คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ฆ่า

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 467 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1695/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: พฤติการณ์วางแผนหลบหนีหลังก่อเหตุเป็นหลักฐานสำคัญ
จำเลยใช้ปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า แล้วขึ้นซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่มีผู้ขับรออยู่ขับหลบหนีไป แสดงให้เห็นว่ามีการวางแผนและเตรียมการไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว จำเลยจึงมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(4)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1575/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมฆ่าโดยมีเจตนาและร่วมค้นทรัพย์สินผู้ตาย
จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธปืนยิง ป. ส. และ ก. เป็นเหตุให้ ส. และ ก. ถึงแก่ความตาย ป. ได้รับอันตรายแก่กายโดยก่อนเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้างรถของ ส. ให้ไปส่งจำเลยทั้งสอง เมื่อเกิดเหตุแล้ว จำเลยที่ 2 พูดกับจำเลยที่ 1 ว่า"ศพนี้จะเผาไหม" และร่วมกับจำเลยที่ 1 ตรวจค้นหาทรัพย์สินจากตัวผู้ตายทั้งสองและผู้เสียหายแล้วหลบหนีไปด้วยกัน ดังนี้แสดงว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมรู้เห็นและอยู่ในลักษณะพร้อมที่จะช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ยิงผู้ตายทั้งสองและผู้เสียหาย การกระทำของจำเลยที่ 2จึงเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ฐานฆ่าผู้ตายทั้งสองและพยายามฆ่าผู้เสียหาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5929/2534 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าแยกกันได้: การพิจารณาความผิดฐานฆ่าเป็นกรรมเดียวหรือหลายกรรม
จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ล. 2 นัดและยิง น. 1 นัด เป็นเหตุให้ล. และ น. ถึงแก่ความตาย โดยจำเลยยิงในเวลาต่อเนื่องกันแสดงว่าในการยิงปืนแต่ละนัดความประสงค์และจุดมุ่งหมายของจำเลยได้แยกออกจากกันว่ากระสุนนัดใด จำเลยยิงผู้ตายคนใด เจตนาฆ่าผู้ตายทั้งสองในขณะกระทำความผิด จึงแยกออกจากกันได้การกระทำความผิดของจำเลยจึงเป็นความผิดสองกรรม.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5831/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวการร่วมกันฆ่า, พยายามฆ่า, ทำร้ายร่างกาย และความผิดฐานพาอาวุธปืน
จำเลยที่ 3 มีเรื่องชกต่อยกับ ส. ก่อน แล้วจำเลยที่ 3 พาพวกคือจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 มาดักรอผู้เสียหายกับผู้ตาย แล้วร่วมกันยิงและทำร้ายทันที โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยิงผู้ตาย และจำเลยที่ 1 ยิง ส.กับจำเลยที่4ใช้ไม้ตีห. แม้จำเลยที่ 3จะมิได้มีอาวุธติดตัวมาและลงมือกระทำผิดด้วยก็ตาม แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 ดังกล่าวเป็นการรวมกำลังให้แก่พวกจำเลยอื่น พร้อมที่จะช่วยเหลือกันได้ เมื่อเกิดเหตุแล้วก็หนีไปด้วยกัน ย่อมถือได้ว่าจำเลยทั้งสี่เป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิด ในการพิจารณาคดีอาญา โจทก์มีหน้าที่ต้องนำสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยกระทำผิด เมื่อโจทก์มิได้นำสืบข้อเท็จจริงให้เห็นว่าอาวุธปืนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ใช้ยิงผู้ตายกับผู้เสียหายไม่มีหมายเลขทะเบียน ทั้งโจทก์ไม่ได้อาวุธปืนมาเป็นของกลาง และไม่มีพยานหลักฐานอื่นที่พิสูจน์ให้เห็นว่าอาวุธปืนนั้นไม่มีหมายเลขทะเบียน จึงลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานมีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นไม่ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้รับใบอนุญาตให้พาอาวุธปืนเป็นผู้ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายกับผู้เสียหายแล้วพาอาวุธปืนนั้นไปจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องมีความผิดฐานพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านโดยไม่ได้รับอนุญาต.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5809/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฆ่าโดยบันดาลโทสะ: การข่มเหงต้องร้ายแรงและเป็นเหตุโดยตรง
การที่ผู้ตายกล่าวกับจำเลยว่าให้จำเลยไปหาภรรยาใหม่ผู้ตายมีสามีใหม่แล้ว สามีใหม่รวยกว่าจำเลยเสียอีก ยังถือไม่ได้ว่าคำกล่าวของผู้ตายเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จำเลยจะอ้างว่าฆ่าผู้ตายโดยบันดาลโทสะไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 469/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาความผิดฐานทำร้ายร่างกายอันเป็นความผิดได้ในตัวเอง
จำเลยเป็นบุตรเขยของผู้เสียหาย ไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันก่อนเกิดเหตุร่วมดื่มสุราด้วยกันจนเมา สาเหตุที่ทะเลาะกันก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย แม้มีดที่จำเลยแทงผู้เสียหายจะยาวถึง 8 นิ้วเศษและจำเลยแทงผู้เสียหายที่บริเวณชายโครงซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของผู้ตาย แต่จำเลยก็แทงเพียงครั้งเดียวโดยไม่ได้แทงซ้ำทั้ง ๆ ที่มีโอกาส เมื่อจำเลยเห็นผู้เสียหายมีโลหิตไหล จำเลยก็ใช้มือปิดแผลให้เพราะเกรงว่าโลหิตจะออกมาก แสดงว่าจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายเพียงแต่มีเจตนาทำร้าย โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานพยายามฆ่า แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายเท่านั้น แต่การกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายเป็นการกระทำที่รวมอยู่ในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น และเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4306/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจากความโกรธแค้น ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
คืนเกิดเหตุจำเลยกับผู้ตายซึ่งเป็นภรรยาไปเที่ยวงานวัดด้วยกัน ครั้นเวลา 21 นาฬิกาเศษ จำเลยเดินตามหาผู้ตายในบริเวณงานวัด เห็นผู้ตายพูดคุยกับทหารพรานไม่ทราบชื่อในลักษณะสนิทสนมกันมาก และจำเลยเคยทราบข่าวว่าผู้ตายกับทหารพรานผู้นี้ไปเที่ยวด้วยกันหลายครั้ง จำเลยจึงกลับบ้านและดื่มสุราจนเวลา 1 นาฬิกาเศษจำเลยไปขุดเอาอาวุธปืนลูกซองสั้นซึ่งมีกระสุนปืนบรรจุอยู่ในลำกล้อง 1 นัด ที่จำเลยฝังไว้หลังบ้านมาเหน็บไว้ที่เอว เวลา3 นาฬิกาเศษ ผู้ตายกลับมาบ้าน จำเลยเปิดประตูออกไปและจับมือผู้ตายลากไปในสวนหลังบ้าน สอบถามผู้ตายถึงการไปเที่ยวกับผู้ชายเมื่อผู้ตายปฏิเสธ จำเลยกอดคอผู้ตายแล้ว ใช้อาวุธปืนจ่อยิงถูกบริเวณเหนือราวนมซ้าย 1 นัด ผู้ตายทรุดลงคว่ำหน้าอยู่กับพื้น ผู้ตายยังไม่ตายทันที จำเลยชักมีดพกปลายแหลมจากเอวแทงที่บริเวณคอผู้ตายอีกหลายครั้ง เมื่อผู้ตายตายแล้ว จำเลยไปเอาจอบที่บ้านมาขุดหลุมฝังไว้ที่เกิดเหตุ เช่นนี้แม้จำเลยจะกระทำต่อผู้ตายเพราะจำเลยโกรธเคืองที่ผู้ตายไปเที่ยวกับชายอื่นก็ตามแต่จำเลยกระทำต่อผู้ตายภายหลังที่จำเลยกลับมาบ้านเป็นเวลานานหลายชั่วโมง โดยจำเลยดื่มสุราเตรียมหาเชือกไว้สำหรับมัดมือผู้ตายและหาอาวุธปืนกับมีมีดพกปลายแหลมไว้สำหรับยิงแทงผู้ตาย พฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าจำเลยกระทำต่อผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3827/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ กรรมเดียวผิดหลายบท: ฆ่าและลักทรัพย์จากผู้ตายและผู้เสียหายโดยมีเจตนาเดียวกัน
จำเลยวางแผนการที่จะฆ่าผู้ตายและผู้เสียหายเพื่อจะเอาทรัพย์มาตั้งแต่เวลาประมาณ 11 นาฬิกา เมื่อมีโอกาสจึงฆ่าผู้ตายก่อน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ทรัพย์จากผู้ตายหรือไม่ แล้วจำเลยจึงฆ่าผู้เสียหายและเอาทรัพย์ของผู้เสียหายไป แต่ผู้เสียหายไม่ตายตามพฤติการณ์เห็นได้ว่าจำเลยกระทำต่อผู้ตายและผู้เสียหายด้วยเจตนาอันเดียวกันและเป็นการกระทำต่อเนื่องกันถือได้ว่าเป็นการกระทำในคราวเดียวกัน จึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทมิใช่หลายกรรมต่างกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5465/2533

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาข้อหาฆ่าและทำร้ายร่างกาย: ผลของการพิพากษาแก้ของศาลอุทธรณ์ทำให้ฎีกาข้อหาเดิมต้องห้าม
โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาร่วมกับพวกฆ่า ล. และร่วมกับพวกทำร้ายร่างกาย ช. ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองข้อหาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดในข้อหาร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายเพียงข้อหาเดียว ย่อมมีผลเท่ากับศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องในข้อหาความผิดฐานร่วมกับพวกฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา โจทก์จึงฎีกาในข้อหาความผิดนี้ไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5107/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาทำร้าย vs. เจตนาฆ่า: การประเมินพฤติการณ์หลังการทำร้ายเพื่อตัดสินความผิด
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันทำร้ายผู้เสียหายโดยใช้ขวานฟันและเหล็กแหลมแทง แม้ผู้เสียหายจะได้รับบาดแผลที่หน้าผาก อกด้านซ้ายและคอด้านซ้ายซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญของร่างกาย แต่บาดแผลไม่ร้ายแรง ไม่อาจทำให้ถึงแก่ความตายได้แสดงว่าจำเลยทั้งสองมิได้ฟันและแทงโดยแรง เมื่อขวานหลุดจากมือกระเด็นไป แล้วผู้เสียหายร้องให้คนช่วยจำเลยทั้งสองก็วิ่งหนีไปทั้ง ๆ ที่ขณะที่ผู้เสียหายถูกทำร้ายไม่มีผู้ใดจะช่วยได้ จำเลยที่ 1 มีโอกาสวิ่งกลับไปเอาขวานมาฟันและจำเลยที่ 2 มีเวลาที่จะแทงผู้เสียหายให้ถึงตายได้ แต่จำเลยทั้งสองหาได้ทำเช่นนั้นไม่ สาเหตุที่จำเลยทั้งสองกับผู้เสียหายโกรธเคืองกันก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แสดงให้เห็นได้ว่าจำเลยทั้งสองมีเพียงเจตนาทำร้ายผู้เสียหายเท่านั้น
of 47