พบผลลัพธ์ทั้งหมด 11 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารสิทธิเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย แม้ยังมิได้แสดงต่อผู้ถูกหลอกลวง ก็เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265
จำเลยทำหนังสือกู้ยืมเงินรวมทั้งลงลายมือชื่อ ส. ผู้ให้สัญญาด้วยตนเองภายหลังที่ ส. ตายไปแล้ว และใจความของสัญญาที่ว่า ส.กู้ยืมเงินจำเลยถ้าส. ไม่คืนเงิน ยอมโอนที่ดินสวนยางพาราแก่จำเลยนั้น นอกจากไม่เป็นความจริงแล้วยังน่าจะเกิดความเสียหายแก่ทายาทของ ส. อีกด้วย ทั้งจำเลยทำเอกสารดังกล่าวขึ้นเพื่อจะใช้อ้างกับ ด. ผู้ทำไฟไหม้สวนยางพาราของ ส.ว่าที่ดินของส. เป็นของจำเลย และจะได้เรียกร้องค่าเสียหายต่อไปการกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิ ข้อความในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 264 ที่ว่าโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนไม่ใช่การกระทำโดยแท้และไม่ใช่เจตนาพิเศษ จึงไม่เกี่ยวกับเจตนา แต่เป็นพฤติการณ์ที่ประกอบการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายได้แม้จะไม่เกิดความเสียหายขึ้นจริงก็พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไปส่วนคำว่า ได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงนั้น เป็นเจตนาพิเศษ โดยมิได้เจาะจงผู้ที่ถูกกระทำให้หลงเชื่อไว้โดยเฉพาะว่าจะต้องเป็นผู้ใดดังนั้น การที่จำเลยเจตนาทำหนังสือสัญญากู้ยืมเงินขึ้นเพื่อให้ ด. หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงก็เป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยยังมิได้นำเอกสารไปใช้แสดงต่อ ด. ก็ตาม ทั้งบุคคลที่จะถูกทำให้หลงเชื่อนี้กฎหมายมิได้กำหนดว่าจำต้องเกี่ยวโยงเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับบุคคลที่น่าจะเกิดความเสียหาย จึงเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2650/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ การแบ่งความรับผิด และข้อยกเว้นการเรียกร้องค่าเสียหาย
เมื่อศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าเหตุละเมิดเกิดจากจำเลยที่1ได้ขับรถไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่2ชนรถยนต์ฝ่ายโจทก์โดย ประมาทเลินเล่อจำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงฟังได้เป็นยุติปัญหาที่ว่าโจทก์ที่1ไม่มีส่วนประมาทเลินเล่อร่วมด้วยตามที่โจทก์ที่2ฎีกาหรือไม่จึงไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะหากวินิจฉัยแล้วผลออกมาว่าโจทก์ที่1มีส่วนประมาทเลินเล่อร่วมด้วยจำเลยทั้งสองก็ยังต้องร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ที่2อยู่เช่นเดิม โจทก์ที่2มิได้มีส่วนในการทำละเมิดด้วยจึงนำป.พ.พ.มาตรา442มาใช้บังคับแก่โจทก์ที่2หาได้ไม่การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ที่1และจำเลยที่1ต่างมีส่วนประมาทเลินเล่อก่อให้เกิดความเสียหายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันจำเลยที่1และที่2จึงร่วมกันรับผิดในความเสียหายเพียงกึ่งเดียวส่วนอีกกึ่งหนึ่งโจทก์ที่2จะต้องไปเรียกร้องจากโจทก์ที่1จึงไม่ชอบเพราะโจทก์ที่2ไม่ได้ฟ้องให้โจทก์ที่1รับผิดชอบใช้ค่าเสียหายร่วมกับจำเลยทั้งสองด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3374/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการเรียกร้องค่าเสียหายจากเช็คปลอม ผู้จัดทำเช็คปลอมไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของบัญชีกระแสรายวันเป็นผู้จัดหรือรู้เห็นในการจัดให้มีการทำปลอมเช็คพิพาท โดยใช้วิธีการลอกทาบแบบลายมือชื่อโจทก์ แล้วให้ผู้อื่นนำเช็คพิพาทมาเบิกเงินในบัญชีกระแสรายวันของโจทก์จากธนาคารจำเลยนั้น ถือได้ว่าโจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตในการนำเช็คพิพาทปลอมมาเรียกร้องให้จำเลยรับผิดใช้เงินตามเช็คโดยอ้างว่าลายมือชื่อผู้สั่งจ่ายเป็นลายมือชื่อปลอม โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1395/2525 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์รถยนต์ที่ได้มาโดยไม่สุจริต และสิทธิในการเรียกร้องค่าต่อตัวถัง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกคันพิพาทพร้อมตัวถังและอุปกรณ์ตามฟ้องหรือไม่คดีย่อมมีประเด็นที่ศาลจะวินิจฉัยแต่เพียงว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รถยนต์บรรทุกคันพิพาทโดยซื้อมาจากเจ้าของที่แท้จริงหรือไม่ การที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์ซื้อมาจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้นย่อมได้รับความคุ้มครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็น
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง แม้โจทก์จะรับซื้อไว้โดยสุจริตโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนผู้เป็นเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 การที่เจ้าของและเจ้าพนักงานยึดรถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนจากโจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกซึ่งไม่มีตัวถัง แต่โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น ตัวรถยนต์บรรทุกถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันนั้นแต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์บรรทุกทั้งคันอันเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์เป็นของตนทั้งหมดแต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งคือค่าต่อตัวถังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ผู้ขายมิใช่เจ้าของที่แท้จริง แม้โจทก์จะรับซื้อไว้โดยสุจริตโจทก์ก็ไม่ได้กรรมสิทธิ์ เพราะผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอนผู้เป็นเจ้าของย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 การที่เจ้าของและเจ้าพนักงานยึดรถยนต์บรรทุกคันพิพาทคืนจากโจทก์ จึงไม่เป็นการละเมิด
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถยนต์บรรทุกซึ่งไม่มีตัวถัง แต่โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น ตัวรถยนต์บรรทุกถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยที่ 1 จึงเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้ากันนั้นแต่ผู้เดียว เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยชดใช้ราคารถยนต์บรรทุกทั้งคันอันเป็นการฟ้องเรียกทรัพย์เป็นของตนทั้งหมดแต่ทางพิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับแต่ส่วนแบ่งคือค่าต่อตัวถังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1942/2514 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ซื้อเนื้อโคที่ถูกขโมย ไม่เข้าข่ายกรรโชกทรัพย์ หากมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
โคของจำเลยที่ 3 ถูกคนร้ายลักไปฆ่าเอาเนื้อขายให้ผู้เสียหายและพวกการที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเรียกร้องเอาเงินค่าโคจากผู้เสียหาย ถ้าไม่ให้จะเอาตำรวจจับตัวมาดำเนินคดีฐานรับของโจร ผู้เสียหายกลัวจะถูกดำเนินคดีจึงยอมรับใช้และให้เงินแก่จำเลยที่ 3 เจ้าของโค ดังนี้ จะถือว่าเป็นการข่มขืนใจโดยขู่เข็ญผู้เสียหายหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีความผิดฐานกรรโชก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1942/2514
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ซื้อเนื้อโคที่ถูกลักไป ไม่ถือเป็นกรรโชก หากมีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมาย
โคของจำเลยที่ 3 ถูกคนร้ายลักไปฆ่าเอาเนื้อขายให้ผู้เสียหายและพวกการที่จำเลยทั้งสี่ร่วมกันเรียกร้องเอาเงินค่าโคจากผู้เสียหาย ถ้าไม่ให้จะเอาตำรวจจับตัวมาดำเนินคดีฐานรับของโจร ผู้เสียหายกลัวจะถูกดำเนินคดีจึงยอมรับใช้และให้เงินแก่จำเลยที่ 3 เจ้าของโค ดังนี้ จะถือว่าเป็นการข่มขืนใจโดยขู่เข็ญผู้เสียหายหาได้ไม่ จำเลยยังไม่มีความผิดฐานกรรโชก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1476/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดทางละเมิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: เจ้าของรถมีสิทธิเรียกร้องจากผู้ขับขี่และคู่กรณี
นายพีรพลขับรถโจทก์ไปตามถนนและเกิดชนกันขึ้นกับรถของจำเลยแม้หากศาลฎีกาจะฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาว่า เหตุที่รถชนขึ้นเนื่องจากจำเลยและนายพีรพลต่างขับรถยนต์ด้วยความประมาททั้งสองฝ่ายก็ตามแต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นก็มิใช่เพราะความผิดอย่างหนึ่งอย่างใดของโจทก์ผู้ต้องเสียหายประกอบด้วยแต่ประการใดทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์จะต้องร่วมรับผิดกับนายพีรพลตามกฎหมาย ในผลที่นายพีรพลขับรถชนโดยประมาทแต่ประการใดด้วย โจทก์ในฐานะเจ้าของรถยนต์คันที่นายพีรพลขับจึงย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดได้ทั้งจากนายพีรพลและจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 และ 424 เพราะทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างละเมิดโจทก์ด้วยกัน ศาลย่อมพิพากษาแบ่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้โจทก์ตามสมควรได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2503 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องค่าประกันภัยจากสัญญาประกันภัย: การเรียกบุคคลที่ 3 เข้าเป็นจำเลยร่วมไม่ชอบ
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าประกันภัยรถยนต์จากผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัยนั้นเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้ เกิดจากสัญญาประกันภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยเนื่องจากรถที่เอาประกันไว้ถูกชน ไม่มีประเด็นว่าการชนนั้น เป็นความผิดของผู้เอาประกันภัยหรือผู้ทำละเมิด และผู้ทำละเมิดจะเป็นลูกจ้างบุคคลที่ 3 จริงหรือไม่ ก็เป็นข้อที่บุคคลที่ 3 อาจยกขึ้นต่อสู้ได้ กรณีไม่เข้า ป.วิ.พ. มาตรา 57 (3) จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันจึงหาอาจยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ไม่ การที่ให้บุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้น นอกจากไม่มีประเด็นความรับผิดไปถึงในเรื่องที่ฟ้องกันนี้ ยังทำให้การพิจารณายุ่งยากไม่สดวกอีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 194/2503
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องค่าประกันภัยจากผู้รับประกันภัย ไม่จำเป็นต้องเรียกบุคคลที่ 3 เข้าเป็นจำเลยร่วม หากไม่มีประเด็นความรับผิด
ผู้เอาประกันภัยฟ้องเรียกค่าประกันภัยรถยนต์จากผู้รับประกันภัยตามสัญญาประกันภัยนั้นเป็นการเรียกร้องในมูลหนี้เกิดจากสัญญาประกันภัยระหว่างผู้เอาประกันภัยกับผู้รับประกันภัยเนื่องจากรถที่เอาประกันไว้ถูกชนไม่มีประเด็นว่าการชนนั้นเป็นความผิดของผู้เอาประกันภัยหรือผู้ทำละเมิด และผู้ทำละเมิดจะเป็นลูกจ้างบุคคลที่ 3 จริงหรือไม่ ก็เป็นข้อที่บุคคลที่ 3 อาจยกขึ้นต่อสู้ได้ กรณีไม่เข้า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(3) จำเลยซึ่งเป็นผู้รับประกันจึงหาอาจยื่นคำร้องขอให้เรียกบุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ไม่การที่จะให้บุคคลที่ 3 เข้ามาเป็นจำเลยร่วมนั้นนอกจากไม่มีประเด็นความรับผิดไปถึงในเรื่องที่ฟ้องกันนี้ ยังทำให้การพิจารณายุ่งยากไม่สะดวกอีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 363/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้สิทธิโดยไม่สุจริตและการฉ้อโกงทำให้เกิดความเสียหาย สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายคืน
เดิมเจ้าของเรือฟ้องเจ้าของอู่ซ่อมเรือให้ส่งมอบเรือที่ซ่อมคืนในสภาพเดิมซึ่งขณะนั้นปรากฏว่า ไม่มีเครื่องยนต์ในเรือเพราะมีคนถอดเอาไปศาลจึงพิพากษาให้เจ้าของอู่ซ่อมเรือใช้ค่าเสียหาย แก่เจ้าของเรือ ต่อมาปรากฏว่า คนของเจ้าของเรือเป็นผู้มาถอดเอาเครื่องยนต์ในเรือไปแล้วหาย ต่อมาจับได้ และเจ้าของเรือได้รับเอาเครื่องยนต์คืนจากตำรวจไปแล้ว ตั้งแต่ก่อนเจ้าของเรือฟ้องเจ้าของอู่เรือดังนี้ เจ้าของอู่เรือย่อมมีสิทธิฟ้องเจ้าของเรือ ฐานปิดบังความจริงและใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอันเป็นการกล่าวเท็จ เป็นเหตุให้ศาลหลงเชื่อและพิพากษาบังคับเจ้าของอู่เรือ ให้ใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของเรือตามฟ้องเจ้าของอู่เรือจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่ต้องชำระไปดังกล่าวคืนจากเจ้าของเรือได้ ไม่เป็นการฟ้องซ้ำ