พบผลลัพธ์ทั้งหมด 36 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2544
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการประนีประนอมยอมความข้ามประเภทคดี และการไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ใบแต่งทนายความของโจทก์ในคดีนี้ซึ่งเป็นคดีแรงงานระบุว่าให้ทนายโจทก์มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใดไปในทางจำหน่ายสิทธิของโจทก์ด้วย เช่น การประนีประนอมยอมความทนายโจทก์จึงมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์แม้สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงว่า โจทก์จะถอนฟ้องคดีอาญา และถอนฟ้อง ถอนคำร้องทุกข์ในคดีอื่น ๆ และโจทก์จำเลยต่างจะไม่ดำเนินคดีใด ๆ ต่อกันอีกไม่ว่าทางแพ่งหรืออาญา และคดีอาญาดังกล่าวมิใช่คดีแรงงาน แต่ในใบแต่งทนายดังกล่าวมอบหมายให้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้โดยมิได้จำกัดไว้แต่เฉพาะคดีแรงงานเท่านั้น และข้อตกลงดังกล่าวก็เกี่ยวเนื่องกับประเด็นที่พิพาทกันในคดีแรงงาน ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่ขัดต่อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ทั้งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 38 มิได้จำกัดให้ศาลแรงงานต้องไกล่เกลี่ยได้แต่เฉพาะคดีแรงงาน ศาลแรงงานจึงพิพากษาตามยอมได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6750/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายถอนฟ้อง, อายุความครอบครอง, สิทธิเรียกร้องคืนการครอบครองที่ดิน
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ให้ออกจากที่ดินพิพาทการดำเนินคดีดังกล่าวโจทก์ได้แต่งตั้งให้จำเลยที่ 8 เป็นทนายความดำเนินคดีแทนและได้ให้อำนาจจำเลยที่ 8 ถอนฟ้องได้ด้วย จำเลยที่ 8 จึงมีอำนาจถอนฟ้องได้ในขอบเขตที่ได้รับมอบอำนาจ หากการกระทำของจำเลยที่ 8ก่อให้เกิดความเสียหายก็เป็นความผิดของโจทก์ในการเลือกบุคคลเป็นตัวแทนโจทก์จะอ้างว่าจำเลยที่ 8 กับพวกฉ้อฉลโจทก์ทำให้การถอนฟ้องเป็นโมฆียะกรรมเมื่อบอกล้างแล้วจึงตกเป็นโมฆะไม่ผูกพันโจทก์หาได้ไม่ การที่จำเลยที่ 8 ถอนฟ้องในคดีดังกล่าวจึงผูกพันโจทก์โดยชอบด้วยกฎหมายส่วนการกระทำของจำเลยที่ 8 หากเป็นละเมิดก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ประการใด โจทก์ก็ชอบที่จะว่ากล่าวแก่จำเลยที่ 8 ต่างหากได้เมื่อการที่จำเลยที่ 8 ถอนฟ้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมายแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการถอนฟ้องได้
การที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 พร้อมด้วยบริวารออกจากที่ดินพิพาทก็มีความหมายเท่ากับโจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทคืนเป็นของตนนั่นเอง เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ที่ครอบครองย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ คงได้เฉพาะสิทธิครอบครองเท่านั้น ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่ครอบครองจะต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ถ้าไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้ครอบครองย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกเอาคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง และข้อเท็จจริงปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่ที่โจทก์ฟ้องเป็นครั้งแรกซึ่งฟ้องในปี 2531 ตลอดมา และโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องวันที่ 10 สิงหาคม2533 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาท หาใช่โจทก์จะใช้สิทธิฟ้องเรียกเอาสิทธิครอบครองคืนเมื่อใดก็ได้เพราะไม่มีกำหนดอายุความไม่
การที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 พร้อมด้วยบริวารออกจากที่ดินพิพาทก็มีความหมายเท่ากับโจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินพิพาทคืนเป็นของตนนั่นเอง เมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ที่ครอบครองย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ คงได้เฉพาะสิทธิครอบครองเท่านั้น ถ้าผู้ครอบครองถูกแย่งการครอบครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้ที่ครอบครองจะต้องฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง ถ้าไม่ฟ้องภายในกำหนดเวลาดังกล่าว ผู้ครอบครองย่อมหมดสิทธิที่จะฟ้องเรียกเอาคืนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1375 วรรคสอง และข้อเท็จจริงปรากฏจากคำฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 ยังคงครอบครองที่ดินพิพาทนับแต่ที่โจทก์ฟ้องเป็นครั้งแรกซึ่งฟ้องในปี 2531 ตลอดมา และโจทก์นำคดีนี้มาฟ้องวันที่ 10 สิงหาคม2533 เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี นับแต่เวลาที่โจทก์ถูกแย่งการครอบครองแล้ว โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาท หาใช่โจทก์จะใช้สิทธิฟ้องเรียกเอาสิทธิครอบครองคืนเมื่อใดก็ได้เพราะไม่มีกำหนดอายุความไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6409/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความในการขยายระยะเวลาอุทธรณ์ แม้มีการแต่งตั้งทนายความใหม่ จำเลยต้องแจ้งศาลหากต้องการถอนทนายความเดิม
แม้จำเลยจะเพิ่งตั้งให้ส. เข้ามาเป็นทนายความของจำเลยในชั้นอุทธรณ์แต่จำเลยก็มิได้แถลงให้ศาลทราบว่าไม่ต้องการให้ว. ทนายความคนก่อนเป็นทนายความของจำเลยต่อไปหรือยื่นคำร้องขอถอนว. จากการเป็นทนายความของจำเลยว. จึงยังเป็นทนายความของจำเลยอยู่และมีอำนาจขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1427-1428/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการถอนอุทธรณ์: สิทธิถอนรวมอยู่ในอำนาจอุทธรณ์
ตามใบแต่งทนายความของโจทก์ทนายโจทก์มีอำนาจถอนฟ้องและสละสิทธิหรือใช้สิทธิในการอุทธรณ์รวมอยู่ด้วยฉะนั้นทนายโจทก์จึงมีอำนาจยื่นคำร้องขอถอนอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6111/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายความผูกพันจำเลย: สัญญาประนีประนอมยอมความที่ทนายทำไป จำเลยต้องรับผิดชอบหากไม่ได้ถอนทนาย
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า ส. ทนายจำเลยทั้งสามร่วมกับฝ่ายโจทก์คบคิดกันฉ้อฉลจำเลยทั้งสาม การที่ ส. ทนายจำเลยทั้งสามทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสามมิได้รู้เห็นยินยอมหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสามจะต้องไปว่ากล่าวกับ ส. เองเมื่อจำเลยทั้งสามตั้ง ส. เป็นทนายความดำเนินคดีแทนโดยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความได้ ตราบใดที่จำเลยทั้งสามยังมิได้ขอถอน ส.จากการเป็นทนายความของตนการกระทำของส. ในฐานะทนายความของจำเลยทั้งสามย่อมจะต้องผูกพันจำเลยทั้งสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 356/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดอำนาจทนายจำเลยหลังจำเลยถึงแก่กรรม และผลกระทบต่อฎีกา
จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมขณะคดียังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 2 โดยไม่มีผู้ใดร้องขอเข้ามาเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 2 ผู้มรณะภายใน 1 ปี นับแต่วันที่จำเลยที่ 2 ถึงแก่กรรมจนกระทั่งได้มีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้คู่ความฟังแล้วถือได้ว่าเป็นการล่วงพ้นระยะเวลาที่ตัวแทนหรือทนายจำเลยที่ 2จะจัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยที่ 2 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 แล้ว ทนายจำเลยที่ 2จึงไม่มีอำนาจดำเนินคดีแทนอีกต่อไป ทนายจำเลยที่ 2 ยื่นฎีกาหลังจากที่หมดอำนาจแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 2 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6261/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลย แม้จำเลยอ้างไม่ทราบการยอมความ เพราะทนายมีอำนาจทำสัญญาได้
แม้หากจะฟังว่า จำเลยที่ 2 ห้ามหรือกำชับโจทก์และทนายจำเลยที่ 2 ว่าไม่เซ็นและหย่าได้ไปเซ็นสัญญาใด ๆ กันอีก จำเลยที่ 2 ไม่รับรู้ด้วย แล้วจำเลยที่ 2 ออกจากศาลไปก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้ถอนทนายของตนแล้วเพราะการถอนทนายจะต้องได้รับอนุญาตจากศาลเสียก่อน เมื่อจำเลยทั้งสองแต่งตั้งให้ทนายของตนมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ได้และศาลได้พิพากษาตามยอมแล้วคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยทั้งสอง ในชั้นอุทธรณ์จำเลยทั้งสองเพียงแต่ขอให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีใหม่ไม่ได้ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชนะคดี ค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องเสียเพียง 200 บาท.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3750/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการขอพิจารณาคดีใหม่ต้องระบุชัดเจนในใบแต่งทนายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 62
คำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ของจำเลยที่ลงชื่อโดยทนายจำเลยซึ่งมิได้ระบุให้มีอำนาจขอให้พิจารณาคดีใหม่ไว้ในใบแต่งทนายตาม ป.วิ.พ. มาตรา 62 ไม่ชอบด้วยกฎหมายที่ศาลจะพึงรับไว้พิจารณา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2616/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายในการถอนอุทธรณ์และการใช้ดุลพินิจของศาลเมื่อโจทก์เปลี่ยนความเห็น
โจทก์ได้ตั้ง ช. เป็นทนายให้มีอำนาจอุทธรณ์และถอนอุทธรณ์ด้วย ต่อมา ช. ได้ขอถอนอุทธรณ์ในนามของโจทก์ โดยให้เหตุผลการถอนอุทธรณ์ว่าเพราะตกลงกับจำเลยได้ ศาลชั้นต้นได้สอบถาม ช.และตัวจำเลยแล้ว ช. ก็ยืนยันว่าโจทก์ขอถอนอุทธรณ์และไม่ติดใจบังคับคดีกับจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อไป ส่วนจำเลยก็ยืนยันไม่คัดค้านเช่นกัน ฉะนั้นการที่ตัวโจทก์ยื่นคำร้องในวันนัดฟังคำสั่งศาลอุทธรณ์ที่สั่งคำร้องขอถอนอุทธรณ์โดยทนายของโจทก์ดังกล่าวว่าโจทก์ไม่ถอนอุทธรณ์ โดยมิได้ให้เหตุผลว่าคำร้องขอถอนอุทธรณ์ที่ทนายโจทก์ยื่นแทนโจทก์นั้นไม่ชอบอย่างไร เหตุใดโจทก์จึงมีความเห็นขัดแย้งกับทนายโจทก์ในเรื่องขอถอนอุทธรณ์ ทั้งโจทก์ก็มิได้ปฏิเสธในเรื่องตกลงกับจำเลยได้ตามคำร้องขอถอนอุทธรณ์ที่ ช.ทนายโจทก์อ้างถึง ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ให้ยกคำร้องของตัวโจทก์ดังกล่าวจึงชอบแล้วเพราะหากไม่อนุญาตให้โจทก์ถอนอุทธรณ์แต่ให้พิจารณาคดีในชั้นอุทธรณ์ต่อไป ก็อาจทำให้จำเลยเสียเปรียบ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3391/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจทนายทำสัญญาประนีประนอมยอมความผูกพันจำเลย เว้นแต่พิสูจน์ฉ้อฉลได้ชัดแจ้ง
จำเลยตั้งให้ทนายจำเลยมีอำนาจทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ได้ เมื่อทนายจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์และศาลพิพากษาตามยอมไปแล้ว คำพิพากษานั้นย่อมผูกมัดจำเลยไม่ให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138 เว้นแต่กรณีจะต้องด้วยข้อยกเว้น
จำเลยไม่ได้ยืนยันในอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่าโจทก์และทนายจำเลยกระทำการร่วมกันอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย เพียงแต่อ้างว่าสืบทราบว่าโจทก์ให้เงินทนายจำเลย ทนายจำเลยจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ เป็นการคาดคิดเอาเองของจำเลยฝ่ายเดียว ยังถือไม่ได้ว่ามีการฉ้อฉลเกิดขึ้นในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และทนายจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138
จำเลยไม่ได้ยืนยันในอุทธรณ์โดยชัดแจ้งว่าโจทก์และทนายจำเลยกระทำการร่วมกันอันเป็นการฉ้อฉลจำเลย เพียงแต่อ้างว่าสืบทราบว่าโจทก์ให้เงินทนายจำเลย ทนายจำเลยจึงได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับโจทก์ เป็นการคาดคิดเอาเองของจำเลยฝ่ายเดียว ยังถือไม่ได้ว่ามีการฉ้อฉลเกิดขึ้นในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์และทนายจำเลย จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 138