คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
เหตุ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 130 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5484/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำต้องมีคู่ความและเหตุเดียวกัน หากจำเลยเป็นผู้ซื้อทรัพย์จากการบังคับคดี ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
การที่จะเป็นฟ้องซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 นั้น จะต้องเป็นกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดในประเด็นใดโดยอาศัยเหตุอย่างใดแล้ว คู่ความเดียวกันจะรื้อร้องฟ้องกันในประเด็นนั้น โดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันนั้นอีกไม่ได้ แต่สำหรับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้นเป็นคดีที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับ พ. ชำระหนี้เงินกู้พร้อมดอกเบี้ยและบังคับจำนองเนื่องจาก พ. ผิดนัดไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยเป็นเพียงผู้ซื้อทรัพย์จำนองจากการขายทอดตลาดของศาลในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 11353/2534 ที่ ส. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ พ. ขอให้บังคับคดีแก่ทรัพย์จำนองเพื่อนำเงินชำระหนี้แก่ ส. แม้จำเลยจะเป็นผู้ซื้อทรัพย์จำนอง แต่จำเลยก็มิได้เป็นคู่ความในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ที่โจทก์ฟ้อง พ. ทั้งจำเลยมีสิทธิที่จะไถ่จำนองได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 736 เมื่อจำเลยไม่ไถ่จำนองและโจทก์มีจดหมายบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยตามมาตรา 735 แล้วแต่จำเลยเพิกเฉยถือว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิของโจทก์ภายหลังจากโจทก์ฟ้องคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้นแล้ว มูลคดีที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้จึงเป็นคนละอย่างกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ธ.9861/2544 ของศาลชั้นต้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาไม่ถือเป็นการป้องกันโดยชอบธรรม เนื่องจากไม่มีเหตุอันตรายที่ต้องป้องกัน
ผู้ตายกับจำเลยเป็นสามีภริยากัน แต่มีเรื่องทะเลาะกันเป็นประจำจึงแยกกันอยู่ วันเกิดเหตุผู้ตายกับจำเลยไปบ้านเกิดเหตุเพื่อตกลงปัญหาเรื่องครอบครัวแต่ตกลงกันไม่ได้ จำเลยจึงจะออกจากบ้าน ผู้ตายนำอาวุธปืนออกมาวางที่ปลายเตียงเพื่อขู่ให้จำเลยอยู่กับผู้ตายและที่ผู้ตายพูดขู่จำเลยขณะจำเลยขยับตัวจะวิ่งก็เป็นเพียงขู่ไม่ใช่จำเลยหนีไปเท่านั้น แต่จำเลยเกรงว่าผู้ตายจะใช้อาวุธปืนของกลางยิงจำเลย ทั้งที่ไม่ปรากฏพฤติการณ์ที่จะส่อว่าผู้ตายจะทำเช่นนั้น จึงถือว่าไม่มีภยันตรายที่จำเลยจำต้องป้องกันแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8868/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรื้อฟื้นคดีอาญา: คำร้องต้องระบุเหตุและรายละเอียดพยานหลักฐานใหม่ที่ชัดเจนและสำคัญต่อคดี
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่โดยอ้างเหตุตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ฯ มาตรา 5(3)ซึ่งมาตรา 8 วรรคสอง บัญญัติให้คำร้องนั้นต้องอ้างเหตุตามที่ระบุไว้ในมาตรา 5 โดยละเอียดชัดแจ้ง แต่ปรากฏว่าคำร้องของผู้ร้องอ้างแต่เพียงว่ามีพยานหลักฐานใหม่ตามบัญชีพยานท้ายคำร้องที่จะแสดงชี้ชัดเท่านั้น ไม่ปรากฏข้ออ้างโดยละเอียดชัดแจ้งเพื่อให้เห็นว่าพยานหลักฐานใหม่มีความเป็นมาอย่างไร เหตุใดจึงไม่นำมาพิสูจน์ว่าผู้ร้องมิได้กระทำความผิดตั้งแต่แรก ที่สำคัญพยานหลักฐานใหม่นั้นมีความสำคัญแก่คดีมากพอที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงผลของคำพิพากษาที่ได้พิพากษาลงโทษผู้ร้องไปแล้วได้หรือไม่ เมื่อคำร้องมิได้อ้างเหตุโดยละเอียดชัดแจ้งเช่นนี้ จึงฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีคำร้องขอของผู้ร้องจึงไม่มีมูลและชอบที่ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวน
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องโดยมิได้ทำความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์ภาค 2 เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนนั้น ไม่ชอบด้วยมาตรา 10 เพราะอำนาจในการมีคำสั่งตามคำร้องในคดีนั้นเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 2อย่างไรก็ตามเมื่อปรากฏว่าคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้วศาลฎีกาย่อมมีอำนาจที่จะมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีคำสั่งใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8623/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำขอพิจารณาใหม่ต้องระบุเหตุขาดนัดทั้งยื่นคำให้การและมาศาลตามนัดสืบพยาน
ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง (เดิม) ที่บัญญัติว่า คำขอให้พิจารณาใหม่ให้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัดและข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาล ความหมายก็คือ ต้องกล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งทั้งสองประการ คือ ทั้งเหตุที่ได้ขาดนัดพิจารณาและทั้งข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาด คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลย กล่าวเพียงเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดยื่นคำให้การเท่านั้นแต่จำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือจำเลยมิได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งซึ่งเหตุที่จำเลยได้ขาดนัดพิจารณาเป็นเหตุที่จำเลยจะมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 207 คำขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 208 วรรคสอง จึงไม่มีเหตุที่จะให้มีการพิจารณาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5416/2543 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดิน: เหตุต่างกรรมต่างวาระ
แม้ทรัพย์ที่พิพาทกันทั้งฟ้องเดิมและฟ้องแย้งจะเป็นทรัพย์ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันก็ตาม แต่โจทก์และจำเลยอาศัยมูลเหตุให้ใช้สิทธิเรียกร้องเพื่อให้ปฏิบัติตามฟ้องและฟ้องแย้งต่างกัน กล่าวคือโจทก์อาศัยเหตุจากการที่เจ้าของที่ดินเดิมปลูกสร้างกันสาดและพื้นคอนกรีตรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของจำเลยโดยสุจริตและจำเลยขัดขวางการใช้ส่วนแห่งแดนกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ขอให้จำเลยรื้อถอนทรัพย์สินและจดทะเบียนภาระจำยอม ส่วนจำเลยอาศัยเหตุจากการที่โจทก์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญอันเป็นการกระทำละเมิดต่อจำเลยโดยตรง ขอให้รื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินออกไป ประเด็นในคดีตามฟ้องเดิมและฟ้องแย้งต่างกัน ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นคนละเรื่องกับฟ้องเดิมของโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 683/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งต้องอาศัยเหตุเดียวกับคำฟ้องเดิม หากเหตุต่างกันไม่อาจรวมพิจารณาได้
คำฟ้องของโจทก์เป็นเรื่องที่กล่าวหาว่าจำเลยที่3ร่วมกับจำเลยที่1และที่2กระทำละเมิดต่อโจทก์โดยการลงข่าวใส่ความหมิ่นประมาทโจทก์ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่3เป็นเรื่องที่จำเลยที่3กล่าวหาว่าการที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่3นี้ทำให้จำเลยที่3ได้รับความเสียหายดังนี้ฟ้องแย้งของจำเลยที่3เป็นฟ้องแย้งที่อาศัยเหตุต่างกันจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมไม่อาจรวมพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2006/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนโฉนดที่ดินต้องมีเหตุโฉนดคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีคำพิพากษาถึงที่สุด และผู้ฟ้องต้องมีสิทธิในที่ดิน
การที่จะสั่งเพิกถอน แก้ไข หรือออกใบแทนหนังสือแสดงสิทธิในที่ดิน หรือเพิกถอน แก้ไข เอกสารที่ได้จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือเอกสารที่ได้จดแจ้งรายการทะเบียนอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 ได้นั้น ต้องเป็นกรณีที่เป็นการออกโฉนดคลาดเคลื่อนหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือในกรณีที่ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่งถึงที่สุดให้เพิกถอนหรือแก้ไข ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์เคยยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งแสดงว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2867 โดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 ส. กับพวกรวม 4 คนยื่นคำคัดค้าน ศาลชั้นต้นจึงดำเนินคดีอย่างคดีอันมีข้อพิพาทและในคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยมีใจความว่า ค. กับพวกได้เข้าครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 2867 เป็นการชั่วคราวและถือวิสาสะ ไม่ใช่เข้าครอบครองด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ค. กับพวกผู้ครอบครองจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์คดีนี้และเป็นผู้รับโอนที่ดินดังกล่าวย่อมไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน พิพากษาให้ยกคำร้องขอดังนี้ผลแห่งคำพิพากษาคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และ ส. กับพวกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่งเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดดังกล่าวแล้วว่าโฉนดที่ดินออกโดยชอบด้วยกฎหมาย และโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2867 โดยการครอบครอง ดังนี้โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้มีสิทธิหรือประโยชน์ได้เสียในที่ดินโฉนดเลขที่ 2867 และไม่อาจมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นแก่โจทก์เกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2867 ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 61 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 81 ตามฟ้องและโฉนดที่ดินเลขที่ 2867 ซึ่งออกตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5251/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายโดยมีเหตุจูงใจจากความขัดแย้งส่วนตัว มิอาจอ้างป้องกันตนเองได้
ก่อนเกิดเหตุประมาณ 7 วัน โจทก์ร่วมได้ไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านว่าสามีจำเลยใช้ไม้ปาถูกบ้านของโจทก์ร่วม ทำให้จำเลยไม่พอใจ เมื่อจำเลยพบโจทก์ร่วมในวันเกิดเหตุแล้วถามโจทก์ร่วมได้รับคำยืนยันว่าไปแจ้งแก่ผู้ใหญ่บ้านจริงจำเลยโกรธแค้นโจทก์ร่วมและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมทันที จำเลยจึงเป็นฝ่ายก่อเหตุและเข้าทำร้ายโจทก์ร่วมแต่เพียงฝ่ายเดียว จำเลยจึงอ้างป้องกันมิได้
ตามสภาพบาดแผลที่โจทก์ร่วมได้รับนั้น โจทก์ร่วมต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลติดต่อกันเป็นเวลานานกว่า 30 วัน เมื่อบาดแผลหายแล้วปรากฏรอยแหว่งที่ปีกจมูกด้านซ้ายเป็นแผลเป็นติดตัว ถือได้ว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 505-506/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมกระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ต้องเป็นการเข้าร่วมขณะเกิดเหตุ หากไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ไม่เป็นตัวการ
การเข้าร่วมกระทำความผิดด้วยกันที่กฎหมายบัญญัติว่าเป็นตัวการนั้นจะต้องเป็นการเข้าร่วมในระหว่างที่มีการกระทำความผิดเมื่อไม่ปรากฎว่าระหว่างที่ อ.กับ น. ไปรับผู้เสียหายออกมาจากบ้านจนถึงเวลาที่นำผู้เสียหายไปยังบ้านที่เกิดเหตุนั้นจำเลยทั้งสองได้มีส่วนร่วมรู้เห็นหรือร่วมกระทำการดังกล่าวด้วยแต่อย่างใดทั้งการที่ อ.กับ น.จะพาผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารก็ไม่ปรากฎว่าจำเลยทั้งสองร่วมคบคิดหรือนัดแนะกับ อ. และ น. อยู่ก่อนแล้วดังนี้แม้จำเลยทั้งสองได้ตามไปยังบ้านที่เกิดเหตุและได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายจริงก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองเป็นตัวการร่วมกับ อ. และ น. พาผู้เสียหายไปในคืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 692/2537

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การหมิ่นประมาทพี่น้องร่วมสายเลือดเป็นเหตุให้เรียกคืนการให้ทรัพย์สินได้
โจทก์ยกที่ดินที่โจทก์มีกรรมสิทธิ์ร่วมกับ อ. เฉพาะส่วนของโจทก์ให้แก่จำเลย ซึ่งเป็นน้องสาวโดยเสน่หา ต่อมาจำเลยด่าว่าโจทก์ว่า "ได้พี่ฉิบหายไอ้ชาติชั่ว เห็นเมียดีกว่าน้อง มึงออกจากที่ดินของกู มึงจะมีที่ดินทำมาหาแดกหรือไม่ เป็นเรื่องของมึงไปเย็ดกันที่อื่นกูไม่ให้เย็ดกันที่นี่" ถ้อยคำที่จำเลยด่าว่าโจทก์ดังกล่าวหมายความว่าโจทก์เป็นคนชั่ว คนเลวทราม คบไม่ได้เป็นที่น่ารังเกียจ และเป็นเหตุให้โจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง ถือเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงโจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกถอนคืนการให้ที่ดินพิพาทจากจำเลยได้
of 13