พบผลลัพธ์ทั้งหมด 214 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2532 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำพิพากษาถึงที่สุดเป็นอุปสรรคในการต่อสู้คดีล้มละลาย ห้ามมิให้รื้อฟื้นข้อต่อสู้เดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง จำเลยจะอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2532 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งต่อการฟ้องล้มละลาย จำเลยไม่อาจยกเหตุต่อสู้เดิมได้
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง จำเลยจะอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3179/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีแพ่งต่อคดีล้มละลาย: จำเลยถูกปิดปากมิให้โต้แย้งหนี้เดิม
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาค้ำประกันและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว เมื่อโจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษานั้นมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จึงต้องฟังว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์อยู่ตามฟ้องจริง จำเลยจะอ้างเหตุผลอันเป็นข้อต่อสู้เดิมในคดีก่อนขึ้นมาคัดค้านเพื่อขอให้ศาลรื้อฟื้นปัญหาเรื่องความรับผิดของจำเลยดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยอีกไม่ได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 695/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างหลังมีคำพิพากษาถึงที่สุดเรื่องกรรมสิทธิ์ร่วมและการครอบครองที่ดิน
ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีถึงที่สุดว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินพิพาท และต่างครอบครองเป็นส่วนสัดโดยส่วนของโจทก์ครอบครองเฉพาะบริเวณบ้านที่โจทก์ได้ครอบครองมาแต่เดิมเท่านั้น คำพิพากษาที่ถึงที่สุดดังกล่าวย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 เมื่อโจทก์ต่อเติมตึกแถวของโจทก์ที่ครอบครองมาแต่เดิม โดยขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จำเลยชอบที่จะร้องขอให้ศาลบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3873/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: ประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้ผู้รับโอนสิทธิใหม่ ก็ถือเป็นฟ้องซ้ำ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ส. และพวกยกกรรมสิทธิ์ที่ดินมีโฉนดเนื้อที่79 ตารางวา ให้แก่โจทก์ ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ตั้งแต่วันทำสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ได้แสดงเจตนารับประโยชน์ตามสัญญาและครอบครองตลอดมาเกินกว่า10 ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ต่อมาโจทก์มาฟ้องจำเลยในคดีนี้อีกโดยอาศัยเหตุว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงเดียวกันกับคดีเดิมซึ่งมีเนื้อที่ดินทั้งหมด 114.4 ตารางวา โจทก์ฟ้องเรียกในคดีเดิม 79 ตารางวายังขาดอีก 35.4 ตารางวา จำเลยที่ 1 โอนที่ดินส่วนของโจทก์ดังกล่าวให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งเจ็ดดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินให้แก่โจทก์ ดังนี้ประเด็นสำคัญในคดีก่อนกับคดีนี้คือที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือไม่มีจำนวนเท่าใด คดีก่อนศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยสัญญาประนีประนอมยอมความและการครอบครองปรปักษ์จนโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินคดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์จะกลับมารื้อร้องฟ้องจำเลยที่ 1ถึงที่ 7 ในคดีนี้ในประเด็นที่ศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันอีกไม่ได้ แม้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 7 จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ก็เป็นผู้สืบสิทธิมาจากจำเลยที่ 1 ถือได้ว่าเป็นคู่ความเดียวกับคดีนี้ จึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อนต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193-194/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขโทษจำคุกที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดหลังคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลไม่อาจแก้ไขได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 50 ปี คดีถึงที่สุดแล้ว และไม่ปรากฏว่ามีการเขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด จำเลยจะร้องขอให้แก้ไขคำพิพากษานั้นหาได้ไม่.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1820/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันของคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีล้มละลาย และการสันนิษฐานเรื่องหนี้สินล้นพ้นตัว
คำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วในคดีแพ่งย่อมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 แม้จำเลยจะถูกฟ้องล้มละลาย จำเลยก็จะต่อสู้ว่าคำพิพากษาดังกล่าวไม่ถูกต้องไม่ได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ต่อมาจำเลยทราบคำบังคับและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีต้องสันนิษฐานตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8(5)ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยที่โจทก์ไม่จำเป็นต้องไปยึดทรัพย์จำเลยก่อน.(ที่มา-ส่งเสริม)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ต่อมาจำเลยทราบคำบังคับและศาลออกหมายบังคับคดีแล้ว จำเลยไม่มีทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดที่จะพึงยึดมาชำระหนี้ได้ กรณีต้องสันนิษฐานตาม พระราชบัญญัติ ล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 8(5)ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวโดยที่โจทก์ไม่จำเป็นต้องไปยึดทรัพย์จำเลยก่อน.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1499/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องซ้ำในความผิดเดิม: สิทธิฟ้องระงับเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว แม้ประเด็นต่างกัน
คดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในข้อหาหมิ่นประมาทโดยจำเลย ทั้งสองกับพวกทำหนังสือใส่ความโจทก์ซึ่งเป็นกำนันร้องเรียนต่อ นายอำเภอ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง คดีเสร็จเด็ดขาดแล้ว โจทก์จะนำการกระทำอันเดียวกันมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้อีกในข้อหาแจ้งความเท็จกล่าวหาโจทก์ต่อนายอำเภอซึ่งเป็นเจ้าพนักงานไม่ได้แม้ประเด็นในคดีทั้งสองนี้จะต่างกันก็ตาม สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การฟ้องคดีเดิมในประเด็นที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว
ในคดีก่อนโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองและ น. ว่าจำเลยที่ 2ไม่มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าคำสั่งกรุงเทพมหานครที่ 3717/2518 ที่แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์เป็นคำสั่งที่ถูกต้องกับต้นฉบับและรับฟังได้ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้อีกโดยขอให้พิพากษาว่าคำสั่งกรุงเทพมหานครฉบับดังกล่าวใช้ไม่ได้ และจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจำนวนเดิม ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ.(ที่มา-เนติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5041-5042/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ-เครื่องหมายการค้า: การฟ้องคดีอาญาซ้ำเมื่อมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และการใช้เครื่องหมายการค้าโดยชอบ
พนักงานอัยการโจทก์และผู้เสียหายโจทก์ร่วมเคยฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นพิพากษา ยกฟ้องคดีถึงที่สุดแล้ว ต่อมาโจทก์ร่วมพบสินค้าของจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าเดียวกันนั้นอีกจึงดำเนินการให้โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้โดยอาศัยพยานหลักฐานใหม่และเพิ่มข้อหาอื่นอีกแต่ไม่ได้ความแน่ชัดว่าจำเลยได้ร่วมกันกระทำการเลียนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ร่วมขึ้นใหม่ดังนี้ เป็นการนำการกระทำของจำเลยที่มีคำพิพากษา เสร็จเด็ดขาดแล้วมาฟ้องใหม่นั่นเองสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมจึงระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4)
โจทก์ร่วมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ย่อมมีสิทธิใช้หรือให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้าที่ตนจดทะเบียนได้โดยชอบ การที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 นำเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ร่วมมีสิทธิใช้ได้ตามกฎหมายมาใช้กับสินค้าของจำเลยที่4 โดยโจทก์ร่วมยินยอมจึงไม่เป็นความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้า
โจทก์ร่วมจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าตราควายพระอาทิตย์ย่อมมีสิทธิใช้หรือให้ผู้อื่นใช้เครื่องหมายการค้าที่ตนจดทะเบียนได้โดยชอบ การที่จำเลยที่ 3 ที่ 4 นำเครื่องหมายการค้าที่โจทก์ร่วมมีสิทธิใช้ได้ตามกฎหมายมาใช้กับสินค้าของจำเลยที่4 โดยโจทก์ร่วมยินยอมจึงไม่เป็นความผิดฐานเลียนเครื่องหมายการค้า