พบผลลัพธ์ทั้งหมด 12 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลเนื่องจากการอุปสมบท และอำนาจการฟ้องคดีของประชาชนและประธานสุขาภิบาล
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งว่าผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลทั้งในฐานะส่วนตัวเนื่องจาก ผู้ร้องเป็นประชาชนในเขตสุขาภิบาลดังกล่าวซึ่งต้องถือว่าประชาชนทุกคนในพื้นที่นี้เป็นผู้มีส่วนได้เสียกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสุขาภิบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไป หากกรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม ประชาชนคนใดคนหนึ่งย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้ดำเนินการเพื่อบำบัดความเสียหาย และในฐานะเป็นประธานกรรมการสุขาภิบาลนั้นก็เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของกรรมการสุขาภิบาลทุกคนตามกฎหมาย เมื่อกรรมการสุขาภิบาลคนใดคนหนึ่งพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ ประธานกรรมการสุขาภิบาลย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งเกี่ยวกับกรรมการผู้นั้นแทนสุขาภิบาลได้ เพราะเป็นผู้รับผิดชอบอยู่โดยตรง ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องได้ทั้งสองฐานะ
แม้ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าวพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ พ.ร.บ. เปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542 ที่ออกมาใช้บังคับในภายหลัง มิได้เปลี่ยนแปลงองค์กร เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะขององค์กรซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สูงขึ้น มีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น และตัวบุคคลผู้บริหารงานขององค์กรก็มิได้เปลี่ยนยังคงใช้ชุดเดิมอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลไปจนกว่าจะครบวาระโดยผลของกฎหมาย ซึ่งจะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาว่า ในขณะที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ บุคคลผู้นั้นยังเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่หรือไม่ จึงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องให้ตรงกับสถานะของผู้คัดค้านที่เปลี่ยนไปเป็นสมาชิกสภาเทศบาล
พ.ร.บ. สุขาภิบาล พ.ศ. 2495 มาตรา 10 บัญญัติไว้ชัดเจนว่ากรรมการสุขาภิบาล?พ้นจากตำแหน่งเมื่อ?(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21 บัญญัติลักษณะของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ คือ?(8) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 18 (1) (2) (3) หรือ (5) และมาตรา 18 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ? (3) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนว่าเป็นลักษณะต้องห้ามที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้ แล้วผู้คัดค้านไปอุปสมบททำให้มีลักษณะดังกล่าวขึ้นมา ผู้คัดค้านก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลไปทันทีที่การอุปสมบทของผู้คัดค้านสำเร็จบริบรูณ์ คือตั้งแต่วันที่ผู้คัดค้านไปอุปสมบทเป็นต้นไป กฎหมายมิได้บัญญัติว่าการมีลักษณะต้องห้ามจะต้องมีอย่างถาวรจึงจะพ้นจากตำแหน่ง ทั้งไม่มีกฎหมายอนุญาตให้กรรมการสุขาภิบาลลา
อุปสมบทได้ กรณีไม่อาจนำระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาใช้เทียบเคียงได้
แม้ขณะผู้ร้องยื่นคำร้องดังกล่าวพระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 ถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ พ.ร.บ. เปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาล พ.ศ. 2542 ที่ออกมาใช้บังคับในภายหลัง มิได้เปลี่ยนแปลงองค์กร เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะขององค์กรซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สูงขึ้น มีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น และตัวบุคคลผู้บริหารงานขององค์กรก็มิได้เปลี่ยนยังคงใช้ชุดเดิมอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลไปจนกว่าจะครบวาระโดยผลของกฎหมาย ซึ่งจะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาว่า ในขณะที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ บุคคลผู้นั้นยังเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่หรือไม่ จึงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องให้ตรงกับสถานะของผู้คัดค้านที่เปลี่ยนไปเป็นสมาชิกสภาเทศบาล
พ.ร.บ. สุขาภิบาล พ.ศ. 2495 มาตรา 10 บัญญัติไว้ชัดเจนว่ากรรมการสุขาภิบาล?พ้นจากตำแหน่งเมื่อ?(4) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21 บัญญัติลักษณะของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ คือ?(8) เป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 18 (1) (2) (3) หรือ (5) และมาตรา 18 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง คือ? (3) เป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจนว่าเป็นลักษณะต้องห้ามที่มีไม่ได้เป็นไม่ได้ แล้วผู้คัดค้านไปอุปสมบททำให้มีลักษณะดังกล่าวขึ้นมา ผู้คัดค้านก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลไปทันทีที่การอุปสมบทของผู้คัดค้านสำเร็จบริบรูณ์ คือตั้งแต่วันที่ผู้คัดค้านไปอุปสมบทเป็นต้นไป กฎหมายมิได้บัญญัติว่าการมีลักษณะต้องห้ามจะต้องมีอย่างถาวรจึงจะพ้นจากตำแหน่ง ทั้งไม่มีกฎหมายอนุญาตให้กรรมการสุขาภิบาลลา
อุปสมบทได้ กรณีไม่อาจนำระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาใช้เทียบเคียงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2545 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลเนื่องจากการอุปสมบท และอำนาจในการฟ้องคดี
การที่ผู้ร้องระบุในคำร้องว่าในฐานะส่วนตัวคือในฐานะประชาชนในเขตสุขาภิบาลซึ่งเป็นผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งกรรมการสุขาภิบาล ถือได้ว่าประชาชนทุกคนในเขตพื้นที่นั้นเป็นผู้มีส่วนได้เสียกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสุขาภิบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไป หากกรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งแล้ว ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวม ประชาชนคนใดคนหนึ่งย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้ดำเนินการเพื่อบำบัดความเสียหายได้ และในฐานะประธานกรรมการสุขาภิบาลซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงในการควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของกรรมการสุขาภิบาลทุกคนตามกฎหมายหากกรรมการสุขาภิบาลคนใดพ้นตำแหน่งไปแล้วแต่ยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ ประธานกรรมการสุขาภิบาลมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งเกี่ยวกับกรรมการผู้นั้นแทนสุขาภิบาลได้เพราะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง ดังนั้น ผู้ร้องจึงมีอำนาจยื่นคำร้องได้ทั้งสองฐานะ
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาลฯ ที่ออกมาใช้บังคับในภายหลัง มิได้เปลี่ยนแปลงองค์กร เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะขององค์กรซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สูงขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และตัวบุคคลผู้บริหารงานองค์กรก็มิได้เปลี่ยนยังคงใช้ชุดเดิมอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลไปจนกว่าจะครบวาระโดยผลของกฎหมาย ซึ่งการที่จะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้หรือไม่ต้องพิจารณาว่าในขณะที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ บุคคลนั้นยังเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่หรือไม่
พระราชบัญญัติสุขาภิบาลฯ มาตรา 10 บัญญัติให้กรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ซึ่งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลฯ มาตรา 21 ห้ามบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิเลือกตั้ง และมาตรา 18 กำหนดห้ามมิให้ภิกษุสามเณร นักพรตหรือนักบวช ใช้สิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านไปอุปสมบททำให้มีลักษณะดังกล่าวขึ้นมาผู้คัดค้านก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลทันทีที่การอุปสมบทสำเร็จบริบูรณ์และกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าการมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวจะมีอย่างถาวรจึงจะพ้นจากตำแหน่ง จึงไม่จำต้องพิจารณาถึงระยะเวลาในการอุปสมบทของผู้คัดค้านว่าอุปสมบทอยู่นานหรือไม่ เพียงใด ทั้งไม่มีกฎหมายอนุญาตให้กรรมการสุขาภิบาลลาอุปสมบทได้แต่อย่างใดด้วย
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาลฯ ที่ออกมาใช้บังคับในภายหลัง มิได้เปลี่ยนแปลงองค์กร เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะขององค์กรซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สูงขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น และตัวบุคคลผู้บริหารงานองค์กรก็มิได้เปลี่ยนยังคงใช้ชุดเดิมอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลไปจนกว่าจะครบวาระโดยผลของกฎหมาย ซึ่งการที่จะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้หรือไม่ต้องพิจารณาว่าในขณะที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ บุคคลนั้นยังเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่หรือไม่
พระราชบัญญัติสุขาภิบาลฯ มาตรา 10 บัญญัติให้กรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล ซึ่งตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลฯ มาตรา 21 ห้ามบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามใช้สิทธิเลือกตั้ง และมาตรา 18 กำหนดห้ามมิให้ภิกษุสามเณร นักพรตหรือนักบวช ใช้สิทธิเลือกตั้ง ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านไปอุปสมบททำให้มีลักษณะดังกล่าวขึ้นมาผู้คัดค้านก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลทันทีที่การอุปสมบทสำเร็จบริบูรณ์และกฎหมายก็มิได้บัญญัติว่าการมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวจะมีอย่างถาวรจึงจะพ้นจากตำแหน่ง จึงไม่จำต้องพิจารณาถึงระยะเวลาในการอุปสมบทของผู้คัดค้านว่าอุปสมบทอยู่นานหรือไม่ เพียงใด ทั้งไม่มีกฎหมายอนุญาตให้กรรมการสุขาภิบาลลาอุปสมบทได้แต่อย่างใดด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการสุขาภิบาลพ้นตำแหน่งเมื่ออุปสมบท แม้ระยะเวลาสั้น ไม่จำเป็นต้องแก้ไขคำร้อง
ผู้ร้องยื่นคำร้องในฐานะส่วนตัวและในฐานะประธานกรรมการสุขาภิบาลขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้คัดค้านพ้นจากตำแหน่งกรรมการเพราะไปอุปสมบทเป็นภิกษุ ซึ่งต้องถือว่าประชาชนทุกคนในเขตพื้นที่เป็นผู้มีส่วนได้เสียกับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการสุขาภิบาลที่ได้รับเลือกตั้งเข้าไป หากกรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งแล้ว แต่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อยู่อาจทำให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนรวมประชาชนคนใดคนหนึ่งย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้ดำเนินการเพื่อบำบัดความเสียหาย ส่วนประธานกรรมการสุขาภิบาลก็เป็นผู้รับผิดชอบควบคุมดูแลการปฏิบัติงานของกรรมการสุขาภิบาลทุกคนตามกฎหมาย เมื่อกรรมการสุขาภิบาลคนใดคนหนึ่งพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว แต่ยังคงมาปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการสุขาภิบาลย่อมมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลให้มีคำสั่งเกี่ยวกับกรรมการผู้นั้นแทนสุขาภิบาลได้ทั้งสองฐานะ
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาลพ.ศ. 2542 ที่ออกมาใช้บังคับในภายหลัง มิได้เปลี่ยนแปลงองค์กรเพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะขององค์กรซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สูงขึ้น มีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น และตัวบุคคลผู้บริหารงานขององค์กรก็มิได้เปลี่ยนยังคงใช้ชุดเดิมอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลไปจนกว่าจะครบวาระโดยผลของกฎหมาย ซึ่งจะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาว่า ในขณะที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ บุคคลผู้นั้นยังเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่หรือไม่ จึงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องเกี่ยวกับฐานะของผู้ร้อง
พระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 มาตรา 10 บัญญัติว่า กรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21บัญญัติลักษณะของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้คือเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 18(1)(2)(3) หรือ (5) และมาตรา 18 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง คือเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้เป็นลักษณะต้องห้ามที่มีไม่ได้แล้วผู้คัดค้านไปอุปสมบททำให้มีลักษณะดังกล่าวขึ้นมา ผู้คัดค้านก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลไปทันทีที่การอุปสมบทสำเร็จบริบูรณ์เป็นต้นไป กฎหมายมิได้บัญญัติว่าการมีลักษณะต้องห้ามจะต้องมีอย่างถาวรจึงจะพ้นจากตำแหน่งจึงไม่จำต้องพิจารณาถึงระยะเวลาในการอุปสมบทนานเพียงใด ทั้งไม่มีกฎหมายอนุญาตให้กรรมการสุขาภิบาลอุปสมบทได้ กรณีไม่อาจนำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาใช้เทียบเคียงได้และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านอุปสมบทโดยได้รับความยินยอมหรือการอุปสมบทของผู้คัดค้านทำให้สุขาภิบาลช่องแคเสียหายหรือไม่
พระราชบัญญัติเปลี่ยนแปลงฐานะของสุขาภิบาลเป็นเทศบาลพ.ศ. 2542 ที่ออกมาใช้บังคับในภายหลัง มิได้เปลี่ยนแปลงองค์กรเพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะขององค์กรซึ่งเป็นนิติบุคคลให้สูงขึ้น มีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น และตัวบุคคลผู้บริหารงานขององค์กรก็มิได้เปลี่ยนยังคงใช้ชุดเดิมอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนแปลงฐานะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลไปจนกว่าจะครบวาระโดยผลของกฎหมาย ซึ่งจะเป็นสมาชิกสภาเทศบาลได้หรือไม่ก็ต้องพิจารณาว่า ในขณะที่กฎหมายใหม่ใช้บังคับ บุคคลผู้นั้นยังเป็นกรรมการสุขาภิบาลอยู่หรือไม่ จึงไม่จำเป็นที่ผู้ร้องจะต้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำร้องเกี่ยวกับฐานะของผู้ร้อง
พระราชบัญญัติสุขาภิบาล พ.ศ. 2495 มาตรา 10 บัญญัติว่า กรรมการสุขาภิบาลพ้นจากตำแหน่งเมื่อขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล และตามพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 21บัญญัติลักษณะของบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้คือเป็นบุคคลผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 18(1)(2)(3) หรือ (5) และมาตรา 18 บัญญัติว่า บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง คือเป็นภิกษุ สามเณร นักพรตหรือนักบวช เมื่อกฎหมายบัญญัติไว้เป็นลักษณะต้องห้ามที่มีไม่ได้แล้วผู้คัดค้านไปอุปสมบททำให้มีลักษณะดังกล่าวขึ้นมา ผู้คัดค้านก็ต้องพ้นจากตำแหน่งกรรมการสุขาภิบาลไปทันทีที่การอุปสมบทสำเร็จบริบูรณ์เป็นต้นไป กฎหมายมิได้บัญญัติว่าการมีลักษณะต้องห้ามจะต้องมีอย่างถาวรจึงจะพ้นจากตำแหน่งจึงไม่จำต้องพิจารณาถึงระยะเวลาในการอุปสมบทนานเพียงใด ทั้งไม่มีกฎหมายอนุญาตให้กรรมการสุขาภิบาลอุปสมบทได้ กรณีไม่อาจนำพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาใช้เทียบเคียงได้และไม่จำต้องวินิจฉัยว่าผู้คัดค้านอุปสมบทโดยได้รับความยินยอมหรือการอุปสมบทของผู้คัดค้านทำให้สุขาภิบาลช่องแคเสียหายหรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4570/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกภาพสภาเทศบาลสิ้นสุดเมื่ออุปสมบท แม้ลาสิกขาแล้วก็ยังคงสิ้นสุดตามกฎหมาย
ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 บัญญัติไว้ว่า สมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้ง อันรวมถึงการเป็นภิกษุด้วย ซึ่งหมายความถึงผู้ได้รับเลือกตั้งจนเข้าดำรงตำแหน่งหน้าที่สมาชิกสภาเทศบาลโดยสมบูรณ์แล้วจะต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่สภาเทศบาลนั้นทันทีที่ได้อุปสมบทเป็นภิกษุโดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแล้วลาสิกขาหรือไม่ก็ตาม กฎหมายหาได้ห้ามการเป็นภิกษุเฉพาะแต่ในวันเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกตั้งไม่ ผู้คัดค้านจึงพ้นจากสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลตำบลท่าเรือตั้งแต่วันเป็นภิกษุโดยผลแห่งกฎหมายดังกล่าว
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 57 อยู่ในหมวดที่ว่าด้วยการคัดค้านการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่กฎหมายให้ผู้เลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคน หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับ เลือกตั้งโดยชอบ ผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับถึงกรณีที่เทศบาลยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งว่าสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลของสมาชิกคนหนึ่งคนใดสิ้นสุดลงดังเช่นคดีนี้ คดีของผู้ร้องจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องหาจำต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้งไม่
พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482 มาตรา 57 อยู่ในหมวดที่ว่าด้วยการคัดค้านการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่กฎหมายให้ผู้เลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคน หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับ เลือกตั้งโดยชอบ ผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับถึงกรณีที่เทศบาลยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งว่าสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลของสมาชิกคนหนึ่งคนใดสิ้นสุดลงดังเช่นคดีนี้ คดีของผู้ร้องจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องหาจำต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้งไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4570/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกภาพสภาเทศบาลสิ้นสุดเมื่ออุปสมบท แม้ลาสิกขาแล้ว และคดีไม่ขาดอายุความ
ตามมาตรา 19 แห่งพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 บัญญัติไว้ว่า สมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้ง อันรวมถึงการเป็นภิกษุด้วย ซึ่งหมายความถึงผู้ได้รับเลือกตั้งจนเข้าดำรงตำแหน่งหน้าที่สมาชิกสภาเทศบาลโดยสมบูรณ์แล้วจะต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่สภาเทศบาลนั้นทันทีที่ได้อุปสมบทเป็นภิกษุโดยไม่คำนึงถึงว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแล้วลาสิกขาหรือไม่ก็ตาม กฎหมายหาได้ห้ามการเป็นภิกษุเฉพาะแต่ในวันเลือกตั้งหรือสมัครรับเลือกตั้งไม่ผู้คัดค้านจึงพ้นจากสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลตำบลท่าเรือตั้งแต่วันเป็นภิกษุโดยผลแห่งกฎหมายดังกล่าว พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาล พ.ศ. 2482มาตรา 57 อยู่ในหมวดที่ว่าด้วยการคัดค้านการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่กฎหมายให้ผู้เลือกตั้งไม่น้อยกว่าสิบคน หรือผู้สมัครคนใดคนหนึ่งมีสิทธิร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่าบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับ เลือกตั้งโดยชอบ ผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ หรือไม่มีบุคคลผู้หนึ่งผู้ใดได้รับเลือกตั้งโดยชอบ ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้ง บทบัญญัติดังกล่าวมิได้บังคับถึงกรณีที่เทศบาลยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งว่าสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลของสมาชิกคนหนึ่งคนใดสิ้นสุดลงดังเช่นคดีนี้ คดีของผู้ร้องจึงไม่อยู่ภายใต้บังคับของบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ผู้ร้องหาจำต้องยื่นคำร้องต่อศาลภายใน 15 วัน นับตั้งแต่เทศบาลประกาศผลของการเลือกตั้งไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3424/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกสภาเทศบาลขาดสมาชิกภาพหลังอุปสมบท และอำนาจการยื่นคำร้องของเทศบาล
พ.ร.บ.เทศบาลพ.ศ.2496มาตรา7วรรคสองบัญญัติให้เทศบาลเป็นทบวงการเมืองมีอำนาจหน้าที่ตามพ.ร.บ.ดังกล่าวและกฎหมายอื่นเทศบาลเป็นผู้มีส่วนได้เสียโดยตรงที่จะต้องดูแลว่าสมาชิกสภาเทศบาลผู้ใดขาดจากสมาชิกภาพหรือไม่เทศบาลจึงมีอำนาจหน้าที่ที่จะยื่นคำร้องให้ศาลวินิจฉัยว่าสมาชิกสภาเทศบาลขาดจากสมาชิกภาพของสภาเทศบาลการยื่นคำร้องไม่อยู่นอกขอบวัตถุประสงค์ของหน้าที่เทศบาลและเทศบาลมีอำนาจยื่นคำร้องได้เองโดยไม่ต้องให้นายกเทศมนตรีทำการแทนในนามของนายกเทศมนตรี เมื่อการเป็นพระภิกษุเป็นลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลสมาชิกสภาเทศบาลซึ่งลาไปอุปสมบทเป็นพระภิกษุเพียงชั่วคราวหลังวันเลือกตั้งจึงมีลักษณะต้องห้ามสำหรับผู้สมัครรับเลือกตั้งตามความหมายของพ.ร.บ.เทศบาลพ.ศ.2496มาตรา19(4)เป็นผลให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาเทศบาลผู้นั้นสิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่อุปสมบทโดยไม่ต้องคำนึงว่าเป็นการอุปสมบทเพียงชั่วคราวและได้ลาอุปสมบทแล้วหรือไม่.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3864/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกสภาเทศบาลสิ้นสุดสมาชิกภาพเมื่ออุปสมบท แม้เป็นการอุปสมบทชั่วคราว
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 19 บัญญัติไว้แจ้งชัดว่าสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นมีลักษณะต้องห้าม อันรวมถึงการเป็นภิกษุด้วยซึ่งย่อมหมายถึงผู้ได้รับเลือกตั้งจนเข้าดำรงตำแหน่งหน้าที่สมาชิกสภาเทศบาลโดยสมบูรณ์แล้วและจะพ้นจากความเป็นสมาชิกแห่งสภาเทศบาลนั้นทันทีที่ได้อุปสมบทเข้าสู่สมณเพศอันได้ชื่อว่าเป็นภิกษุ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแล้วลาสิกขาก็ตาม เพราะไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ลาอุปสมบทหรืออนุโลมให้ถือเสมือนเป็นการลากิจ และกฎหมายหาได้ห้ามการเป็นภิกษุเฉพาะในวันที่มีการเลือกตั้งเท่านั้นไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลแล้วได้อุปสมบทเป็นภิกษุ จำเลยจึงพ้นจากสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลตั้งแต่วันเป็นภิกษุโดยผลแห่งกฎหมายดังกล่าว
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2490 มาตรา 19 ให้โอกาสคู่ความนำปัญหาที่ยังโต้เถียงกันอยู่ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาสู่ศาลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดเป็นยุติเท่านั้น จำเลยขาดจากสมาชิกภาพโดยผลแห่งกฎหมายไปแล้ว และไม่มีกฎหมายรับรองให้กลับคืนสมาชิกภาพได้อีก กฎหมายบัญญัติเพียงไม่กระทบกระทั่งการที่สมาชิกนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาก่อนที่มีการชี้ขาดของศาลโดยหาได้รวมถึงสมาชิกภาพไม่
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2490 มาตรา 19 ให้โอกาสคู่ความนำปัญหาที่ยังโต้เถียงกันอยู่ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาสู่ศาลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดเป็นยุติเท่านั้น จำเลยขาดจากสมาชิกภาพโดยผลแห่งกฎหมายไปแล้ว และไม่มีกฎหมายรับรองให้กลับคืนสมาชิกภาพได้อีก กฎหมายบัญญัติเพียงไม่กระทบกระทั่งการที่สมาชิกนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาก่อนที่มีการชี้ขาดของศาลโดยหาได้รวมถึงสมาชิกภาพไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3864/2526
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สมาชิกภาพสภาเทศบาลสิ้นสุดลงเมื่ออุปสมบท แม้ชั่วคราว เหตุมีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมาย
ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 มาตรา 19 บัญญัติไว้แจ้งชัดว่าสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลย่อมสิ้นสุดลงเมื่อผู้นั้นมีลักษณะต้องห้าม อันรวมถึงการเป็นภิกษุด้วยซึ่งย่อมหมายถึงผู้ได้รับเลือกตั้งจนเข้าดำรงตำแหน่งหน้าที่สมาชิกสภาเทศบาลโดยสมบูรณ์แล้วและจะพ้นจากความเป็นสมาชิกแห่งสภาเทศบาลนั้นทันทีที่ได้อุปสมบทเข้าสู่สมณเพศอันได้ชื่อว่าเป็นภิกษุ โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นเพียงชั่วคราวแล้วลาสิกขาก็ตาม เพราะไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ลาอุปสมบทหรืออนุโลมให้ถือเสมือนเป็นการลากิจ และกฎหมายหาได้ห้ามการเป็นภิกษุเฉพาะในวันที่มีการเลือกตั้งเท่านั้นไม่ ดังนั้น เมื่อจำเลยได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาเทศบาลแล้วได้อุปสมบทเป็นภิกษุ จำเลยจึงพ้นจากสมาชิกภาพแห่งสภาเทศบาลตั้งแต่วันเป็นภิกษุโดยผลแห่งกฎหมายดังกล่าว ตามพระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2490 มาตรา 19 ให้โอกาสคู่ความนำปัญหาที่ยังโต้เถียงกันอยู่ทั้งในข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายมาสู่ศาลเพื่อวินิจฉัยชี้ขาดเป็นยุติเท่านั้น จำเลยขาดจากสมาชิกภาพโดยผลแห่งกฎหมายไปแล้ว และไม่มีกฎหมายรับรองให้กลับคืนสมาชิกภาพได้อีก กฎหมายบัญญัติเพียงไม่กระทบกระทั่งการที่สมาชิกนั้นได้ปฏิบัติหน้าที่ในสภาก่อนที่มีการชี้ขาดของศาลโดยหาได้รวมถึงสมาชิกภาพไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2494 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งเท็จเพื่อขัดขวางการอุปสมบทถือเป็นการละเมิด ผู้มีส่วนได้เสียจากการลงทุนมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายได้
การที่จำเลยไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านว่า เขาเป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ฆ่าคน ซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริง ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านคัดค้านต่อพระอุปัชณาย์ ผู้ใหญ่บ้านมีหนังสือถึงพระอุปัชณาย์ ๆ จึงไม่บวชเขานั้น นับได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดแล้ว พี่ชายของเขาผู้เป็นเจ้าภาพและออกเงินซื้อของในการอุปสมบท ย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 844/2494
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งเท็จขัดขวางการอุปสมบท ทำให้เกิดความเสียหาย เจ้าภาพมีสิทธิฟ้อง
การที่จำเลยไปแจ้งต่อผู้ใหญ่บ้านว่า เขาเป็นผู้ร้ายปล้นทรัพย์ฆ่าคน ซึ่งจำเลยรู้อยู่ว่าไม่เป็นความจริงทั้งนี้เพื่อให้ผู้ใหญ่บ้านคัดค้านต่อพระอุปัชฌาย์ ผู้ใหญ่บ้านมีหนังสือถึงพระอุปัชฌาย์ พระอุปัชฌาย์จึงไม่บวชเขานั้น นับได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดแล้ว พี่ชายของเขาผู้เป็นเจ้าภาพและออกเงินซื้อของในการอุปสมบท ย่อมมีอำนาจเป็นโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 5/2494)