พบผลลัพธ์ทั้งหมด 28 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2686/2548 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งไม่ชอบ ศาลไม่รับพิจารณา เหตุไม่เกี่ยวข้องกับข้อหาเดิมในคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพร้อมตึกแถว จำเลยเข้ามาอยู่อาศัยในตึกแถวโดยโจทก์ไม่ได้อนุญาต เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ขอให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าโจทก์กับผู้มีชื่อได้ร่วมกันข่มขู่ให้จำเลยออกจากที่ดินและให้นำเงินไปชำระแก่โจทก์ โจทก์นำคดีนี้มาฟ้องเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลในคดีที่โจทก์กับ ป. ถูก ส. ยื่นฟ้องเป็นจำเลยและศาลมีคำสั่งห้ามชั่วคราวมิให้โจทก์โอนหุ้นรวมทั้งห้ามทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในคดีนี้ซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของ จ. การกระทำของโจทก์เป็นการละเมิดและรอนสิทธิการเช่าของจำเลย ทำให้จำเลยไม่สามารถครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินรวมทั้งต้องว่าจ้างทนายความมาดำเนินการแก้ต่าง ขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยเป็นเรื่องที่จำเลยกล่าวหาว่าโจทก์กระทำละเมิดอันเป็นเรื่องอื่นซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมไม่อาจรวมพิจารณาชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบมาตรา 179 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6757/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดเพื่อเรียกร้องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างโจทก์และจำเลย จึงไม่มีสิทธิร้องสอด
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ เนื่องจากจำเลยผิดสัญญาเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งขอให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ประการหนึ่งว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แต่จำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยกล่าวอ้างเป็นของจำเลยหรือบุคคลอื่นใด คำร้องของผู้ร้องสอดอ้างเพียงว่า ผู้ร้องสอดครอบครองที่ดินพิพาทบางส่วน โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทบางส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ครอบครอง ดังนี้ ผู้ร้องสอดมิได้กล่าวอ้างเลยว่า ผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับจำเลยแต่อย่างใด ข้ออ้างของผู้ร้องสอดดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ผู้ร้องสอดมีสิทธิในที่ดินพิพาทอยู่เพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้น หากศาลพิพากษาขับไล่จำเลยย่อมไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดีนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ คำร้องขอผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิร้องเข้ามาเป็นคู่ความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6757/2540
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร้องสอดของบุคคลที่อ้างกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ไม่เกี่ยวข้องกับคดีระหว่างโจทก์-จำเลยเรื่องสัญญาเช่า
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทของโจทก์ เนื่องจากจำเลยผิดสัญญาเช่าและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้ว ทั้งขอให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างและค่าเสียหายแม้จำเลยจะให้การต่อสู้ไว้ประการหนึ่งว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินพิพาท แต่จำเลยก็ไม่ได้ต่อสู้เรื่องกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยกล่าวอ้างเป็นของจำเลยหรือบุคคลอื่นใด คำร้องของผู้ร้องสอดอ้างเพียงว่า ผู้ร้องสอดครอบครองที่ดินพิพาทบางส่วน โดยความสงบและเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปีแล้วจึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทบางส่วนดังกล่าวโดยการครอบครองปรปักษ์ ขอให้ศาลพิพากษาว่าผู้ร้องสอดเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทที่ครอบครอง ดังนี้ ผู้ร้องสอดมิได้กล่าวอ้างเลยว่า ผู้ร้องสอดมีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียกับจำเลยแต่อย่างใด ข้ออ้างของผู้ร้องสอดดังกล่าวเป็นกรณีที่ผู้ร้องสอดตั้งข้อพิพาทโต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทกับโจทก์ทั้งสิ้นไม่เกี่ยวกับคดีนี้ ผู้ร้องสอดมีสิทธิในที่ดินพิพาทอยู่เพียงใดคงมีอยู่อย่างนั้น หากศาลพิพากษาขับไล่จำเลยย่อมไม่มีผลกระทบกระเทือนถึงสิทธิของผู้ร้องสอด ผู้ร้องสอดไม่ใช่ผู้มีส่วนได้เสียในมูลแห่งคดีนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องร้องสอดเข้ามาเพื่อยังให้ได้รับความรับรอง คุ้มครองหรือบังคับตามสิทธิที่มีอยู่ คำร้องขอผู้ร้องสอดไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 57(1) ผู้ร้องสอดจึงไม่มีสิทธิร้องเข้ามาเป็นคู่ความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1934/2540 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง: การฟ้องจำเลยที่ไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำที่พิพาท และจำเลยที่ทำหน้าที่ตามกฎหมายปกติ
สำนักงานราชพัสดุจังหวัดราชบุรีจำเลยที่ 1 เป็นเพียงส่วนราชการจังหวัดราชบุรี สังกัดกรมธนารักษ์ ไม่มีฐานะเป็นนิติบุคคลไม่อาจถูกฟ้องได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ดำรงตำแหน่งราชพัสดุจังหวัดราชบุรี มีอำนาจหน้าที่ดูแลกิจการเกี่ยวกับที่ราชพัสดุแทนกระทรวงการคลัง ไม่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการออกโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)จะทับโฉนดที่ดินของโจทก์หรือไม่ จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งการที่จำเลยที่ 2 ไม่ไประวังชี้แนวเขตหรือไม่ลงลายมือชื่อรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ก็มิใช่การกระทำที่โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่ง และการที่จำเลยที่ 3 ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้ระงับการรับรองแนวเขตที่ดินของโจทก์ไว้ก่อนเป็นการสั่งในการปฏิบัติราชการตามหน้าที่ระหว่างจำเลยที่ 3ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด โดยมิได้โต้แย้งสิทธิหรือหน้าที่ของโจทก์ตามกฎหมายแพ่งแต่อย่างใด ทั้งในคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าที่จำเลยที่ 3 สั่งเช่นนั้นเพื่อจะกลั่นแกล้งโจทก์หรือสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9156/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับฟ้องเดิม ศาลไม่รับฟ้องแย้งตามมาตรา 177 วรรคสาม
ฟ้องแย้งของจำเลยส่วนหนึ่งมีคำขอบังคับบุคคลภายนอกมิใช่ฟ้องแย้งโจทก์ซึ่งเป็นคู่ความในคดี ส่วนฟ้องแย้งอีกส่วนหนึ่งก็จำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงที่จำเลยฟ้องแย้งบุคคลภายนอกนั้น ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมพอที่จะรวมพิจารณาและชี้ขาดตัดสินเข้าด้วยกันได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7188/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตฟ้องแย้ง: เงินยืมทดรองจ่าย, เงินยืมจากลูกค้า, ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ไม่เกี่ยวข้องกับมูลหนี้เดิม
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินค่าจ้างก่อสร้างบ้านกับวัสดุพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยยื่นคำให้การและฟ้องแย้งให้โจทก์ชำระเงินหลายรายการ สำหรับเงินที่โจทก์เบิกล่วงหน้าเป็นเงินยืมทดรองจ่ายคนละสัญญาตามคำฟ้อง จึงไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม ส่วนเงินยืมจากลูกค้าของจำเลยเป็นเรื่องที่ลูกค้าต้องติดตามทวงถามจากโจทก์เอง จำเลยไม่มีสิทธินำมาหักทอนกับเงินค่าจ้างตามฟ้องได้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิม ส่วนเงินค่าตอกเสาเข็มใหม่และเงินค่าโฆษณาซึ่งเกิดจากการกระทำของโจทก์เป็นเงินที่ไม่เกี่ยวกับมูลหนี้ตามสัญญาในคำฟ้อง จำเลยชอบจะฟ้องร้องต่างหาก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3098/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความที่ไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นคดี ไม่ถือเป็นข้อสำคัญ แม้จะเป็นความเท็จ
ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ช.16090/2538ของศาลชั้นต้นจำเลยฟ้องว่าโจทก์ออกเช็คจำนวนเงิน50,000บาทนำมาแลกเงินสดจากจำเลยต่อมาธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินการกระทำของโจทก์เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็คพ.ศ.2497มาตรา4ซึ่งประเด็นข้อสำคัญในคดีมีว่าโจทก์ออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คนั้นโดยทุจริตหรือไม่การที่จำเลยเบิกความในคดีดังกล่าวว่าโจทก์นำเช็คจำนวนเงิน200,000บาทมาแลกเงินสดไปจากจำเลยจำเลยได้จ่ายเงินสด6,000บาทจ่ายเป็นเช็ค144,000บาทและเป็นแคชเชียร์เช็ค50,000บาทจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแลกเงินสดตามเช็คอีกฉบับหนึ่งซึ่งไม่เกี่ยวกับเช็คฉบับที่จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งไม่เกี่ยวกับประเด็นแห่งคดีดังนั้นแม้จำเลยเบิกความว่า"ข้าพเจ้าจ่ายเป็นเงินสด6,000บาท"จะเป็นความเท็จก็มิใช่ข้อสำคัญในคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำฟ้องเดิมและขอบเขตการพิจารณาของศาล
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกจากที่ดินแปลงหมายเลข337 ซึ่งโจทก์เช่ามาจากโจทก์ร่วม จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งว่า อาคารที่จำเลยทั้งสองครอบครองอยู่ปลูกอยู่บนที่ดินแปลงหมายเลข 338 ซึ่งเป็นที่ดินคนละแปลงกัน จึงเป็นฟ้องแย้งที่ไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6920/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคุ้มครองประโยชน์ระหว่างพิจารณาคดีหุ้น: เงินปันผลไม่เกี่ยวข้องกับผลคดี
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองซื้อหุ้นของโจทก์โดยไม่ชอบ ขอให้จำเลยทั้งสองคืนหุ้นและใบหุ้นที่ซื้อไว้โดยไม่ชอบ ให้ตัดสิทธิจองซื้อหุ้นใหม่โดยอาศัยหุ้นดังกล่าวและรับเงินค่าหุ้นนั้นคืนไปจากโจทก์ จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าซื้อหุ้นไว้โดยชอบโดยมิได้ฟ้องแย้งเรียกเงินปันผลของหุ้น ดังนี้ คำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของจำเลยทั้งสองโดยขอให้โจทก์นำเงินปันผลของหุ้นดังกล่าวมาชำระให้แก่จำเลยทั้งสองพร้อมดอกเบี้ย จึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 264
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2737/2535
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัย: โจทก์ฎีกาไม่ตรงประเด็นข้อพิพาทที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และอ้างคำสั่งศาลเดิมที่ไม่เกี่ยวข้อง
ประเด็นข้อพิพาทว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทหรือไม่ ในชั้นอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า ที่โจทก์กล่าวอ้างว่า ร.บิดาโจทก์ยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ และ ร.ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทแทนโจทก์นั้น ไม่มีพยานสนับสนุน เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ คงได้ความจากพยานจำเลยว่าระหว่างที่ ร.ป่วย ร.บอกให้จำเลยสร้างห้องน้ำ ปลูกต้นไม้สร้างเล้าเป็ดเล้าไก่ในที่ดินพิพาท โดยโจทก์ไม่ทักท้วง แสดงว่าโจทก์ยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ร.การที่โจทก์ปลูกบ้านในที่ดินพิพาทและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเป็นการอาศัยสิทธิของ ร.เท่านั้น โจทก์ยึดถือครอบครองต่อมาถือว่าครอบครองแทนทายาท โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองในที่ดินพิพาท หากโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาดังกล่าว โจทก์ก็ต้องฎีกาคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยพยานหลักฐานของโจทก์ว่าเบิกความลอย ๆ ไม่มีพยานสนับสนุน และที่เชื่อพยานหลักฐานของจำเลยนั้นไม่ถูกต้องอย่างไร แต่โจทก์กลับฎีกาว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอลงชื่อเป็นเจ้าของในหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินพิพาทและขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ร.ศาลมีคำสั่งอนุญาตตามคำร้องและตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ ร. คดีถึงที่สุดผูกพันทายาทของ ร.และจำเลย โจทก์ได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาททั้งหมด ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ว่าไม่ชอบหรือผิดพลาดอย่างไร ส่วนที่ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษานอกฟ้องนอกสำนวน ก็ไม่กล่าวว่านอกฟ้องนอกสำนวนอย่างไร จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย