พบผลลัพธ์ทั้งหมด 321 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเลยเวนคืนแจ้งเจ้าของ-เจ้าพนักงานที่ดิน ทำให้เสียหายจากการเวนคืน ชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะส่วนที่เหลือ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์พ.ศ.2497มาตรา9บัญญัติไว้โดยเด็ดขาดว่านอกจากจะต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้เจ้าหน้าที่มอบสำเนาอันแท้จริงแห่งพระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในมาตรา6และมาตรา8พร้อมทั้งแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัตินั้นๆไว้ณสถานที่ที่ทำการเจ้าหน้าที่ที่ทำการผู้ว่าราชการจังหวัดและที่ว่าการอำเภอหรือหอทะเบียนที่ดินในตำบลซึ่งทรัพย์สินที่ต้องเวนคืนนั้นตั้งอยู่เมื่อจำเลยที่1ในฐานะเจ้าหน้าที่มิได้ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวจึงเป็นการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเป็นผลโดยตรงก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ไม่ทราบว่าที่ดินซึ่งเป็นที่ตั้งของอาคารพิพาทที่โจทก์ซื้อมาจากบริษัท ธ. ผู้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารจะต้องถูกเวนคืนทำให้อาคารพิพาทที่โจทก์ซื้อต้องถูกรื้อย่อมเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ส่วนจำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้แทนของจำเลยที่1แม้มิได้แจ้งให้บริษัท ธ. ทราบเรื่องดังกล่าวขณะขออนุญาตปลูกสร้างอาคารก็หาได้มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ไม่ถือไม่ได้ว่าความเสียหายของโจทก์เป็นผลโดยตรงจากการทำละเมิดของจำเลยที่2จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่2ทำละเมิดต่อโจทก์ แม้โจทก์จะได้ทราบถึงการแจ้งการครอบครองและให้รื้อถอนอาคารพิพาทตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์2526แต่ในขณะนั้นอาคารพิพาทยังไม่ถูกเข้าครอบครองและรื้อถอนมูลละเมิดจึงยังไม่เกิดเมื่อจำเลยที่1ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้าครอบครองและรื้อถอนอาคารพิพาทเมื่อวันที่14ตุลาคม2529ถือว่ามูลละเมิดเกิดขึ้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปโจทก์ฟ้องคดีวันที่1มิถุนายน2530ยังไม่เกิน1ปีคดีจึงยังไม่ขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2516/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดต่อหน้าที่กรรมการตรวจรับงาน การจ่ายเงินค่าจ้างโดยไม่ได้รับมอบงานครบถ้วน ความรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ได้รับโอนกิจการทรัพย์สินหนี้สินและเงินงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดตามพระราชบัญญัติโอนกิจการบริหารฯเป็นการโอนโดยบทบัญญัติแห่งกฎหมายไม่อยู่ในบังคับบทบัญญัติว่าด้วยการโอนสิทธิเรียกร้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์สิทธิในการฟ้องผู้ต้องรับผิดตามสัญญาจ้างเหมาและผู้ทำละเมิดเกี่ยวกับสัญญาดังกล่าวจึงโอนมาเป็นของโจทก์ ผู้ว่าราชการจังหวัดได้ไปร่วมงานศพของ พ. กับ ม. โดยตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการส่วนจังหวัดพ.ศ.2498บัญญัติให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลมีสภาจังหวัดและผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินกิจการส่วนจังหวัดถือได้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แทนขององค์การบริหารส่วนจังหวัดและได้รู้ถึงการตายของ พ. กับ ม. แล้วโจทก์ซึ่งรับโอนกิจการทรัพย์สินในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนประชาบาลมาจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดฟ้องจำเลยที่4และที่5ในฐานะทายาทของ พ.กับ ม. เมื่อพ้นกำหนด1ปีนับแต่วันที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดรู้ถึงความตายของ พ. กับ ม. ฟ้องโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยทั้งสองจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1754 ตามระเบียบของทางราชการคณะกรรมการสืบสวนหาข้อเท็จจริงไม่ใช่คณะกรรมการสอบสวนหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งหากโจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้น1ปีหลังจากที่เลขาธิการโจทก์ทราบการละเมิดและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดทางแพ่งคดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่1ถึงที่3ในฐานะกรรมการตรวจการจ้างทำครุภัณฑ์มิได้ไปตรวจรับงานณสถานที่ส่งมอบและผู้รับจ้างยังส่งงานไม่ครบด้วยแต่กลับทำบันทึกการตรวจรับงานเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดว่าผู้รับจ้างได้สร้างงานตามสัญญาถูกต้องสมควรจ่ายเงินให้แก่ผู้รับจ้างทำให้โจทก์เสียหายไม่ได้รับมอบครุภัณฑ์จากผู้รับจ้างครบถ้วนภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาแต่ต้องชำระเงินให้แก่ผู้รับจ้างไปก่อนการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการทำละเมิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2053/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิจากการซื้อขายรถยนต์ที่ถูกโจรกรรม แม้ผู้ขายไม่ทราบเหตุ ผู้ขายก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยผู้ขายต้องรับผิดในการ รอนสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา475แม้จะไม่ทราบถึงเหตุแห่งการรอนสิทธิก็ตามและเมื่อโจทก์จำต้องยอมให้เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์พิพาทซึ่งซื้อมาจากจำเลยไปเพราะเป็นรถยนต์ที่ถูกโจรกรรมมาความรับผิดของจำเลยดังกล่าวจึงไม่อยู่ในบังคับ อายุความฟ้องร้องตามมาตรา481แต่มีอายุความ10ปีตามมาตรา193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 849/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รอการลงโทษแม้มีกระทงความผิดหลายกระทง หากโทษแต่ละกระทงไม่สูง และมีการชดใช้ค่าเสียหายบางส่วน
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาเรียงกระทงลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดให้จำคุกรวม 96 ปี แต่เมื่อโทษจำคุกในแต่ละกระทงความผิดที่วางมานั้นมีกำหนดไม่เกิน 2 ปี คดีจึงอยู่ในเกณฑ์ที่ศาลจะใช้ดุลพินิจรอการลงโทษไว้ได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343และให้คืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย 48 คน เป็นเงิน 1,910,500 บาทเมื่อความปรากฏในสำนวนต่อศาลอุทธรณ์ว่าระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้เสียหายจำนวน 43 คนได้รับการชดใช้จากจำเลยบางส่วนแล้วและไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางแพ่งอีกต่อไป และระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยก็ได้ชดใช้เงินให้แก่ผู้เสียหายอีก 4 คนเป็นที่พอใจแล้วคงเหลือเพียงผู้เสียหายรายที่ 20 เท่านั้น ดังนี้แม้จำเลยจะไม่ได้อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายทั้งหมดรวม 48 คน ก็ตามแต่เมื่อความรับผิดในทางแพ่งของจำเลยเป็นอันระงับไปแล้วการที่จะยังให้จำเลยต้องรับผิดชอบซ้ำซ้อนอีกจึงหาเป็นการชอบและเป็นธรรมไม่ ปัญหาข้อนี้จึงเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลอุทธรณ์จึงหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหายที่ 20 เพียงรายเดียวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7371/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากละเมิดต่อเรือเช่า: ผู้เช่ายังไม่มีสิทธิฟ้องแทนเจ้าของเรือจนกว่าจะชดใช้ค่าเสียหายให้เจ้าของเรือก่อน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562 หากความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เช่ามิได้เกิดจากการใช้ทรัพย์สินโดยมิชอบ และมิใช่เป็นการกระทำของผู้เช่าหรือของบุคคลซึ่งอยู่กับผู้เช่าหรือของผู้เช่าช่วง ผู้เช่าก็ไม่ต้องรับผิดต่อผู้ให้เช่า ส่วนข้อตกลงรับผิดนอกเหนือจากนี้ที่มีระหว่างผู้เช่ากับผู้ให้เช่าเป็นเรื่องที่บังคับได้ระหว่างคู่กรณีเท่านั้น ข้อตกลงดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้เช่าในอันที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เช่าจากบุคคลภายนอกผู้กระทำละเมิด โจทก์ฟ้องบุคคลภายนอกเรียกค่าเสียหายที่เกิดแก่ตัวเรือมิใช่ความเสียหายที่เกิดจากการรับขน บุคคลที่ต้องเสียหายและมีสิทธิได้รับการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการทำละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 คือเจ้าของเรือ โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้เช่าจะใช้สิทธินั้นได้ก็แต่โดยอาศัยการรับช่วงสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 226 และ 227 ซึ่งต้องชำระหนี้ค่าเสียหายแก่เจ้าของเรือไปก่อน จึงจะฟ้องผู้กระทำละเมิดได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6420/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในส่วนของการชดใช้ค่าเสียหาย เนื่องจากจำเลยอื่นมิได้ถูกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยกับพวกร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินจำนวน 104,390 บาท แก่ผู้เสียหายซึ่งได้จ่ายเงินไปโดยไม่ปรากฏว่าพวกของจำเลยได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยด้วย จึงไม่อาจบังคับให้พวกของจำเลยคืนหรือชดใช้เงินตามคำขอของโจทก์ได้ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6234/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชดใช้ค่าเสียหายจากการลักทรัพย์: หลักฐานไม่ชัดเจนจำนวนทรัพย์ที่หาย ศาลไม่สามารถบังคับชดใช้ได้
แม้พยานหลักฐานฝ่ายโจทก์จะฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมกันลักน้ำมันของโจทก์ร่วมจริง แต่เมื่อยังฟังไม่ได้แน่นอนว่าจำนวนเท่าใด ศาลจึงไม่อาจพิพากษาให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ราคาทรัพย์แก่เจ้าของได้ ชอบที่โจทก์ร่วมจะไปว่ากล่าวทางแพ่งต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 593/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหาย: เริ่มนับเมื่อทราบตัวผู้ต้องรับผิด
จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์ที่ 1 ซึ่งเป็นองค์การบริหารส่วนจังหวัดเสียหาย มีการตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งขึ้น 2 ชุด คณะกรรมการสอบสวนชุดแรกทำบันทึกเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด และ ย.ในฐานะผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการต่อผู้ที่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2527ส่วนรายงานของคณะกรรมการชุดหลังได้มีการบันทึกเสนอ และ ย.ผู้ว่าราชการ-จังหวัดมีคำสั่งให้ดำเนินการหลังจากนั้น ถือได้ว่าโจทก์ที่ 1 ทราบความเสียหายและรู้ตัวผู้ต้องรับผิดเมื่อวันที่ 13 ก.ย. 2527 ต่อมา ย.ในฐานะผู้ว่าราชการ-จังหวัดแจ้งให้กรมการปกครองโจทก์ที่ 2 ทราบความเสียหายและบุคคลผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2527 ส่วนโจทก์ที่ 3 ไม่ปรากฏว่าทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเมื่อใด แต่ได้ความว่า ย.ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้แจ้งผลการสอบสวนให้โจทก์ที่ 3 ทราบ จึงฟังได้ว่าโจทก์ที่ 3 ทราบตัวผู้ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหลังจากวันที่ 13 ก.ย. 2527 โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีเมื่อวันที่ 9 ก.ย. 2528 จึงไม่ขาดอายุความตาม ป.พ.พ. มาตรา 448
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5123/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าช่วงทำเหมือง: การใช้สิทธิเลิกสัญญาที่ไม่สุจริตและการชดใช้ค่าเสียหาย
พระราชบัญญัติแร่ฯ มาตรา 76 และ 77 มิได้ห้ามการรับช่วงทำเหมืองโดยเด็ดขาดหากรัฐมนตรีอนุญาตก็ย่อมรับช่วงการทำเหมืองได้สัญญาเช่าช่วงหรือรับช่วงทำเหมืองพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงเกิดขึ้นและมีผลใช้บังคับตั้งแต่ที่โจทก์จำเลยตกลงกัน ส่วนกรณีที่รัฐมนตรีจะอนุญาตหรือไม่เป็นอีกส่วนหนึ่งต่างหากซึ่งหากรัฐมนตรีไม่อนุญาต การชำระหนี้ตามสัญญาดังกล่าวก็อาจเป็นพ้นวิสัยเท่านั้นหาใช่สัญญายังไม่เกิดเพราะยังไม่ได้รับคำสั่งอนุญาตจากรัฐมนตรีไม่ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับตามสัญญารับช่วงทำเหมืองหินและขอให้ชดใช้ค่าเสียหาย แม้โจทก์จะอ้างเหตุที่จำเลยเข้าทำเหมืองเสียเองเป็นการละเมิดก็ตามแต่ก็เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ตามสัญญาอย่างหนึ่งเป็นกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยเฉพาะ จึงมีอายุความ 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 193/30
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดสัญญาซื้อขาย, การแจ้งเตือน, การลดเบี้ยปรับ และการชดใช้ค่าเสียหาย
การที่จำเลยไม่ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ตรงตามกำหนดสัญญาโจทก์มิได้บอกเลิกสัญญาทันที แต่ได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยส่งมอบสิ่งของตามสัญญาและสงวนสิทธิจะเรียกร้องค่าปรับตามสัญญาการที่โจทก์มีหนังสือแจ้งเตือนให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าวมิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ยินยอมให้จำเลยขยายกำหนดเวลาส่งมอบออกไปอันเป็นการยกเลิกกำหนดเวลาส่งมอบตามสัญญาเดิม แต่เป็นกรณีที่โจทก์ให้จำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญาให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว และบอกสงวนสิทธิเรียกร้องเบี้ยปรับเอาไว้ในการที่จำเลยไม่ชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนด เมื่อจำเลยมิได้ส่งมอบสิ่งของให้โจทก์ภายในเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อโจทก์มีหนังสือเตือนดังกล่าวแล้ว จำเลยมีหนังสือถึงโจทก์ยินยอมให้โจทก์ปรับเงินตามสัญญา ทั้งแจ้งเหตุขัดข้องในการส่งมอบสิ่งของจึงเป็นกรณีที่โจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามข้อ 8 โดยให้โอกาสจำเลยปฏิบัติการชำระหนี้ และจำเลยยังต้องการปฏิบัติตามสัญญาโดยยินยอมให้โจทก์ปรับ แต่เมื่อจำเลยไม่สามารถส่งสิ่งของตามสัญญาให้แก่โจทก์ได้อีก และขอบอกเลิกสัญญาโจทก์จึงมีสิทธิเรียกเอาเบี้ยปรับจากจำเลยเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบนับถัดจากวันครบกำหนดตามสัญญาจนถึงวันบอกเลิกสัญญา ข้อ 9 วรรคแรก โจทก์ได้ซื้อจอกทองเหลือง จำนวน 70,000 อัน ในราคา 910,000 บาทจากคณะกรรมการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ เป็นการซื้อในราคาที่สูงกว่าที่จำเลยตกลงขายแก่โจทก์เป็นเงิน 252,000 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้โจทก์จะต้องนำไปหักกับหลักประกันจำนวน 65,800 บาท ที่จำเลยนำธนาคารทหารไทย จำกัด มาค้ำประกันไว้ และโจทก์ได้ริบไปแล้วเพราะถือเป็นค่าเสียหายส่วนหนึ่ง จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าเสียหายที่โจทก์ต้องซื้อสิ่งของแพงขึ้นเป็นเงินเพียง 186,200 บาท การที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับรายวันให้จำเลยกึ่งหนึ่งคงเหลือเงินเบี้ยปรับจำนวน 120,414 บาท ที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์โดยเห็นว่าโจทก์มิได้รับความเสียหายเป็นพิเศษอย่างอื่น เพียงแต่ต้องซื้อสิ่งของแพงขึ้น และจำเลยก็รับผิดไปแล้วเป็นจำนวนเงินพอสมควร จึงเป็นการพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างโดยชอบด้วยกฎหมายในเชิงทรัพย์สินเมื่อได้ใช้เบี้ยปรับแล้ว ดังนั้นที่ศาลล่างทั้งสองลดเบี้ยปรับให้จำเลยจึงนับว่าเป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมแล้ว