พบผลลัพธ์ทั้งหมด 16 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 662/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานข่มขู่เรียกทรัพย์จากข้าราชการ การกระทำของผู้สื่อข่าวที่แสวงหาผลประโยชน์จากข้อมูลการประพฤติมิชอบ
ผู้เสียหายทั้งสองเป็นเจ้าพนักงานที่ดินได้รับคำสั่งจากกรมที่ดินให้ปฏิบัติงานตามโครงการเดินสำรวจออกโฉนดที่ดินทั้งตำบลและเปลี่ยน น.ส. 3 ก เป็นโฉนดที่ดิน ระหว่างปฏิบัติหน้าที่มีผู้ร้องเรียนไปยังกรมที่ดินว่าผู้เสียหายที่ 1 เรียกและรับเงินค่าออกโฉนด กรมที่ดินจึงมีคำสั่งเรียกตัวกลับกรมที่ดินโดยขณะนั้นผู้เสียหายที่ 1 ไม่ทราบสาเหตุ จำเลยเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ได้โทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหายที่ 1 และได้ไปพบผู้เสียหายทั้งสองพร้อมมอบนามบัตรจำเลยให้ผู้เสียหายทั้งสอง และแจ้งถึงเหตุที่ผู้เสียหายที่ 1 ถูกเรียกตัวกลับ จำเลยเป็นผู้ดำเนินการทำหนังสือร้องเรียนและลงข่าวในหนังสือพิมพ์สองฉบับแล้วครั้งหนึ่ง ต่อมาจำเลยได้เรียกร้องเงินจากผู้เสียหายทั้งสอง เพื่อแลกกับการที่จำเลยจะไม่ลงข่าวที่ผู้เสียหายที่ 2 เรียกและรับเงินค่าออกโฉนดอีกท้องที่หนึ่งกับท้องที่ที่ถูกร้องเรียนครั้งแรก ผู้เสียหายที่ 1 ขอให้จำเลยอย่าเพิ่งลงข่าว ผู้เสียหายที่ 1 กำลังหาเงิน ผู้เสียหายที่ 1 จะกู้เงินสหกรณ์มาให้จำเลย แต่ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายที่ 1 ได้ดำเนินการกู้เงินสหกรณ์ตามที่อ้าง หลังจากนั้นจำเลยได้โทรศัพท์ขู่ผู้เสียหายที่ 2 หลายครั้งเพื่อเร่งรัดผู้เสียหายที่ 1 หากผู้เสียหายที่ 1 ไม่มีก็ให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกเงินให้แทน ผู้เสียหายทั้งสองจึงแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจและวางแผนจับกุมจำเลยได้พร้อมธนบัตรที่มอบให้จำเลยกับเครื่องบันทึกเสียงพร้อมเทปที่ตัวจำเลย โดยเทปดังกล่าวบันทึกเสียงที่จำเลยสอบถามชาวบ้านเรื่องที่ผู้เสียหายที่ 1 เรียกรับเงินกับเสียงพูดระหว่างจำเลยกับผู้เสียหายที่ 1 ขอร้องไม่ให้ลงข่าวและจะส่งเอกสารให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 พฤติการณ์เช่นนี้ถือได้ว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามรีดเอาทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 80,338
จำเลยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งต้องมีจรรยาบรรณในการเสนอข่าวตามความเป็นจริงและเป็นธรรม ไม่ลำเอียง แต่จำเลยกลับแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบจากอาชีพของตนเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและสังคม จึงไม่สมควรที่จะรอการลงโทษ
จำเลยประกอบอาชีพเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์ซึ่งต้องมีจรรยาบรรณในการเสนอข่าวตามความเป็นจริงและเป็นธรรม ไม่ลำเอียง แต่จำเลยกลับแสวงหาประโยชน์ที่มิชอบจากอาชีพของตนเป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนและสังคม จึงไม่สมควรที่จะรอการลงโทษ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1121/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีร้ายแรง: การแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวในระหว่างทำงานส่งผลต่อชื่อเสียงนายจ้าง
โจทก์ปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุในฐานะพนักงานของจำเลยซึ่งเป็นบริษัทผู้รับประกันภัยได้พูดแนะนำ พ. เจ้าของรถคู่กรณีให้เรียกร้องค่าเสียเวลาหรือค่าเสียหายที่ต้องจ่ายเป็นค่าโดยสารรถแท็กซี่ระหว่างซ่อมรถจำนวน 2,500 บาท จากคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งและขอส่วนแบ่งจำนวน 500 บาท ซึ่งแม้จะกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ แต่โจทก์กระทำในระหว่างปฏิบัติหน้าที่ตรวจสอบอุบัติเหตุซึ่งเป็นงานที่ทำให้แก่จำเลย จึงเป็นการแสวงหาประโยชน์ให้แก่ตนเองโดยอาศัยโอกาสในการทำงานกับจำเลย ทำให้ลูกค้าไม่เชื่อถือและย่อมส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงทางทำมาหาได้ของจำเลยโดยตรง จึงถือได้ว่าเป็นการกระทำผิดข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกรณีร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (4) ไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี ตามมาตรา 67 และไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าตามมาตรา 17 วรรคท้าย ประกอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 583
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 741/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมการสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากเงินสงเคราะห์สมาชิก ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
วัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ตามพระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ฯ นั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่สมาชิกให้ช่วยเหลือสงเคราะห์ซึ่งกันและกันเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งถึงแก่ความตาย หาได้เป็นไปเพื่อแสวงหาประโยชน์ในทางการค้าหรือแสวงหากำไรแต่อย่างใดไม่ ทั้งพระราชบัญญัตินี้ยังมีลักษณะในการควบคุมการดำเนินกิจการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว และมีบทกำหนดโทษแก่ผู้ที่ฝ่าฝืนเพื่อป้องกันมิให้มีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วย การที่จำเลยที่ 1ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 ซึ่งเป็นกรรมการของสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์ฯร่วมกันหักเงินร้อยละ 4 จากเงินสงเคราะห์ที่สมาคมเรียกเก็บจากสมาชิกเมื่อสมาชิกคนใดคนหนึ่งตาย ในแต่ละครั้งแล้วนำมาจัดสรรแบ่งกันเป็นประโยชน์ส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่เงินส่วนนั้นควรเป็นประโยชน์แก่ญาติของสมาชิกที่ถึงแก่ความตาย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 5 และจำเลยที่ 7 หาได้รู้สำนึกถึงความผิดของตนไม่โดยให้ถ้อยคำแก่พนักงานคุมประพฤติว่าไม่ประสงค์จะชดใช้เงินคืนแก่สมาคม พฤติการณ์ดังกล่าวจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่สมควรรอการลงโทษให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2542 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากธุรกิจคู่แข่ง โดยไม่แจ้งล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
ตามระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยว่าด้วยวินัยและการลงโทษทางวินัยระบุไว้ว่า "แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานหรือเวลาปฏิบัติงานของบริษัท" ถือว่าเป็นการกระทำผิดร้ายแรง ดังนี้ การที่โจทก์เข้าไปมีส่วนร่วมในการประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ ส. โดยได้รับผลตอบแทนอันเป็นธุรกิจหนังสือพิมพ์เช่นเดียวกับที่จำเลยประกอบอยู่ และเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของจำเลยในขณะที่โจทก์ยังเป็นลูกจ้างจำเลยอยู่ ซึ่งตามหนังสือสัญญาจ้างที่หนังสือพิมพ์ ส. ทำไว้กับโจทก์นั้น โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากการที่โจทก์ให้คำปรึกษากับหนังสือพิมพ์ดังกล่าวซึ่งเป็นคู่แข่งกับหนังสือพิมพ์ของจำเลย กรณีถือได้ว่าโจทก์ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานที่โจทก์ทำกับจำเลย โดยทำงานให้แก่ธุรกิจที่แข่งขันกับนายจ้างทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง ถือว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรงแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3831/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างกรณีแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจ
โจทก์มีส่วนร่วมในการประกอบธุรกิจหนังสือพิมพ์ส.โดยได้รับผลตอบแทนตามสัญญาจ้างที่ปรึกษาอันเป็นธุรกิจเช่นเดียวกับ ที่จำเลยประกอบอยู่ และเป็นการแข่งขันกับธุรกิจของจำเลย ในขณะที่โจทก์ยังเป็นลูกจ้างจำเลย ซึ่งตามสัญญาจ้างที่ หนังสือพิมพ์ส. ทำไว้กับโจทก์นั้นระบุว่า "ผู้รับจ้างไม่ได้เป็นพนักงานหรือลูกจ้างของบริษัทฯ นอกจากได้รับค่าจ้าง จากการให้คำปรึกษา ผู้รับจ้างต้องพร้อมตลอดเวลาในการ ให้คำปรึกษาผู้ว่าจ้างตกลงจ่ายค่าจ้างให้กับผู้รับจ้างเป็นประจำทุกเดือนตามอัตราที่ได้ตกลงกับผู้รับจ้าง"จะเห็นได้ว่าตามสัญญาจ้างดังกล่าว โจทก์มีสิทธิได้รับค่าจ้างจากการที่โจทก์ให้คำปรึกษากับหนังสือพิมพ์ส. ซึ่งเป็นคู่แข่งขันกับหนังสือพิมพ์ของจำเลย ถือได้ว่าโจทก์ได้แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวจากหน้าที่การงานที่โจทก์ทำกับจำเลยโดยทำงานให้แก่ธุรกิจที่แข่งขันกับนายจ้าง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง เป็นกรณีโจทก์ฝ่าฝืน ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรงแล้ว จำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าและไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6318/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลักทรัพย์ (ดิน) และพฤติการณ์แสวงหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ทำให้ไม่สมควรให้รอการลงโทษ
ที่ดินพิพาทของโจทก์อยู่ในวงล้อมของที่ดินจำเลย จำเลยได้ขุดตักดินในที่ดินของจำเลยรอบ ๆ ที่ดินโจทก์ แล้วพยายามซื้อที่ดินพิพาทจากโจทก์ในราคาต่ำแต่โจทก์ไม่ยอมขายจำเลยจึงลักขุดตักดินของโจทก์ไป แม้จำเลยจะประกอบธุรกิจจัดสรรที่ดินหลายโครงการ แต่ก็ส่อให้เห็นได้ว่าเป็นการประกอบธุรกิจที่มุ่งเอาแต่ได้ โดยไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของผู้อื่น ตามพฤติการณ์ดังกล่าว จึงยังไม่มีเหตุสมควรรอการลงโทษให้จำเลย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างลูกจ้างนักการภารโรงฐานประพฤติตนไม่เหมาะสมและแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบ
การที่โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยตำแหน่งนักการภารโรงเรียกและรับเงินจากบริษัท อ. เป็นค่าจัดการโอนย้ายและติดตั้งโทรศัพท์ตามหมายเลขของ ป. ให้แก่บริษัทดังกล่าว แล้วไม่นำเงินไปชำระแก่ ป. เป็นเหตุให้ ป. ไม่ดำเนินการโอนโทรศัพท์ให้การกระทำของโจทก์เป็นการแสวงหาผลประโยชน์จากผู้ที่จะขอใช้บริการของจำเลยโดยมิชอบและเป็นการกระทำในเรื่องที่นอกเหนือจากตำแหน่งหน้าที่ เป็นที่เสื่อมเสียและอาจเกิดความเสียหายแก่จำเลย ถือได้ว่าโจทก์ฝ่าฝืนระเบียบปฏิบัติงานของจำเลยที่กำหนดว่าประพฤติตนไม่เหมาะสมซึ่งจำเลยมีอำนาจเลิกจ้างโจทก์ได้ และการกระทำของโจทก์ดังกล่าวเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานเป็นกรณีร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 47(3) อีกด้วย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 694/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกัน: ความรับผิดในละเมิด
จำเลยและ อ.กระทำกิจการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันจากรถยนต์แท็กซี่คันเกิดเหตุ อ.จึงเป็นตัวแทนของจำเลยและจำเลยจะต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของ อ.ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 427.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3898/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐวิสาหกิจแสวงหาผลประโยชน์ทุจริตจากไม้ของกลาง
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นรัฐวิสาหกิจ จำเลยเป็นพนักงานประจำป่าหมวดทำไม้ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการทำไม้สัมปทานและควบคุมการทำไม้นอกโครงการและไม้ของกลางในคดีนี้ มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการ เสนอความเห็นหาตัวผู้รับจ้างเกี่ยวกับไม้ที่รับมอบไว้จำเลยใช้อำนาจ ในหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต โดยจัดการรับชักลากและขนไม้ของกลาง ซึ่งตนเองมีหน้าที่ดูแลรักษาดังกล่าวไปแล้ว ทำการขายไปโดยมิได้ขออนุมัติผู้บังคับบัญชาก่อน อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและเกินอำนาจหน้าที่ของตน ทำให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับความเสียหาย ขาดราคาค่าไม้ของกลางที่ควรจะได้ไป เช่นนี้จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯ มาตรา 8
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3898/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพนักงานรัฐวิสาหกิจแสวงหาผลประโยชน์ทุจริต จำหน่ายไม้ของกลางเกินอำนาจ ทำให้เสียหาย
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เป็นรัฐวิสาหกิจ จำเลยเป็นพนักงานประจำป่า หมวดทำไม้ มีอำนาจหน้าที่ควบคุมการทำไม้สัมปทานและควบคุมการทำไม้ นอกโครงการและไม้ของกลางในคดีนี้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและจัดการ เสนอความเห็นหาตัวผู้รับจ้างเกี่ยวกับไม้ที่รับมอบไว้จำเลยใช้อำนาจ ในหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต โดยจัดการรับชักลากและขนไม้ของกลางซึ่งตนเองมีหน้าที่ดูแลรักษาดังกล่าวไปแล้วทำการขายไปโดยมิได้ ขออนุมัติผู้บังคับบัญชาก่อนอันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและเกินอำนาจหน้าที่ ของตนทำให้องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้รับความเสียหายขาดราคา ค่าไม้ของกลางที่ควรจะได้ไปเช่นนี้จำเลยจึงมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐฯมาตรา 8