พบผลลัพธ์ทั้งหมด 13 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5308/2548
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมโอนหุ้นบริษัทประกันชีวิตฝ่าฝืนกฎกระทรวงออกตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิต
จำเลยที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 10 รับโอนหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 11 ส่วนของโจทก์ไว้แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตตาม พ.ร.บ.ประกันชีวิตฯ มาตรา 28 กำหนดว่านอกเหนือจากการประกันชีวิต ให้บริษัทที่ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจประกันชีวิตลงทุนประกอบธุรกิจอื่นใดได้เฉพาะที่รัฐมนตรีประกาศกำหนด บทบัญญัติดังกล่าวเป็นการควบคุมบริษัทประกันชีวิตให้นำเงินไปลงทุนได้ภายในขอบเขตที่กฎหมายให้อำนาจไว้เท่านั้น เมื่อปรากฏว่าบริษัทจำเลยที่ 11 ที่จำเลยที่ 1 ถือหุ้นดังกล่าวไม่อยู่ในฐานะเป็นบริษัทที่มีทรัพย์สินเกินกว่าหนี้สินและไม่มีฐานะเป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 ต่อปีของทุนที่ชำระแล้วติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปีก่อนที่ซื้อหุ้นนั้นตามหลักเกณฑ์การลงทุนของบริษัทประกันชีวิตที่กำหนดในกฎกระทรวง ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบริษัทประกันชีวิตได้ลงทุนประกอบธุรกิจอันเป็นการจงใจฝ่าฝืนกฎกระทรวง ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2519) ออกตามความใน พ.ร.บ.ประกันชีวิตฯ ซึ่งมีผลใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการโอนหุ้นดังกล่าว จึงเป็นการทำนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย นิติกรรมการโอนหุ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 10 ตัวแทนของจำเลยที่ 1 จึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
ในการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์โอนหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 11 ให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 10 โดยเจตนาลวง ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 10 ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 11 แทนจำเลยที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะ กับการที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ได้หรือไม่ ล้วนเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลสูงย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
ในการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์โอนหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 11 ให้แก่จำเลยที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 10 โดยเจตนาลวง ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 10 ถือหุ้นของบริษัทจำเลยที่ 11 แทนจำเลยที่ 1 โดยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตกเป็นโมฆะ กับการที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาบังคับให้เป็นไปตามคำฟ้องของโจทก์ได้หรือไม่ ล้วนเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลสูงย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3072/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมหมั้นและการคืนสินสอด: สัญญาที่ทำขึ้นภายหลังยังผูกพันได้
ในขณะที่ อ. ทำการหมั้นกับ บ. นั้น บ. อายุยังไม่ครบ 17 ปี บริบูรณ์ โดยมีอายุเพียง 15 ปีเศษ การหมั้นดังกล่าวจึงฝ่าฝืนบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1435 วรรคหนึ่ง ย่อมตกเป็นโมฆะตามมาตรา 1435 วรรคสอง นอกจากนี้มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าจะต้องคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรม ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าโจทก์ทราบว่า บ. อายุไม่ครบ 17 ปี จำเลยและ บ. จึงต้องคืนของหมั้นและสินสอดให้แก่โจทก์ตามมาตรา 412 และ 413 โดยจะถือว่าโจทก์ชำระหนี้ตามอำเภอใจตามมาตรา 407 หาได้ไม่ ดังนั้น การที่โจทก์จำเลยซึ่งเป็นบิดาและมารดาของ อ. และ บ. ทำบันทึกข้อตกลงภายหลังที่ อ. กับ บ. เลิกการอยู่กินเป็นสามีภริยากันว่าจำเลยตกลงจะคืนสินสอดและของหมั้นแก่โจทก์ จึงมีมูลหนี้และใช้บังคับได้ หาได้ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมซื้อขายที่ดินจากการสมคบกันจดทะเบียนโอนโดยไม่สุจริต และอายุความการฟ้องเพิกถอน
จำเลยที่ 1 ตกลงขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองโดยได้มีการส่งมอบที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งสองเข้าซ่อมแซมครอบครองตลอดมา อันเป็นการชำระหนี้บางส่วน ข้อตกลงจะซื้อจะขายที่ดินและบ้านพิพาทจึงมีผลผูกพันบังคับต่อกันได้แล้ว
จำเลยทั้งสองสมคบกันจดทะเบียนโอนซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่มีการชำระเงินกันจริง จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่แท้จริง การแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองในทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 ก็ได้ โจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนเมื่อใดก็ได้ ฟ้องโจทก์ทั้งสองมิใช่การฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 240
จำเลยทั้งสองสมคบกันจดทะเบียนโอนซื้อขายที่ดินพิพาทโดยไม่สุจริตและไม่มีการชำระเงินกันจริง จำเลยที่ 2 ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทที่แท้จริง การแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองในทางทะเบียนเกี่ยวกับที่ดินพิพาท จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กันเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 155 วรรคหนึ่ง และผู้มีส่วนได้เสียคนหนึ่งคนใดจะยกความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 ก็ได้ โจทก์ทั้งสองชอบที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนเมื่อใดก็ได้ ฟ้องโจทก์ทั้งสองมิใช่การฟ้องขอเพิกถอนการฉ้อฉลตาม ป.พ.พ. มาตรา 237 ไม่อยู่ในบังคับที่จะต้องฟ้องภายใน 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 240
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2482/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินโดยมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายที่ดิน และสิทธิในการเรียกร้องความเสียหายจากโมฆะกรรม
การที่โจทก์ตกลงยอมยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยโดยจำเลยชำระหนี้ให้แก่บุคคลภายนอกแทนโจทก์มีผลเท่ากับโจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่ผู้อื่นตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายที่ดินมาตรา31แล้วข้อตกลงดังกล่าวจึงเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายย่อมตกเป็นโมฆะไม่มีผลบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113(มาตรา150ที่แก้ไขใหม่)และเมื่อสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยตกเป็นโมฆะโจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียย่อมมีสิทธิยกเอาความเสียเปล่าแห่งโมฆะกรรมขึ้นกล่าวอ้างได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา172วรรคแรกที่แก้ไขใหม่การที่โจทก์มาฟ้องคดีจึงไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8429/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมฉ้อฉล การคืนทรัพย์สิน และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย
การขอใบสำคัญเพื่อแสดงว่าคำพิพากษาในคดีใดได้ถึงที่สุดแล้วต้องเป็นกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วโดยไม่มีการ อุทธรณ์หรือฎีกากันอีกทั้งคดี แม้โจทก์จำเลยจะมิได้โต้แย้ง คัดค้านคำพิพากษาในส่วนที่ให้เพิกถอนสัญญาขายที่ดินและรายการจดทะเบียนที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยก็ตามแต่การที่โจทก์ยังคงอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นในประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับค่าเสียหายและดอกเบี้ยต่อมา ไม่อาจทำให้คดี เสร็จไปทั้งเรื่องจึงถือไม่ได้ว่าคดีได้ถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะยื่นคำขอให้ศาลชั้นต้นออกใบสำคัญแสดงว่าคำพิพากษานั้นได้ถึงที่สุดแล้วไม่ได้ ในการคืนทรัพย์สินอันเกิดจากโมฆะกรรมซึ่งเป็นเงินจำนวนหนึ่งไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติให้ต้องคืนพร้อมดอกเบี้ย ศาลจึงพิพากษาให้โจทก์ชำระดอกเบี้ยในจำนวนเงินค่าที่ดินที่โจทก์จะต้องคืนแก่จำเลยด้วยไม่ได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมอันเกิดจากกลฉ้อฉลของจำเลยมิได้ฟ้องบังคับให้จำเลยชำระหนี้หรือใช้สิทธิเลิกสัญญาอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้อีกส่วนหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 213 วรรคท้าย และมาตรา 391 วรรคท้าย เมื่อนิติกรรมเป็นโมฆียะ และโจทก์ได้บอกล้างแล้วถือได้ว่า ตกเป็นโมฆะมาแต่เริ่มแรก ซึ่งมีผลเสมือนหนึ่งว่ามิได้ ทำนิติกรรมต่อกันมาแต่ต้น และทำให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 138 วรรคท้าย เดิม ทั้งบทบัญญัติดังกล่าวนี้กำหนดให้มีการได้รับค่าเสียหายชดใช้แทนก็แต่เฉพาะกรณีที่การจะให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมเป็นการพ้นวิสัยเท่านั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2749/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโดยมีเจตนาลวงและผลกระทบต่อบุคคลภายนอกที่ไม่สุจริต
โจทก์มิได้มีเจตนาจะโอนขายที่ดินพิพาทให้ส.แต่ได้ทำพินัยกรรมขายเพียงเพื่อให้ส. นำไปเป็นหลักทรัพย์ประกันเงินกู้ของธนาคารเท่านั้นนิติกรรมขายระหว่างโจทก์และส.จึงเป็นการแสดงเจตนาลวงจำเลยที่1ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของส. ทราบถึงการแสดงเจตนาลวงระหว่างโจทก์กับส. การที่จำเลยที่2ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่1โดยจำเลยที่2ทราบว่าโจทก์ไม่ได้โอนขายที่ดินพิพาทให้ส. และยอมให้โจทก์ไถ่ถอนจำเลยที่2จึงไม่ใช่บุคคลภายนอกผู้ทำการโดยสุจริตโจทก์อ้างโมฆะกรรมต่อสู้จำเลยที่2ได้ ท. ได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ตลอดมาเพิ่งมาบอกโจทก์ว่าจะไม่ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์โดยครอบครองแทนจำเลยที่2ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1381เมื่อวันที่21กันยายน2533โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่15กรกฎาคม2534จึงเป็นการฟ้องภายใน1ปีนับแต่จำเลยที่2แย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมจำนองที่ดินมรดก: ทายาทมีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้
จำเลยที่ 1 เป็นสามีของนาง บ. ได้ซื้อที่ดินพิพาทในคดีนี้มาในระหว่างที่จำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากับนาง บ. เมื่อจำเลยที่ 1ไม่มีหนังสือสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับนาง บ. ที่ทำไว้เป็นพิเศษก่อนสมรสอันจะให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 มาแสดงจึงต้องสันนิษฐานว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนาง บ. เมื่อนาง บ. ถึงแก่กรรม ที่ดินพิพาทแบ่งส่วนสินสมรสของจำเลยที่ 1 ออกแล้ว ส่วนของนาง บ. ย่อมเป็นกองมรดกตกได้แก่ทายาท โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมของนาง บ. กำลังฟ้องจำเลยที่ 1 ขอแบ่งทรัพย์มรดกของนาง บ. ซึ่งมีที่ดิน พิพาทแปลงนี้รวมอยู่ด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 เอาที่ดินพิพาทดังกล่าวไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 ในขณะที่กำลังพิพาทเป็นความเรื่องมรดกกับโจทก์อยู่โดยการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 อันเป็นโมฆะกรรม เช่นนี้โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียก็ย่อมจะกล่าวอ้างขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 โดยฟ้องขอให้เพิกถอนโมฆะกรรมนี้เสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3405/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมจำนองที่ดินมรดก: ทายาทมีสิทธิฟ้องเพิกถอนได้
จำเลยที่ 1 เป็นสามีของนาง บ. ได้ซื้อที่ดินพิพาทในคดีนี้มาในระหว่างที่จำเลยที่ 1 อยู่กินเป็นสามีภริยากับนาง บ. เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่มีหนังสือสัญญาระหว่างจำเลยที่ 1 กับนาง บ. ที่ทำไว้เป็นพิเศษก่อนสมรสอันจะให้เห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 มาแสดงจึงต้องสันนิษฐานว่าที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนาง บ. เมื่อนาง บ. ถึงแก่กรรมที่ดินพิพาทแบ่งส่วนสินสมรสของจำเลยที่ 1 ออกแล้ว ส่วนของนาง บ. ย่อมเป็นกองมรดกตกได้แก่ทายาท โจทก์เป็นทายาทโดยธรรมและเป็นทายาทผู้รับพินัยกรรมของนาง บ. กำลังฟ้องจำเลยที่ 1 ขอแบ่งทรัพย์มรดกของนาง บ. ซึ่งมีที่ดินพิพาทแปลงนี้รวมอยู่ด้วย จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท เมื่อจำเลยที่ 1 เอาที่ดินพิพาทดังกล่าวไปจำนองไว้กับจำเลยที่ 2 ในขณะที่กำลังพิพาทเป็นความเรื่องมรดกกับโจทก์อยู่โดยการแสดงเจตนาลวงด้วยสมรู้กับจำเลยที่ 2 อันเป็นโมฆะกรรม เช่นนี้ โจทก์ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียก็ย่อมจะกล่าวอ้างขึ้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 133 โดยฟ้องขอให้เพิกถอนโมฆะกรรมนี้เสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1053/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิจากการโอนทรัพย์สิน โมฆะกรรม และการแสดงเจตนาลวง
(1) ข้อต่อสู้ของจำเลยกับสิทธิของจำเลยนั้นเป็นคนละเรื่อง ด้วยเหตุนี้เอง แม้ในคดีเรื่องหนึ่งจำเลยจะได้เคยต่อสู้ คืออ้างว่าหนังสือสัญญาปลอม แต่ต่อมาคดีนั้นถึงที่สุด โดยศาลฟังว่าหนังสือสัญญานั้นไม่ปลอม และหนังสือสัญญาที่ว่านี้ได้ทำให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้กรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์เพราะจำเลยได้รับรองกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์นั้นไว้ในหนังสือสัญญาดังกล่าวแล้วด้วยเช่นนี้ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิตามที่บุคคลนั้นทำให้ไว้แก่จำเลยด้วยเช่นเดียวกัน ฉะนั้น เมื่อจำเลยเสียหายในการที่บุคคลนั้นโอนขายอสังหาริมทรัพย์ที่กล่าวไปโดยสมยอมกับผู้ซื้อ จำเลยก็ย่อมมีสิทธิอ้างความเป็นโมฆะอันเกิดจากการซื้อขายในการสมยอมนั้นขึ้นต่อสู้คดีได้ (2) การแสดงเจตนาด้วยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งย่อมมีได้ในสัญญาทุกชนิด อันการทำกรมธรรม์สัญญาด้วยเจตนาลวง แม้จะทำที่อำเภอก็เป็นโมฆะ และไม่จำต้องขอให้เพิกถอน เพราะไม่เป็นนิติกรรมเสียแล้ว ผลก็เท่ากับไม่ได้ทำอะไรเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 818/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆะกรรมสัญญาซื้อขายที่ดิน - การกลับคืนสู่ฐานะเดิม - กรรมสิทธิ - การครอบครอง
เรื่องโมฆะกรรมที่คู่กรณีได้กลับคืนยังฐานะเดิมนั้น ก.ม.บัญญัติไว้ฉะเพาะกรณีที่เป็นโมฆียะกรรมแล้ว ถูกบอกล้างตาม ป.พ.พ.มาตรา 136 ส่วนนิติกรรมที่เป็นโมฆะมาแต่แรกนั้น หาได้บัญญัติถึงการกลับคืนฐานะเดิมไม่ เพราะเมื่อเป็นการเสียเปล่ามาแต่ต้นแล้ว ฐานะนของคู่กรณีก็มิได้เคยมีการเปลี่ยนแปลงเลย
ที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของอยู่ ผู้อื่นไปขอใบเหยียบย่ำได้มาเท่านั้น หาทำให้เกิดกรรมสิทธิในที่ดินไม่
ที่พิพาทเป็นที่บ้าน แม้ภายหลังรื้อเรือลง ก็หาทำให้สภาพของที่เปลี่ยนไปไม่
ซื้อขายที่ดินโดยมิได้จดทะเบียน สัญญาเป็นโมฆะ ผู้ขายฟ้องเรียกที่ดินคืนได้ ถ้าผู้ซื้อไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้ผู้ขายคืนราคาที่รับไป ศาลก็ไม่พิพากษาให้ผู้ขายคืนเงิน
ที่ดินยังเป็นกรรมสิทธิของเจ้าของอยู่ ผู้อื่นไปขอใบเหยียบย่ำได้มาเท่านั้น หาทำให้เกิดกรรมสิทธิในที่ดินไม่
ที่พิพาทเป็นที่บ้าน แม้ภายหลังรื้อเรือลง ก็หาทำให้สภาพของที่เปลี่ยนไปไม่
ซื้อขายที่ดินโดยมิได้จดทะเบียน สัญญาเป็นโมฆะ ผู้ขายฟ้องเรียกที่ดินคืนได้ ถ้าผู้ซื้อไม่ได้ฟ้องแย้งขอให้ผู้ขายคืนราคาที่รับไป ศาลก็ไม่พิพากษาให้ผู้ขายคืนเงิน