คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
แยกต่างหาก

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 23 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5664/2549

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานมีอาวุธปืนและรับของโจรเป็นคนละกรรมกัน แม้จะเกี่ยวกับอาวุธปืนเดียวกัน
การมีอาวุธปืนไว้ครอบครอง เป็นความผิดนับแต่วาระแรกที่จำเลยได้อาวุธปืนมาไว้ในครอบครอง และเป็นความผิดอยู่ตลอดเวลาเรื่อยไปจนกระทั่งจำเลยถูกจับได้พร้อมด้วยอาวุธปืน ส่วนความผิดฐานรับของโจรนั้น จำเลยรับของโจรอาวุธปืนในขณะใดขณะหนึ่งในระหว่างวันที่ 7 กันยายน 2547 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 เวลากลางวัน ดังนั้น ความผิดฐานรับของโจรอาวุธปืนจึงเป็นความผิดในขณะใดขณะหนึ่งตามที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง และเป็นการกระทำความผิดซึ่งอาศัยเจตนาแตกต่างแยกจากความผิดฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองได้ จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9014/2547

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลอุทธรณ์: การยื่นอุทธรณ์ฉบับแยกต่างหาก จำเลยต้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์
การชำระค่าขึ้นศาลจะต้องชำระเมื่อเวลายื่นฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 ประกอบตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. แม้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 4 ชำระเงินให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 4 ได้ยื่นอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ไว้แล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นอุทธรณ์เป็นอีกฉบับหนึ่งต่างหาก จำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์ที่อุทธรณ์ด้วยเช่นกัน แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ยื่นอุทธรณ์มาฉบับเดียวกันจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ไม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลเป็นรายคน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1392/2546

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลเวนคืน: การฟ้องเรียกค่าทดแทนหลายครั้งตาม พ.ร.ฎ. เว้นคืนแต่ละฉบับต้องเสียค่าขึ้นศาลแยกกัน
ที่ดินของโจทก์ทั้งสามถูกเวนคืน 3 ครั้ง แต่ละครั้งที่ถูกเวนคืนเนื่องจากการดำเนินการโดยอาศัยพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนซึ่งตราออกมาคนละฉบับกัน โจทก์ทั้งสามมีสิทธิที่จะได้รับเงินค่าทดแทนที่ดินตามพระราชกฤษฎีกาแต่ละฉบับต่างกันจึงต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์ของเงินค่าทดแทนที่ดินแต่ละครั้งที่ถูกเวนคืนที่โจทก์ทั้งสามฟ้องขอเพิ่มแยกต่างหากจากกันด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6619/2545

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนหนังสือค้ำประกันหลังคำสั่งอายัดถูกเพิกถอนด้วยความยินยอมและหนังสือค้ำประกันเป็นสัญญาแยกต่างหาก
โจทก์ทั้งสองและจำเลยตกลงกันให้ศาลชั้นต้นถอนคำสั่งอันเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา โดยจำเลยเสนอหนังสือค้ำประกันของธนาคารซึ่งเป็นบุคคลภายนอกยอมผูกพันเพื่อการชำระหนี้ตามคำพิพากษาโดยเงื่อนไขว่าหากคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยเป็นฝ่ายแพ้คดี ธนาคารจึงต้องผูกพันตามข้อความในหนังสือค้ำประกันดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 274 กรณีไม่อาจถือว่าการเข้าค้ำประกันของธนาคารต่อศาลเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษา เป็นคำสั่งของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา อันจะมีผลยกเลิกไปเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์แพ้คดี ตามมาตรา 260 (1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2545 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดสองกรรม: ละเมิดลิขสิทธิ์และการประกอบกิจการเทป/วีดีโอ โดยมีเจตนาแยกต่างหาก
แม้จำเลยจะมีแผ่นวีดีโอซีดี แผ่นซีดี และแผ่นซีดีรอมของกลางไว้เพื่อขายและเสนอขายตามฟ้องข้อ (ก) และประกอบกิจการให้เช่า แลกเปลี่ยนหรือจำหน่ายเทปหรือวัสดุโทรทัศน์ตามฟ้องข้อ (ข) ในคราวเดียวกัน แต่การกระทำของจำเลยตามฟ้องข้อ (ก) และข้อ (ข) ก็เป็นการกระทำโดยอาศัยเจตนาที่แยกต่างหากจากกันและเป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมายคนละฉบับกัน จึงเป็นความผิดสองกรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9873/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นิติบุคคลแยกต่างหาก สัญญาต่างหาก ความรับผิดชอบเฉพาะคู่สัญญา
ตามคำฟ้องโจทก์ระบุว่าบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทจำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลต่างหากจากกัน และตามหนังสือรับรองเอกสารท้ายฟ้องก็ระบุไว้ชัดเจนว่าต่างเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกัน แม้ผู้ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 1 และที่ 2 ส่วนใหญ่จะเป็นญาติพี่น้องกันมีนามสกุลเดียวกันและแม้จะเป็นบริษัทในเครือเดียวกันก็ตาม แต่ตามกฎหมายแล้ว ต้องถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่างเป็นนิติบุคคลแยกกัน หาใช่เป็นบริษัทเดียวกันไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7201/2544

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิอุทธรณ์ค่าขึ้นศาล: จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งเรื่องค่าขึ้นศาลแยกต่างหากจากคำสั่งอื่นได้
อุทธรณ์ของจำเลยฉบับแรกเป็นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การของจำเลย และเมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าให้วางค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายใน 7 วัน นับแต่วันนี้ จำเลยย่อมเข้าใจว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลจำนวนดังกล่าวเมื่อจำเลยไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าว จำเลยก็ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์เพื่อให้ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้จำเลยเสียค่าขึ้นศาลจำนวน 200 บาท ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยฉบับแรกก่อนเพราะเป็นคนละกรณีกันกับอุทธรณ์ฉบับหลังซึ่งเป็นอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งเรื่องค่าขึ้นศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินและประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิแยกต่างหาก ผู้มีประทานบัตรยังคงมีสิทธิครอบครองได้ แม้ประทานบัตรหมดอายุ
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินที่โจทก์ได้รับโอนประทานบัตรในการทำเหมืองแร่ มาจากบริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวเมื่อปี 2514 โจทก์ได้ยึดถือครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา ดังนี้ แม้บริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวจะได้ที่ดินพิพาทมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ได้รับอนุญาตตาม ป.ที่ดิน แต่มิใช่ว่าการได้มาซึ่งที่ดินนั้นจะไม่มีผลเสียเลย กฎหมายเพียงแต่จำกัดสิทธิมิให้บริษัท ซ. ซึ่งเป็นคนต่างด้าวนั้นถือสิทธิหรือใช้สิทธิในที่ดินที่ได้มาอย่างเจ้าของกรรมสิทธิ์ไม่ได้ และต้องจำหน่ายที่ดินนั้นไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 94 เมื่อบริษัท ซ. โอนสิทธิในที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์โจทก์ผู้รับโอนย่อมมีสิทธิในที่ดินนั้นโดยสมบูรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสอง
สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้ว จะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่า ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้ว หากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ซึ่งรับโอนทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิตามประทานบัตรจากบริษัท ซ.โจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทตลอดมา โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 แม้ประทานบัตรของโจทก์หมดอายุแล้วก็หามีผลทำให้โจทก์สิ้นสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นสิทธิคนละส่วนกันแต่อย่างใดไม่การที่โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินพิพาทคืนโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองและบริวารยังขืนอยู่ในที่ดินพิพาทต่อไปโดยไม่ยอมส่งมอบคืนโจทก์ จึงเป็นการรบกวนการครอบครองอันเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารให้ออกไปจากที่ดินพิพาทได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2540 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินและสิทธิประทานบัตรทำเหมืองแร่เป็นสิทธิแยกต่างหาก การสิ้นสุดประทานบัตรไม่ทำให้สิทธิครอบครองเดิมสิ้นสุด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วย โดยโจทก์ซื้อสิทธิในกิจการเหมืองแร่และสิทธิในการครอบครองที่ดินจากบริษัท ซ. และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนเองมาโดยตลอด ตามคำฟ้องโจทก์นอกจากจะกล่าวอ้างว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการทำเหมืองแร่โดยรับโอนสิทธิตามประทานบัตรแล้ว ยังได้กล่าวอ้างมาด้วยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อหรือรับโอนมาจากเจ้าของที่ดินเดิมอีกด้วย สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้นเป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดิน ซึ่งต้องบังคับตาม ป.พ.พ. จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหากจากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้วจะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่า ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใดโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้ว หากต่อมาได้รับอนุญาตให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครองซึ่งมีอยู่แต่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย โจทก์จึงสามารถมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในเขตประทานบัตรการทำเหมืองแร่ได้
โจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำเหมืองแร่และปลูกต้นไม้ในที่ดินที่พิพาทมาโดยตลอดแม้เจ้าของที่ดินเดิมได้แจ้งแก่นายอำเภอให้ทราบว่า เจ้าของที่ดินเดิมแต่ละคนที่ยื่นแบบแจ้งการครอบครองไว้แล้ว ได้โอนสิทธิครอบครองในที่ดินแต่ละรายให้แก่ผู้อื่นไป ซึ่งหากจะถือว่าข้อความดังกล่าวเป็นการสละสิทธิครอบครองก็เป็นการสละสิทธิครอบครอง เพราะได้โอนสิทธิครอบครองของตนไปให้บุคคลอื่นโดยผู้โอนมิได้ยึดถือครอบครองเพื่อตนเองอีกต่อไป หาใช่ว่าเป็นการสละสิทธิครอบครองอันจะมีผลทำให้ที่ดินดังกล่าวกลับกลายสภาพเป็นที่รกร้างว่างเปล่าแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่เจ้าของที่ดินเหล่านี้สละสิทธิครอบครองในที่ดินของตนก็เพื่อโอนให้บริษัท อ.เพื่อนำไปขอประทานบัตร ที่ดินพิพาทและบริเวณที่ดินตามประทานบัตรของโจทก์ซึ่งรับโอนมาจากบริษัท ซ. ผู้รับโอนมาจากบริษัท อ. อีกต่อหนึ่ง จึงมิใช่ที่ว่างเปล่าตาม พ.ร.บ.แร่ พ.ศ.2510 และเมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ ซึ่งรับโอนมาทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิตามประทานบัตรจากบริษัท ซ.และโจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา โจทก์จึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ.มาตรา 1367 แม้ประทานบัตรของโจทก์จะหมดอายุไปแล้ว ก็หามีผลทำให้โจทก์สิ้นสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 935/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิครอบครองที่ดินและสิทธิทำเหมืองแร่เป็นสิทธิแยกต่างหาก แม้ประทานบัตรหมดอายุ สิทธิครอบครองยังคงอยู่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1,000 ไร่ ซึ่งรวมทั้งที่ดินพิพาทด้วยโดยโจทก์ซื้อสิทธิในกิจการเหมืองแร่และสิทธิในการ ครอบครองที่ดินจากบริษัท ซ. และโจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์เพื่อตนเองมาโดยตลอด ตามคำฟ้องโจทก์นอกจากจะกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิในการทำเหมืองแร่โดยรับโอนสิทธิตาม ประทานบัตรแล้ว ยังได้กล่าวอ้างมาด้วยว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิ ครอบครองที่ดินพิพาทโดยซื้อหรือรับโอนมาจากเจ้าของที่ดินเดิม อีกด้วย สิทธิตามประทานบัตรซึ่งเป็นสิทธิในการทำเหมืองแร่นั้น เป็นสิทธิที่จะต้องบังคับตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 อันแตกต่างกับสิทธิครอบครองในที่ดิน ซึ่งต้องบังคับตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงเป็นสิทธิคนละส่วนแยกต่างหาก จากกันได้ หาใช่ว่าหากผู้ใดมีสิทธิตามประทานบัตรแล้ว จะไม่อาจมีสิทธิครอบครองในที่ดินตามประทานบัตรนั้นได้เลยไม่ มิฉะนั้นจะมีผลเป็นว่า ผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินแปลงใด โดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แต่เดิมแล้ว หากต่อมาได้รับอนุญาต ให้ทำเหมืองแร่ในที่ดินแปลงดังกล่าวจะทำให้สิทธิครอบครอง ซึ่งมีอยู่แต่เดิมก่อนแล้วต้องหมดสิ้นไปด้วย โจทก์จึงสามารถ มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่อยู่ในเขต ประทานบัตรการทำเหมืองแร่ได้ โจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำเหมืองแร่และปลูกต้นไม้ในที่ดิน ที่พิพาทมาโดยตลอดแม้เจ้าของที่ดินเดิมได้แจ้งแก่นายอำเภอ ให้ทราบว่า เจ้าของที่ดินเดิมแต่ละคนที่ยื่นแบบแจ้งการ ครอบครองไว้แล้ว ได้โอนสิทธิครอบครองในที่ดินแต่ละราย ให้แก่ผู้อื่นไป ซึ่งหากจะถือว่าข้อความดังกล่าวเป็นการ สละสิทธิครอบครองก็เป็นการสละสิทธิครอบครอง เพราะได้ โอนสิทธิครอบครองของตนไปให้บุคคลอื่นโดยผู้โอนมิได้ยึดถือ ครอบครองเพื่อตนเองอีกต่อไป หาใช่ว่าเป็นการสละสิทธิ ครอบครองอันจะมีผลทำให้ที่ดินดังกล่าวกลับกลายสภาพเป็น ที่รกร้างว่างเปล่าแต่อย่างใดไม่ ทั้งการที่เจ้าของที่ดินเหล่านี้สละสิทธิครอบครองในที่ดินของตนก็เพื่อโอนให้บริษัท อ. เพื่อนำไปขอประทานบัตร ที่ดินพิพาทและบริเวณที่ดินตามประทานบัตรของโจทก์ซึ่งรับโอนมาจากบริษัท ซ.ผู้รับโอนมาจากบริษัทอ. อีกต่อหนึ่งจึงมิใช่ที่ว่างเปล่าตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510และเมื่อที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่ผู้มีสิทธิครอบครองได้โอนการครอบครองติดต่อกันมาจนถึงโจทก์ ซึ่งรับโอนมาทั้งสิทธิครอบครองและสิทธิตามประทานบัตรจากบริษัท ซ.และโจทก์ได้ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ตลอดมา โจทก์จึงเป็น ผู้มีสิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1367 แม้ประทานบัตรของโจทก์จะหมดอายุไปแล้ว ก็หามีผลทำให้โจทก์ สิ้นสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่
of 3