พบผลลัพธ์ทั้งหมด 14 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2547
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องหย่าซ้ำ: เหตุหย่าที่ยังไม่ถึงที่สุดในคดีก่อน ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สำหรับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีนั้น แม้โจทก์จะกล่าวมาในฟ้องและจำเลยให้การปฏิเสธ อันเป็นประเด็นแห่งคดี แต่ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นเกี่ยวกับการหย่าไว้เพียงว่า จำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยากันอย่างร้ายแรงอันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าหรือไม่แต่เพียงประการเดียวเท่านั้น โดยโจทก์จำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ถือได้ว่าโจทก์จำเลยต่างสละสิทธิไม่ติดใจในประเด็นเกี่ยวกับเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยแยกกันอยู่อีกต่อไป ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นดังกล่าว ย่อมเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นเป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ฎีกาของจำเลยในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ดังนี้จึงถือไม่ได้ว่าในคดีดังกล่าวได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดในประเด็นของเหตุหย่าที่ว่าโจทก์จำเลยสมัครใจแยกกันอยู่เกินกว่า 3 ปีหรือไม่ โจทก์จึงนำเอาเหตุหย่าเพราะสมัครใจแยกกันอยู่เกิน 3 ปี มาฟ้องหย่าจำเลยเป็นคดีนี้ได้อีก ฟ้องคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1404/2547 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนับโทษคดีอาญาต่อเนื่อง: นับโทษต่อได้แม้คดีก่อนยังไม่ถึงที่สุด
คดีอาญาเรื่องก่อนยังอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษาเปลี่ยนแปลง โดยพิพากษาแก้หรือกลับผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วจำเลยยังคงต้องถูกบังคับตามโทษของศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลชั้นต้นชอบที่จะนับโทษจำคุกของจำเลยในคดีนี้ต่อจากโทษคดีอาญาเรื่องก่อนของศาลชั้นต้นต่อไปจนกว่าผลของคำพิพากษาอันถึงที่สุดของศาลนั้นๆ จะเปลี่ยนแปลงไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1183/2545
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษามีสิทธิขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ แม้คำพิพากษาไม่ถึงที่สุด
เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มีสิทธิยื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้โดยไม่จำต้องรอให้คำพิพากษานั้นถึงที่สุด
การอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลล้มละลายกลางในเรื่องขอรับชำระหนี้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงฉบับละ 25 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179(2) ประกอบด้วยมาตรา 90/2 วรรคสอง
การอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งศาลล้มละลายกลางในเรื่องขอรับชำระหนี้ต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียงฉบับละ 25 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 179(2) ประกอบด้วยมาตรา 90/2 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2209/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุก: คำพิพากษาไม่ถึงที่สุด ไม่ถือเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมาย
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา47กำหนดภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายได้แก่เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัวบทบัญญัติดังกล่าวแยกผู้ที่ถูกจำคุกออกเป็น2กรณีต่างหากจากกันคือถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลกรณีหนึ่งและถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายอีกกรณีหนึ่งหาใช่เป็นกรณีเดียวกันไม่เมื่อปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขอฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรีจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี แต่คำพิพากษาดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุดดังนี้จะถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา47ไม่ได้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดกบินทร์บุรี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2207/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุก: คำพิพากษาไม่ถึงที่สุด ไม่ถือเป็นภูมิลำเนาที่เรือนจำ
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ได้แยกผู้ที่ถูกจำคุกออกเป็น 2 กรณีต่างหากจากกัน กล่าวคือถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลเป็นกรณีหนึ่ง และถูกจำคุกตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายเป็นอีกกรณีหนึ่ง หาใช่เป็นกรณีเดียวกันไม่ เมื่อปรากฎว่าในขณะที่โจทก์ยื่นคำร้องขออนุญาตฟ้องคดีต่อศาลชั้นต้นคือศาลจังหวัดกบินทร์บุรีนั้น จำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าว แต่คำพิพากษาดังกล่าวยังไม่ถึงที่สุด ดังนี้ จะถือว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่เรือนจำอำเภอกบินทร์บุรี ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้นดังกล่าวไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7057/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำวินิจฉัย คชก. ไม่ถึงที่สุด โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับตามคำวินิจฉัย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ขาดนัดพิจารณาและให้สืบพยานโจทก์ทั้งสองไปฝ่ายเดียว ซึ่งทำให้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้ามาสืบ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 205 วรรคหนึ่ง ศาลจะวินิจฉัยให้คู่ความฝ่ายที่มาศาลชนะคดีได้ต่อเมื่อข้ออ้างของคู่ความฝ่ายนั้นมีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมายคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับตามคำวินิจฉัยอันถึงที่สุดของ คชก.ตำบล ตามพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 58 วรรคหนึ่ง จำเลยที่ 3ที่ 4 ให้การต่อสู้ว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวจำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ต้องปฏิบัติตามเพราะอยู่ระหว่างการพิจารณาของ คชก.จังหวัด เท่ากับต่อสู้ว่าคำวินิจฉัย คชก.ตำบลยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 57 วรรคสองประกอบมาตรา 56 วรรคสอง คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลที่อุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัดเช่นนี้จะถึงที่สุดต่อเมื่อ คชก.จังหวัดวินิจฉัยแล้ว และคู่กรณีหรือผู้มีส่วนได้เสียในการเช่านาที่ไม่พอใจคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด มิได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัดภายในสามสิบวันนับแต่วันทราบคำวินิจฉัยของ คชก.จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่ คชก.จังหวัดมีคำวินิจฉัย โจทก์จึงมีภาระพิสูจน์ว่าคำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลถึงที่สุดแล้ว ซึ่งข้อที่ว่าโจทก์ทั้งสองนำสืบได้หรือไม่ ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยไปเสียทีเดียว เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้เพียงว่า จำเลยที่ 3ที่ 4 ทำหนังสืออุทธรณ์ต่อ คชก.จังหวัด แต่ คชก.จังหวัดประชุมแล้วมีมติเห็นว่าผู้อุทธรณ์ไม่ได้ยื่นอุทธรณ์ผ่าน คชก.ตำบล และเห็นควรพิจารณาอุทธรณ์รายอื่นต่อไปจึงไม่อาจฟังได้ว่า คชก.จังหวัดได้วินิจฉัยไปในทางหนึ่งทางใดและแจ้งให้แก่ผู้อุทธรณ์ทราบ เพื่อผู้อุทธรณ์จะได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาล ถ้าไม่พอใจคำวินิจฉัยดังกล่าว ตามพ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯ มาตรา 57 วรรคหนึ่ง โจทก์ทั้งสองจึงนำสืบไม่ได้ว่า คำวินิจฉัยของ คชก.ตำบลถึงที่สุดแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้บังคับตามคำวินิจฉัยดังกล่าวได้ตาม พ.ร.บ.การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ฯมาตรา 58 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยที่ 3 ที่ 4 ไม่ได้ให้การต่อสู้ในเรื่องอำนาจฟ้องโดยชัดแจ้ง แต่ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยที่ 3 ที่ 4 ย่อมฎีกาได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6565/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา: ศาลฎีกาไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีอาญา หากคดีอาญาไม่ถึงที่สุด
ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2805/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการนำข้อเท็จจริงจากคดีอาญามาใช้ในคดีแพ่ง: คดีอาญาไม่ถึงที่สุด
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และผู้ร้องเป็นคดีอาญาข้อหาโกงเจ้าหนี้คดีดังกล่าวศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อคดีนั้นยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล-อุทธรณ์ ยังไม่ถึงที่สุด จึงฟังข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าวมาผูกมัดในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งนี้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1429/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้อน: การฟ้องคดีซ้ำในขณะที่คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด แม้ถอนฟ้องคดีเดิมแล้ว ก็ไม่ทำให้ฟ้องใหม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำสั่งศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องในคดีก่อนยังไม่ถึงที่สุดโดยจำเลยที่ 16 ถึงที่ 20 อุทธรณ์คำสั่งต่อศาลอุทธรณ์ ต้องถือว่าคดีก่อนยังคงอยู่ในระหว่างการพิจารณา การที่โจทก์นำมูลหนี้รายเดียวกันมาฟ้องจำเลยที่ 8 ถึงที่ 20 เป็นคดีนี้อีกจึงเป็นการฟ้องซ้อนกับคดีก่อน ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) แม้ต่อมาศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาจะอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องและคดีก่อนถึงที่สุด ก็ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์คดีนี้ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายมาแต่ต้น กลายเป็นฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2861/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องของผู้จัดการมรดก: คำสั่งศาลที่ยังไม่ถึงที่สุด ไม่กระทบสิทธิฟ้องในคดีอื่น
โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกฟ้องขับไล่จำเลยออกไปจากอาคารพิพาทศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ระหว่างพิจารณาคดีนี้ในศาลชั้นต้นศาลได้มีคำสั่งในคดีตั้งผู้จัดการมรดกให้เพิกถอนโจทก์ทั้งสองจากการเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย แต่คดียังไม่ถึงที่สุด เพราะโจทก์อุทธรณ์คำสั่งในคดีดังกล่าวอยู่ แม้จำเลยจะเป็นผู้ร้องขอให้ถอน โจทก์ออกจากการเป็นผู้จัดการมรดกในคดีนั้นก็ตาม แต่ก็เป็นคู่ความคนละคดีกัน จำเลยจึงไม่อาจยกขึ้นอ้างอิงในคดีนี้ได้ เพราะคำพิพากษาเกี่ยวด้วยฐานะหรือความสามารถของบุคคล จะยกขึ้นใช้อ้างอิงหรือใช้ยันแก่บุคคลภายนอกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาแพ่ง มาตรา145(1) ก็ต่อเมื่อเป็นคำพิพากษาหรือคำสั่งที่ถึงที่สุดแล้วเท่านั้นเมื่อคดีดังกล่าวอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องอุทธรณ์คดีนี้.