พบผลลัพธ์ทั้งหมด 83 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำสัญญาเช่าในนามตนเองแล้วอ้างว่าทำแทนผู้อื่นเป็นเหตุต้องห้ามมิให้รับฟังพยาน และการไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมเคหะ
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านที่เช่าจากโจทก์ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย การที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเช่าแทนบิดาจำเลย ย่อมนอกประเด็นข้อต่อสู้ ไม่ชอบที่ศาลจะรับฟัง
จำเลยทำสัญญาเช่าในนามตนเองเป็นผู้เช่า จำเลยจะนำสืบ(พยานบุคคล) ว่าทำสัญญาเช่าแทนคนอื่นหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
ทำสัญญาเช่าบ้านภายหลังพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504ใช้บังคับ แม้เป็นการเช่าอยู่อาศัย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง
จำเลยทำสัญญาเช่าในนามตนเองเป็นผู้เช่า จำเลยจะนำสืบ(พยานบุคคล) ว่าทำสัญญาเช่าแทนคนอื่นหาได้ไม่ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94(ข)
ทำสัญญาเช่าบ้านภายหลังพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504ใช้บังคับ แม้เป็นการเช่าอยู่อาศัย ก็ไม่ได้รับความคุ้มครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 845/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าที่ดินและบ้าน สิทธิและหน้าที่ของผู้เช่าเมื่อกรรมสิทธิ์ที่ดินเปลี่ยนมือ การคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมเคหะ
จำเลยเช่าบ้านพิพาทมาจากนายบุ้นซึ่งเป็นผู้เช่าที่ดินของโจทก์มาปลูกบ้านพิพาทขึ้น โดยมีกำหนดเวลาเช่า 8 ปี 4 เดือน และมีข้อตกลงระหว่างนายบุ้นกับโจทก์ว่าในระหว่างกำหนดเวลาเช่า 8 ปี 4 เดือนนายบุ้นมีสิทธิให้คนอื่นเช่าบ้านพิพาทได้ และเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า8 ปี 4 เดือนแล้ว ให้กรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทตกเป็นของโจทก์ดังนี้เมื่อครบกำหนดเวลาเช่าที่ดิน 8 ปี 4 เดือน แล้ว นายบุ้นย่อมไม่มีอำนาจจะให้จำเลยเช่าบ้านพิพาทอยู่ต่อไปเพราะกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาทตกไปยังโจทก์แล้ว สิทธิและหน้าที่ในการเช่าบ้านพิพาทระหว่างจำเลยกับนายบุ้นผู้โอนย่อมไม่ตกไปยังโจทก์ผู้รับโอนดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 โจทก์กับจำเลยจึงไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกัน การอยู่ในบ้านพิพาทต่อมาเมื่อครบกำหนดเวลาเช่า 8 ปี 4 เดือนไปแล้ว เป็นการอยู่โดยละเมิดสิทธิของโจทก์ย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองจากพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าพื้นที่เก็บสินค้าไม่เป็นที่อยู่อาศัย ไม่อยู่ภายใต้ พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะฯ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่
จำเลยเช่าห้องพิพาทใช้เป็นที่เก็บสินค้าและสัมภาระซึ่งมีไว้ขาย แม้จะมีบริวารของจำเลยหลับนอนในห้องพิพาทก็เพื่อเฝ้าดูแลรักษาสินค้า เพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลย ห้องพิพาทจึงไม่เป็นที่อยู่อาศัย จำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยอ้างว่าอาศัย แต่เท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเช่าแต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ดังนี้ แม้โจทก์จะกล่าวถึงมูลกรณีเดิมว่าจำเลยเข้าอยู่ทีแรกโดยการเช่าหรืออาศัยก็ตาม ก็เป็นเพียงการกล่าวถึงมูลกรณีเดิมซึ่งไม่ใช่สารสำคัญ เพราะจำเลยจะอยู่โดยการเช่าหรืออาศัยโจทก์ก็ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องพิพาทโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 แล้ว แสดงว่าการเช่าหรือการอาศัยสิ้นสุดแล้ว การอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิด การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยจึงไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานจำเลยโจทก์ไม่มาศาล ศาลสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยได้ 1 ปาก จำเลยขอเลื่อนไป ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดต่อมา โจทก์มาศาล ถือว่าโจทก์มาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานของตนเข้าสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 204 วรรค 3 อนุมาตรา (1) เพราะจำเลยยังสืบพยานไม่หมด โจทก์จึงมีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบ ตลอดจนระบุอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2510)
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยอ้างว่าอาศัย แต่เท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเช่าแต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ดังนี้ แม้โจทก์จะกล่าวถึงมูลกรณีเดิมว่าจำเลยเข้าอยู่ทีแรกโดยการเช่าหรืออาศัยก็ตาม ก็เป็นเพียงการกล่าวถึงมูลกรณีเดิมซึ่งไม่ใช่สารสำคัญ เพราะจำเลยจะอยู่โดยการเช่าหรืออาศัยโจทก์ก็ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจากห้องพิพาทโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 แล้ว แสดงว่าการเช่าหรือการอาศัยสิ้นสุดแล้ว การอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิด การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยจึงไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานจำเลยโจทก์ไม่มาศาล ศาลสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยได้ 1 ปาก จำเลยขอเลื่อนไป ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดต่อมา โจทก์มาศาล ถือว่าโจทก์มาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานของตนเข้าสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 204 วรรค 3 อนุมาตรา (1) เพราะจำเลยยังสืบพยานไม่หมด โจทก์จึงมีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบ ตลอดจนระบุอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 46/2510
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าห้องเพื่อเก็บสินค้า ไม่ถือเป็นที่อยู่อาศัย จึงไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะ
จำเลยเช่าห้องพิพาทใช้เป็นที่เก็บสินค้าและสัมภาระซึ่งมีไว้ขายแม้จะมีบริวารของจำเลยหลับนอนในห้องพิพาทก็เพื่อเฝ้าดูแลรักษาสินค้าเพื่อประโยชน์ในทางการค้าของจำเลยห้องพิพาทจึงไม่เป็นที่อยู่อาศัยจำเลยจึงไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยอ้างว่าอาศัยแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเช่าแต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ดังนี้แม้โจทก์จะกล่าวถึงมูลกรณีเดิมว่าจำเลยเข้าอยู่ทีแรกโดยการเช่าหรืออาศัยก็ตาม ก็เป็นเพียงการกล่าวถึงมูลกรณีเดิมซึ่งไม่ใช่สารสำคัญเพราะจำเลย จะอยู่โดยการเช่าหรืออาศัยโจทก์ก็ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจาก ห้องพิพาทโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 แล้ว แสดงว่าการเช่าหรือการอาศัยสิ้นสุดแล้วการอยู่ต่อมาจึงเป็น การละเมิด การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยจึงไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนในวันนัดสืบพยานจำเลยโจทก์ไม่มาศาล ศาลสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยได้ 1 ปากจำเลยขอเลื่อนไป ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดต่อมา โจทก์มาศาลถือว่าโจทก์มาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานของตนเข้าสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรค 3 อนุมาตรา (1)เพราะจำเลยยังสืบพยานไม่หมดโจทก์จึงมีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบตลอดจนระบุอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2510)
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยอ้างว่าอาศัยแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเช่าแต่ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ. 2504 ดังนี้แม้โจทก์จะกล่าวถึงมูลกรณีเดิมว่าจำเลยเข้าอยู่ทีแรกโดยการเช่าหรืออาศัยก็ตาม ก็เป็นเพียงการกล่าวถึงมูลกรณีเดิมซึ่งไม่ใช่สารสำคัญเพราะจำเลย จะอยู่โดยการเช่าหรืออาศัยโจทก์ก็ได้บอกกล่าวให้จำเลยออกจาก ห้องพิพาทโดยชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 แล้ว แสดงว่าการเช่าหรือการอาศัยสิ้นสุดแล้วการอยู่ต่อมาจึงเป็น การละเมิด การที่ศาลพิพากษาขับไล่จำเลยจึงไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น
จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อนในวันนัดสืบพยานจำเลยโจทก์ไม่มาศาล ศาลสั่งว่าโจทก์ขาดนัดพิจารณาและดำเนินการสืบพยานจำเลยได้ 1 ปากจำเลยขอเลื่อนไป ถึงวันนัดสืบพยานจำเลยนัดต่อมา โจทก์มาศาลถือว่าโจทก์มาศาลเมื่อยังไม่พ้นเวลาที่โจทก์จะนำพยานของตนเข้าสืบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 205 วรรค 3 อนุมาตรา (1)เพราะจำเลยยังสืบพยานไม่หมดโจทก์จึงมีสิทธินำพยานของตนเข้าสืบตลอดจนระบุอ้างพยานหลักฐานเพิ่มเติมได้ (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 3/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องขับไล่: การระบุสภาพแห่งข้อหาในฟ้องเพียงพอแล้ว ศาลไม่รับวินิจฉัยข้ออุทธรณ์เรื่องเคหะ
โจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้า เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ส่วนห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้าและจำเลยได้ประกอบการค้าอะไร มีสภาพอย่างใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ข้อนี้ก็เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง เป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมาวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทะรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯ ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง อุทธรณ์ข้อนี้ก็เป็นอุทธรณ์ข้อเท็จจริง เป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมาวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทะรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 991/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่: ประเด็นการใช้สิทธิอุทธรณ์ตามมาตรา 224 และการพิจารณาเคหะตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
โจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องแล้วว่า จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าเป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว ส่วนห้องพิพาทอยู่ในทำเลการค้า และจำเลยได้ประกอบการค้าอะไร มีสภาพอย่างใดนั้น เป็นรายละเอียดที่จะนำสืบกันต่อไปในชั้นพิจารณา ฟ้องของโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า ห้องพิพาทเป็นเคหะตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันฯซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นปัญหาข้อกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่าเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามแล้ว ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 649/2508
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าห้องเพื่อประกอบการค้า ไม่ถือเป็นเคหะที่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน
จำเลยเช่าห้องพิพาทเพื่อประกอบการค้าได้เปิดเป็นร้านรับจ้างตัดเสื้อผ้า ต่อมาจำเลยได้เปิดเป็นร้านขายขนม เป็นเรื่องที่จำเลยเปลี่ยนประเภทการค้าจากรับจ้างตัดเสื้อผ้ามาเป็นขายขนมเท่านั้น ห้องพิพาทจึงไม่เป็นเคหะที่ได้รับความคุ้มครอบตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1038/2508 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเช่าตึกเพื่อประกอบการค้าขนาดใหญ่ ไม่เข้าข่ายเคหะที่ได้รับการคุ้มครองตาม พ.ร.บ.การเช่าเคหะและที่ดิน
จำเลยเป็นแพทย์แผนโบราณ มีอาชีพรับรักษาโรค จำเลยเช่าตึกแถวพิพาท ได้ทำสัญญาเช่ากับเจ้าของเดิมหลายครั้ง เสียเงินกินเปล่าทุกครั้ง จำเลยตั้งเครื่องบดยาไฟฟ้าในตึกพิพาท รับจ้างบดยาสมุนไพรและทำยาผงไทยให้เป็นเม็ด ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ฟังได้ว่าจำเลยประกอบการค้าเป็นล่ำเป็นสัน ไม่ใช่ประกอบกิจการเล็กน้อย และได้ใช้ตึกพิพาทเปิดเป็นร้านตัดผมด้วย ตึกพิพาทอยู่ในทำเลการค้า ฟังได้ว่าจำเลยเช่าตึกพิพาทเพื่อประกอบการค้า แม้จำเลยจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยด้วยก็ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 มาตรา 4.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าตึกแถวไม่เป็นเคหะ สิทธิบอกเลิกสัญญาตามที่ตกลงกันย่อมใช้ได้ แม้ไม่ได้แจ้งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ทำหนังสือสัญญาเช่าตึกแถวมีกำหนด 5 ปี โดยไม่ได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ได้กำหนดวิธีบอกเลิกสัญญาเช่ากันไว้ว่า จะต้องบอกให้อีกฝ่ายหนึ่งรู้ล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษรก่อน 1 เดือน เมื่อเช่ากันมาครบกำหนด 5 ปี ผู้ให้เช่ามีหนังสือบอกให้ผู้เช่าทราบก่อนฟ้องตามสัญญาเช่า 1 เดือนแล้ว ผู้ให้เช่าย่อมฟ้องขับไล่ได้ โดยไม่จำต้องบอกเลิกสัญญาเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566
ทำหนังสือสัญญาเช่า เจตนาตกลงกันเช่าเพื่อประกอบธุรกิจการค้าตึกที่เช่าย่อมไม่ใช่เคหะ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอื่น นอกจากการดังกำหนดไว้ในสัญญาเช่าหาได้ไม่
ทำหนังสือสัญญาเช่า เจตนาตกลงกันเช่าเพื่อประกอบธุรกิจการค้าตึกที่เช่าย่อมไม่ใช่เคหะ ตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดิน พ.ศ.2504 ผู้เช่าจะใช้ทรัพย์สินที่เช่าเพื่อการอื่น นอกจากการดังกำหนดไว้ในสัญญาเช่าหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 573/2507
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายลักษณะเคหะในฟ้องคดีค่ากินเปล่า จำเป็นต้องระบุชัดเจนเพื่อให้จำเลยทราบถึงข้อหา
ฟ้องที่โจทก์ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติควบคุมการเช่าเคหะและที่ดินมาตรา 20 นั้น อาคารเช่าที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเรียกเก็บค่ากินเปล่าเป็น "เคหะ" หรือเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัย เป็นองค์ประกอบอันเป็นสารสำคัญที่โจทก์จำเป็นต้องกล่าวบรรยายมาในฟ้อง ถ้าโจทก์ไม่บรรยายมา ฟ้องของโจทก์ก็ฟังลงโทษจำเลยไม่ได้