คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
นิติบุคคล

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 439 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9340/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การร่วมรับผิดชดใช้ค่าเสียหายจากละเมิดของข้าราชการในสังกัด และสิทธิไล่เบี้ยของนิติบุคคล
จำเลยให้การว่า จำเลยขอปฏิเสธฟ้องของโจทก์ว่า การฟ้องคดีของพันตำรวจเอก ร. เป็นการสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์โดยตรง จำเลยจึงไม่ต้องผูกพันกับคำพิพากษาท้ายฟ้องโจทก์ เมื่อการฟ้องของโจทก์ไม่สุจริตโจทก์จึงหามีสิทธิฟ้องไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยไม่ ดังนี้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวไม่มีข้อความตอนหนึ่งตอนใดได้กล่าวถึงเหตุที่จำเลยได้กล่าวอ้างมาเลยว่า ที่พันตำรวจเอก ร. ฟ้องโจทก์และจำเลยกับพวกนั้น พันตำรวจเอก ร. ได้ร่วมกับโจทก์กระทำการอย่างใดอันเป็นการสมรู้ร่วมคิดกันนำคดีดังกล่าวมาฟ้องเพื่อให้โจทก์มาฟ้องจำเลยให้รับผิดเป็นคดีนี้ซึ่งเป็นการฟ้องคดีโดยไม่สุจริต จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างข้อเท็จจริงดังกล่าวเพื่อสนับสนุนคำให้การของจำเลย เมื่อคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้งจึงไม่เป็นประเด็นที่จะต้องนำสืบ ศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย การที่โจทก์และจำเลยถูกพันตำรวจเอก ร. เป็นโจทก์ฟ้องให้ร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอันเนื่องจากการที่จำเลยซึ่งเป็นข้าราชการในสังกัดของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อทำให้พันตำรวจเอก ร. เสียหาย และคดีดังกล่าวศาลฎีกาวินิจฉัยถึงที่สุดฟังว่าเหตุเกิดจากการปล่อยปละละเลยในการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยซึ่งได้กระทำไปในฐานะผู้แทนโจทก์และพิพากษาให้โจทก์และจำเลยร่วมกันรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่พันตำรวจเอก ร. คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยตาม ป.วิ.พ.มาตรา 145 วรรคหนึ่ง คดีนี้จึงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อพันตำรวจเอก ร. ในขณะจำเลยปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้แทนโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคล เมื่อโจทก์ชำระค่าเสียหายตามคำพิพากษาคดีก่อนแก่พันตำรวจเอก ร. แล้วย่อมมีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่จำเลยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 76

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8224/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยอมรับสถานะนิติบุคคลของโจทก์โดยจำเลย ทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องดำเนินคดีได้
ปัญหาว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่เป็นข้อเท็จจริง จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่เป็นนิติบุคคล เท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าโจทก์เป็นนิติบุคคล โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบในปัญหานี้และโจทก์มีสิทธิดำเนินคดีทางศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8224/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของนิติบุคคล, สัญญาว่าจ้าง, การมอบอำนาจ, และความรับผิดร่วมกันของจำเลย
ปัญหาว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงจำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่เป็นนิติบุคคลเท่ากับจำเลยทั้งสองยอมรับว่าโจทก์เป็นนิติบุคคลโจทก์จึงไม่ต้องนำสืบในปัญหานี้และโจทก์มีสิทธิดำเนินคดีทางศาลได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8033-8037/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สถานะนิติบุคคลของมิซซังโรมันคาทอลิกตามกฎหมายพิเศษและประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
พระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาดหลวงโรมันคาทอลิคในกรุงสยามตามกฎหมายร.ศ.128ข้อ1และข้อ2วรรคหนึ่งและวรรคสองระบุให้มิสซังมีฐานะเป็นบริษัทมิสซังโรมันคาทอลิคกรุงเทพมหานครจึงเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา65,66ที่ได้ตรวจชำระใหม่ไม่ได้บัญญัติให้ยกเลิกมัสซังโรมันคาธอลิคว่าไม่เป็นนิติบุคคลแต่อย่างใดแต่ได้บัญญัติรับรองไว้ว่านิติบุคคลจะมีขึ้นได้ก็แต่ด้วยอาศัยอำนาจแห่งกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นและนิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นภายในขอบอำนาจแห่งหน้าที่หรือวัตถุประสงค์ดังได้บัญญัติหรือกำหนดไว้ในกฎหมายข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งเมื่อโจทก์เป็นมิสซังโรมันคาธอลิคเป็นนิติบุคคลอยู่ก่อนแล้วตามพระราชบัญญัติว่าด้วยลักษณะฐานะของวัดบาดหลวงโรมันคาธอลิคในกรุงสยามตามกฎหมายร.ศ.128ซึ่งเป็นกฎหมายพิเศษยังใช้บังคับจนปัจจุบันนี้พระราชบัญญัติดังกล่าวจึงเป็นกฎหมายอื่นฉบับหนึ่งตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา65โจทก์จึงย่อมมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายอยู่ต่อไป ข้อที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ไม่ใช่บริษัทจำคุกตามความในบรรพ3ลักษณะ22หมวด4จึงไม่เป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ1หมวด2นั้นปัญหาข้อนี้แม้จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงถือว่าไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7189/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สมาชิกภาพถูกตัดออกโดยไม่สมัครใจ: การคืนเงินค่าหุ้นไม่ใช่การขาดสมาชิกภาพ
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล มีจำเลยที่ 2 ถึงที่ 6 เป็นกรรมการดำเนินงาน ต่อมาจำเลยที่ 1 ตัดชื่อโจทก์ทั้งหมดออกจากการเป็นสมาชิกของจำเลยที่ 1 โดยอ้างว่าโจทก์บางคน รวมทั้งโจทก์ที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้เข้าร่วมประชุมติดต่อกัน 3 ปี ตามมติที่ประชุมใหญ่ที่ประชุมเมื่อปี 2524 เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้ตัดชื่อโจทก์ที่ 2 ออกจากสมาชิกภาพและส่งเงินค่าหุ้นคืนไปให้แก่โจทก์ที่ 2 เอง มิใช่กรณีที่โจทก์ที่ 2 ขอรับเงินค่าหุ้นคืนเองโดยสมัครใจ ดังนี้ จะถือว่าโจทก์ที่ 2 ขาดจากสมาชิกภาพเพราะเหตุดังกล่าวหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2538 เวอร์ชัน 5 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนสถานะนิติบุคคลบริษัทร้างเพื่อคุ้มครองสิทธิลูกหนี้ที่ได้รับความเสียหาย
ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1246 (6) ศาลจะสั่งให้จดชื่อบริษัทกลับคืนเข้าสู่ทะเบียนก็ต่อเมื่อพิจารณาได้ความเป็นที่พอใจว่า ในขณะที่ขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียนนั้น บริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ หรือมิฉะนั้นเห็นว่าเป็นการยุติธรรมที่จะให้บริษัทได้กลับคืนขึ้นทะเบียนอีก เพราะฉะนั้นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงต้องอ้างเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย คือ (1) ความจริงขณะที่ถูกขีดชื่อออกจากทะเบียนบริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ หรือ (2) เพื่อความเป็นธรรมควรให้บริษัทกลับคืนขึ้นทะเบียนอีก
คำร้องขอของผู้ร้องได้กล่าวอ้างว่า ในขณะที่บริษัท ท. ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้างนั้น บริษัทดังกล่าวเป็นลูกหนี้ของผู้ร้องอยู่ จึงเป็นเหตุให้ผู้ร้องไม่สามารถดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ อันเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายและผู้ร้องนำสืบว่า ผู้ร้องได้ออกหนังสือค้ำประกันบริษัทดังกล่าวต่อธนาคารที่ได้ทำสัญญาไว้กับกองทัพบก ต่อมาบริษัทดังกล่าวผิดสัญญาต่อกองทัพบกและไม่ยอมชำระหนี้ให้แก่ธนาคาร ผู้ร้องในฐานะผู้ค้ำประกันจึงได้ชำระหนี้ให้แก่ธนาคารแทนบริษัทดังกล่าว แล้วจะใช้สิทธิไล่เบี้ยเอาจากบริษัทดังกล่าว แต่บริษัทดังกล่าวถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้าง ผู้ร้องจึงไม่สามารถดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ ดังนี้ คำร้องขอของผู้ร้องได้กล่าวอ้างและพิสูจน์ได้ว่า ผู้ร้องได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลับจดชื่อบริษัท ท. ให้คืนสถานะเป็นนิติบุคคลตาม ป.พ.พ. มาตรา1246 (6)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2538 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกลับคืนสถานะนิติบุคคลหลังถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน: ความเสียหายต่อเจ้าหนี้และการได้รับความเป็นธรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1246(6) ศาลจะสั่งให้จดชื่อบริษัทกลับคืนเข้าสู่ทะเบียนก็ต่อเมื่อพิจารณาได้ความเป็นที่พอใจว่าในขณะที่ขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียนนั้น บริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่ หรือมิฉะนั้นเห็นว่าเป็นการยุติธรรมที่จะให้บริษัทได้กลับคืนขึ้นทะเบียนอีกเพราะฉะนั้นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงต้องอ้างเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง และต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย บริษัท ท.เป็นลูกหนี้ผู้ร้องอยู่การที่บริษัทท. ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้าง ผู้ร้องย่อมไม่อาจดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ ดังนี้ถือว่าผู้ร้องได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องแล้ว ผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาล เพื่อให้ศาลสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลับจดชื่อบริษัท ท. ให้คืนสถานะเป็นนิติบุคคลได้ เมื่ออุทธรณ์ อุทธรณ์ในเรื่องใด อีกฝ่ายไม่เห็นด้วยชอบที่จะยกปัญหานั้นตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงจะถือว่าเป็นข้อที่ไม่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6606/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกลับคืนสถานะนิติบุคคลหลังถูกขีดชื่อออกจากทะเบียน: ความเสียหายของเจ้าหนี้และเหตุความเป็นธรรม
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1246(6)ศาลจะสั่งให้จดชื่อบริษัทกลับคืนเข้าสู่ทะเบียนก็ต่อเมื่อพิจารณาได้ความเป็นที่พอใจว่าในขณะที่ขีดชื่อบริษัทออกจากทะเบียนนั้นบริษัทยังทำการค้าขายหรือยังประกอบการงานอยู่หรือมิฉะนั้นเห็นว่าเป็นการยุติธรรมที่จะให้บริษัทได้กลับคืนขึ้นทะเบียนอีกเพราะฉะนั้นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งดังกล่าวจึงต้องอ้างเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งและต้องพิสูจน์ให้ศาลเห็นตามข้อกล่าวอ้างนั้นด้วย บริษัท ท. เป็นลูกหนี้ผู้ร้องอยู่การที่บริษัท ท. ถูกขีดชื่อเป็นบริษัทร้างผู้ร้องย่อมไม่อาจดำเนินคดีแก่บริษัทดังกล่าวได้ดังนี้ถือว่าผู้ร้องได้รับความเสียหายซึ่งไม่เป็นธรรมแก่ผู้ร้องแล้วผู้ร้องจึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลเพื่อให้ศาลสั่งให้นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกลับจดชื่อบริษัท ท. ให้คืนสถานะเป็นนิติบุคคลได้ เมื่ออุทธรณ์อุทธรณ์ในเรื่องใดอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยชอบที่จะยกปัญหานั้นตั้งประเด็นไว้ในคำแก้อุทธรณ์จึงจะถือว่าเป็นข้อที่ไม่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5524/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของนิติบุคคลและการกระทำละเมิดของเจ้าหน้าที่: การระบุความเสียหายและผู้มีสิทธิเรียกร้อง
กรมทะเบียนการค้าโจทก์ที่ 1 กรมการค้าภายในโจทก์ที่ 2และสำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์โจทก์ที่ 3 ต่างมีฐานะเป็นนิติบุคคลแยกต่างหากจากกันตามกฎหมาย แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์เป็นผู้เก็บเงินค่าธรรมเนียมก็ตาม สำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ก็เป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ที่ 1 และที่ 2 เท่านั้น เมื่อเงินตามคำฟ้องที่จำเลยที่ 1 ยักยอกไปนั้นเป็นเงินค่าธรรมเนียมจดทะเบียนอันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 1 และเงินค่าธรรมเนียมรายได้เบ็ดเตล็ดต่าง ๆ อันเป็นรายได้ของโจทก์ที่ 2 มิใช่เงินค่าธรรมเนียมรายได้ของโจทก์ที่ 3 หรือเงินค่าธรรมเนียมรายได้ของสำนักงานพาณิชย์จังหวัดนครสวรรค์ ที่โจทก์ที่ 3 เป็นผู้บังคับบัญชาควบคุมและดูแลอยู่ โจทก์ที่ 3 จึงไม่ถูกโต้แย้งสิทธิ โจทก์ที่ 3 ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 5 เป็นเจ้าหน้าที่วิเคราะห์งานทะเบียนการค้ามีหน้าที่รับจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท ในการปฏิบัติหน้าที่จำเลยที่ 5 คงรับเฉพาะเงินค่าธรรมเนียมจากผู้ที่มาขอจดทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทแล้วนำไปมอบให้แก่เจ้าหน้าที่การเงินเท่านั้น หาใช่เป็นเจ้าหน้าที่การเงินที่ได้รับมอบเงินค่าธรรมเนียมแล้วนำไปส่งคลังจังหวัดไม่ ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 5 รับเงินค่าธรรมเนียมแล้วมอบเงินนั้นให้จำเลยที่ 1 นำไปส่งคลังจังหวัด จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5 กระทำละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3825/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของนิติบุคคลและกรรมการ: การกระทำของผู้แทนของนิติบุคคลผูกพันนิติบุคคล
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแล้ว จำเลยที่ 1ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ต้องตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย ภายในขอบวัตถุที่ประสงค์ของจำเลยที่ 1 ดั่งมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้งจำเลยที่ 1ตาม ป.พ.พ.มาตรา 69 เดิม ที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่โจทก์อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้และตามมาตรา 75 เดิม บัญญัติว่า อันความประสงค์ของนิติบุคคลย่อมแสดงปรากฏจากผู้แทนทั้งหลายของนิติบุคคลนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 4 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงเป็นผู้แทนที่ดำเนินการหรือแสดงความประสงค์ของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 2 ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาว่าจ้างหรือจำเลยที่ 4ในฐานะกรรมการของจำเลยที่ 1 มอบหมายให้จำเลยที่ 3 ลงลายมือชื่อแทนจำเลยที่ 4ในสัญญาว่าจ้างโจทก์ก็ดี ก็เป็นการกระทำในฐานะเป็นผู้แทนของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 1 ได้รับผลงานจากการจ้าง ที่จำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ก็ดี ลงลายมือชื่อในเอกสารยอมรับชำระหนี้ให้แก่โจทก์ก็ดี หรือจำเลยที่ 4 ลงลายมือชื่อรับรองยอดหนี้ของจำเลยที่ 1 ก็ดี ตลอดจนที่จำเลยที่ 4ลงลายมือชื่อรับมอบงวดงานตามเอกสารต่าง ๆ ก็ดี แม้มิได้ระบุว่ากระทำการแทนจำเลยที่ 1 ก็พึงเห็นได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 กระทำการในฐานะเป็นกรรมการหรือผู้แทนของจำเลยที่ 1 นั่นเอง และแม้ทุนจดทะเบียนของจำเลยที่ 1 จะมีน้อยกว่าการงานที่จำเลยที่ 1 ว่าจ้างโจทก์ แต่ก็ได้ความว่าหากขาดเงินทุนหมุนเวียนจำเลยที่ 1 ก็จะไปขอสินเชื่อจากธนาคาร นอกจากนี้ตามสัญญาว่าจ้าง จำเลยที่ 1 เป็นผู้ว่าจ้างโจทก์ ไม่มีข้อความที่แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ว่าจ้างโจทก์ในฐานะส่วนตัวแต่อย่างใด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 4 ว่าจ้างโจทก์ในฐานะส่วนตัวด้วยจำเลยที่ 2 และที่ 4 ซึ่งเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 จึงหาจำต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ไม่
of 44