ไม่