พบผลลัพธ์ทั้งหมด 233 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฉ้อโกงประชาชน: ศาลไม่ต้องปรับบทลงโทษซ้ำหากลงโทษตามมาตราอื่นแล้ว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฉ้อโกงประชาชนโดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341,343 ดังนี้ เมื่อศาลลงโทษจำเลยตามมาตรา 343 แล้ว ก็ไม่ต้องปรับบทลงโทษตามมาตรา 341 อีก.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะ: ศาลฎีกาแก้บทลงโทษจากความผิดฐานใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกในการกระทำผิดเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดา
จำเลยที่ 4 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์คันที่จำเลยที่ 1 ขับขี่มาที่เกิดเหตุขณะจำเลยที่ 1,2 ลักทรัพย์ จำเลยที่ 4 ก็ยืนคอยอยู่แถวนั้น พฤติการณ์ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดด้วย
ขณะจำเลยกระทำผิด รถจักรยานยนต์พาหนะของจำเลยยังจอดอยู่ที่เดิมมิได้ก่อให้เกิดความสะดวกในการลักทรัพย์แต่อย่างใดการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336ทวิ
ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 ทวิ จำเลยที่ 4 ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
ขณะจำเลยกระทำผิด รถจักรยานยนต์พาหนะของจำเลยยังจอดอยู่ที่เดิมมิได้ก่อให้เกิดความสะดวกในการลักทรัพย์แต่อย่างใดการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336ทวิ
ศาลล่างพิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 336 ทวิ จำเลยที่ 4 ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(7) ศาลฎีกาย่อมพิพากษาแก้ถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาด้วย.(ที่มา-ส่งเสริม)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118-1119/2531 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามลักลอบนำเข้าสินค้าต้องควบคุมและหลีกเลี่ยงภาษี การลงโทษตามบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
จำเลยนำสินค้าควบคุมจากเขตจังหวัดอื่นเข้ามาในเขตท้องที่จังหวัดที่มีการประกาศเขตควบคุม แม้จะปรากฏว่าสินค้ายังอยู่ในเรือที่ได้บรรทุกมายังไม่มีการขนถ่ายสินค้าก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดแล้ว
จำเลยร่วมกันพยายามนำสินค้า สบู่ ผ้า บุหรี่ และไม้อัดซึ่งมิได้ผ่านด่านศุลกากร โดยถูกต้องออกไปนอกราชอาณาจักรและร่วมกันขนย้ายสบู่อันเป็นสินค้าควบคุมในท้องที่จังหวัดตราดทางทะเลกับร่วมกันขนย้ายผ้าและบุหรี่อันเป็นสิ่งของที่อยู่ในความควบคุมทางทะเลจากท้องที่จังหวัดอื่นเข้ามาในเขตจังหวัดตราดทางทะเล การกระทำของจำเลยในสินค้าแต่ละประเภทเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องแยกประเภทสินค้าออกเป็นกระทงความผิดแล้วลงโทษบทหนัก
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทมาตราความผิดและกำหนดโทษเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 27 ไม่ว่าจะเป็นพยายามกระทำความผิดหรือกระทำความผิดสำเร็จก็ตาม กฎหมายได้กำหนดโทษไว้เท่ากันคือความผิดครั้งหนึ่งให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายบทพระราชบัญญัติศุลกากรจึงเป็นบทหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่นในภาวะคับขัน
จำเลยร่วมกันพยายามนำสินค้า สบู่ ผ้า บุหรี่ และไม้อัดซึ่งมิได้ผ่านด่านศุลกากร โดยถูกต้องออกไปนอกราชอาณาจักรและร่วมกันขนย้ายสบู่อันเป็นสินค้าควบคุมในท้องที่จังหวัดตราดทางทะเลกับร่วมกันขนย้ายผ้าและบุหรี่อันเป็นสิ่งของที่อยู่ในความควบคุมทางทะเลจากท้องที่จังหวัดอื่นเข้ามาในเขตจังหวัดตราดทางทะเล การกระทำของจำเลยในสินค้าแต่ละประเภทเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องแยกประเภทสินค้าออกเป็นกระทงความผิดแล้วลงโทษบทหนัก
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทมาตราความผิดและกำหนดโทษเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 27 ไม่ว่าจะเป็นพยายามกระทำความผิดหรือกระทำความผิดสำเร็จก็ตาม กฎหมายได้กำหนดโทษไว้เท่ากันคือความผิดครั้งหนึ่งให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายบทพระราชบัญญัติศุลกากรจึงเป็นบทหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่นในภาวะคับขัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1118-1119/2531
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพยายามนำเข้าสินค้าหลีกเลี่ยงภาษี และขนย้ายสินค้าควบคุม ความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ศาลปรับบทลงโทษ
จำเลยนำสินค้าควบคุมจากเขตจังหวัดอื่นเข้ามาในเขตท้องที่จังหวัดที่มีการประกาศเขตควบคุม แม้จะปรากฏว่าสินค้ายังอยู่ในเรือที่ได้บรรทุกมายังไม่มีการขนถ่ายสินค้าก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นการฝ่าฝืนประกาศของคณะกรรมการส่วนจังหวัดกำหนดราคาสินค้าและป้องกันการผูกขาดแล้ว
จำเลยร่วมกันพยายามนำสินค้า สบู่ ผ้า บุหรี่ และไม้อัดซึ่งมิได้ผ่านด่านศุลกากร โดยถูกต้องออกไปนอกราชอาณาจักรและร่วมกันขนย้ายสบู่อันเป็นสินค้าควบคุมในท้องที่จังหวัดตราดทางทะเลกับร่วมกันขนย้ายผ้าและบุหรี่อันเป็นสิ่งของที่อยู่ในความควบคุมทางทะเลจากท้องที่จังหวัดอื่นเข้ามาในเขตจังหวัดตราดทางทะเล การกระทำของจำเลยในสินค้าแต่ละประเภทเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องแยกประเภทสินค้าออกเป็นกระทงความผิดแล้วลงโทษบทหนัก
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทมาตราความผิดและกำหนดโทษเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 27 ไม่ว่าจะเป็นพยายามกระทำความผิดหรือกระทำความผิดสำเร็จก็ตาม กฎหมายได้กำหนดโทษไว้เท่ากันคือความผิดครั้งหนึ่งให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายบทพระราชบัญญัติศุลกากรจึงเป็นบทหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่นในภาวะคับขัน.
จำเลยร่วมกันพยายามนำสินค้า สบู่ ผ้า บุหรี่ และไม้อัดซึ่งมิได้ผ่านด่านศุลกากร โดยถูกต้องออกไปนอกราชอาณาจักรและร่วมกันขนย้ายสบู่อันเป็นสินค้าควบคุมในท้องที่จังหวัดตราดทางทะเลกับร่วมกันขนย้ายผ้าและบุหรี่อันเป็นสิ่งของที่อยู่ในความควบคุมทางทะเลจากท้องที่จังหวัดอื่นเข้ามาในเขตจังหวัดตราดทางทะเล การกระทำของจำเลยในสินค้าแต่ละประเภทเป็นความผิดกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท จึงต้องแยกประเภทสินค้าออกเป็นกระทงความผิดแล้วลงโทษบทหนัก
คดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นทั้งบทมาตราความผิดและกำหนดโทษเป็นการแก้ไขมาก ไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรมาตรา 27 ไม่ว่าจะเป็นพยายามกระทำความผิดหรือกระทำความผิดสำเร็จก็ตาม กฎหมายได้กำหนดโทษไว้เท่ากันคือความผิดครั้งหนึ่งให้ปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งรวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วหรือจำคุกไม่เกินสิบปีหรือทั้งปรับทั้งจำ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายบทพระราชบัญญัติศุลกากรจึงเป็นบทหนักกว่าพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องอุปโภคบริโภคและของอื่นในภาวะคับขัน.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5509/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาตและการพกพาอาวุธในที่สาธารณะ ศาลจำกัดบทลงโทษเฉพาะข้อหาพกพา
จำเลยกับพวกร่วมกันมีอาวุธปืนและพาอาวุธปืนดังกล่าวไปใช้ยิงผู้ตาย และผู้เสียหายในทางสาธารณะแม้โจทก์ไม่ได้อาวุธปืนดังกล่าวมาเป็นของกลาง แต่ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยรับว่าไม่เคยได้รับอนุญาตให้มีและใช้อาวุธปืนมาก่อน ซึ่งมีพนักงานสอบสวนเบิกความยืนยันและจำเลยก็ มิได้ถามค้านหรือนำสืบหักล้างแต่อย่างใด ย่อมฟังได้ว่า จำเลยมี อาวุธปืนไว้ในครอบครองและพาอาวุธปืนดังกล่าวติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ข้อเท็จจริงยังไม่อาจฟังได้ด้วยว่าอาวุธปืนที่จำเลย มีโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นอาวุธปืนที่ยังไม่ได้จดทะเบียนและ ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับตามที่โจทก์ฟ้อง จึงลงโทษ จำเลยฐานมีอาวุธปืนที่ไม่ได้จดทะเบียนไว้ในครอบครองไม่ได้ คงลงโทษได้ แต่เฉพาะข้อหาพาอาวุธปืนติดตัวไปในทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4579/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาความผิดและบทลงโทษต่อเนื่องจากความรุนแรง การรอการลงโทษโดยคำนึงถึงเหตุปัจจัย
ปัญหาที่ว่าจำเลยกระทำความผิดกรรมใดบ้างนั้น แม้จำเลยมิได้ฎีกาก็เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่จำเลยได้
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วม แล้วดูหมิ่นโจทก์ร่วมกับชกต่อยโจทก์ร่วมในทันทีทันใดนั้น เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาอันแท้จริง เพื่อดูหมิ่นและทำร้ายโจทก์ร่วมการกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 อันเป็นบทหนักที่สุดต่อมาจำเลยฉุดแขนโจทก์ร่วมออกจากเคหสถานลากพาตัวไปยังถนนสาธารณะอันเป็นการทำให้โจทก์ร่วมปราศจากเสรีภาพในร่างกายพร้อมทั้งได้ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงรังแกหรือทำให้โจทก์ร่วมเดือดร้อนรำคาญด้วยนั้นย่อมเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับความผิดฐานทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นเอง การกระทำของจำเลยในตอนหลังนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา310 อันเป็นบทหนักที่สุด รวมเป็นความผิด 2 กระทง
มูลเหตุแห่งคดีเกิดจากโจทก์ร่วมได้ว่ากล่าวบุตรของจำเลยว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน ความเจ็บร้อนย่อมเกิดขึ้นได้ตามวิสัยปุถุชนจึงมีการต่อว่าต่อขานและเป็นมูลให้ทะเลาะกันอย่างจริงจังในที่สุด บาดแผลของโจทก์ร่วมเป็นบาดแผลที่ไม่รุนแรงกับคำว่า 'อีเหี้ย อีสัตว์' ที่จำเลยด่าโจทก์ร่วมก็เป็นแต่ถ้อยคำที่ผู้ถูกว่าเกิดความระคายเคืองใจไม่มีผู้ใดคิดและเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะเป็นเช่นนั้นพิเคราะห์ตามมูลเหตุพฤติการณ์แห่งคดีและบาดแผล เป็นการสมควรที่ศาลจะรอการลงโทษไว้
การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านโจทก์ร่วม แล้วดูหมิ่นโจทก์ร่วมกับชกต่อยโจทก์ร่วมในทันทีทันใดนั้น เป็นการกระทำต่อเนื่องกัน โดยมีเจตนาอันแท้จริง เพื่อดูหมิ่นและทำร้ายโจทก์ร่วมการกระทำของจำเลยในตอนนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365 อันเป็นบทหนักที่สุดต่อมาจำเลยฉุดแขนโจทก์ร่วมออกจากเคหสถานลากพาตัวไปยังถนนสาธารณะอันเป็นการทำให้โจทก์ร่วมปราศจากเสรีภาพในร่างกายพร้อมทั้งได้ร่วมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายทันที ซึ่งถือได้ว่าเป็นการข่มเหงรังแกหรือทำให้โจทก์ร่วมเดือดร้อนรำคาญด้วยนั้นย่อมเป็นการกระทำที่ต่อเนื่องกันกับความผิดฐานทำให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นเอง การกระทำของจำเลยในตอนหลังนี้จึงเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา310 อันเป็นบทหนักที่สุด รวมเป็นความผิด 2 กระทง
มูลเหตุแห่งคดีเกิดจากโจทก์ร่วมได้ว่ากล่าวบุตรของจำเลยว่าเป็นเด็กที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน ความเจ็บร้อนย่อมเกิดขึ้นได้ตามวิสัยปุถุชนจึงมีการต่อว่าต่อขานและเป็นมูลให้ทะเลาะกันอย่างจริงจังในที่สุด บาดแผลของโจทก์ร่วมเป็นบาดแผลที่ไม่รุนแรงกับคำว่า 'อีเหี้ย อีสัตว์' ที่จำเลยด่าโจทก์ร่วมก็เป็นแต่ถ้อยคำที่ผู้ถูกว่าเกิดความระคายเคืองใจไม่มีผู้ใดคิดและเชื่อว่าโจทก์ร่วมจะเป็นเช่นนั้นพิเคราะห์ตามมูลเหตุพฤติการณ์แห่งคดีและบาดแผล เป็นการสมควรที่ศาลจะรอการลงโทษไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3587/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานทำไม้และยึดครองที่ดินในเขตป่าสงวนฯ ศาลฎีกาแก้ไขบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมาย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดในข้อหา เข้าไปยึดถือครอบครองที่ดิน ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดฟันต้นไม้ ทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติอันเป็นการทำให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติและก่อให้เกิดความเสียหาย แก่ไม้สัก ซึ่งกฎหมายกำหนดอัตราโทษอย่างต่ำให้จำคุกไม่ถึง 5 ปี เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่สืบพยานหลักฐานต่อไปได้
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
จำเลยเข้าไปยึดถือครอบครอง ก่นสร้าง แผ้วถาง ตัดต้นไม้ทำลายป่าในเขตป่าสงวนแห่งชาติและทำไม้สัก 2 ท่อน ปริมาตร 0.063ลูกบาศก์เมตร และไม้อื่นอันเป็นไม้หวงห้าม ประเภท ก.โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายในคราวเดียวกัน ย่อมเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 11, 73 วรรคสอง และ พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคสอง เป็นการกระทำกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษบทหนักตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช 2484 มาตรา 73 วรรคสอง
ปัญหาที่ศาลล่างปรับบทกฎหมายดังกล่าวผิด แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2641/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตีความบทลงโทษคดียาเสพติด: การปรับบทตามกฎหมายแก้ไขเมื่อปริมาณยาเสพติดไม่เข้าข่าย
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามขยายความมาตรา 69 วรรคสอง เฉพาะความผิดฐานจำหน่ายหรือมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 2 ซึ่งเป็นมอร์ฟีน ฝิ่น หรือโคคาอีน ที่มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ไม่เกินหนึ่งร้อยกรัม
จำเลยมีมูลฝิ่นหนัก 8.5 กรัม ไว้ในครอบครอง จึงต้องวางอัตราโทษตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 มาตรา 6.
จำเลยมีมูลฝิ่นหนัก 8.5 กรัม ไว้ในครอบครอง จึงต้องวางอัตราโทษตามมาตรา 69 วรรคหนึ่ง ศาลล่างวางโทษจำเลยตามมาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 ซึ่งเป็นบทแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 69 วรรคสามและวรรคสี่ด้วยนั้นไม่ถูก ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเป็นไม่ปรับบทลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่2) พ.ศ.2528 มาตรา 6.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1445/2530 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวผิดหลายบท ลักทรัพย์-วิ่งราวทรัพย์: เลือกใช้บทลงโทษหนักที่สุด
จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์โดยการฉกฉวย ซึ่งหน้า เป็นการร่วมกันลักทรัพย์ตั้งแต่สองคนขึ้นไปตาม ป.อ. มาตรา 335(7) บทหนึ่งและเป็นการวิ่งราวทรัพย์ตาม ป.อ. มาตรา 336 วรรคแรกอีกบทหนึ่งเป็นการกระทำผิดกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้บทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 90 ความผิดตาม มาตรา 336 วรรคแรกและมาตรา 335(7) มีอัตราโทษขั้นสูงเท่ากัน แต่มาตรา 335(7) มีโทษขั้นต่ำด้วย จึงต้องใช้มาตรา 335(7) เป็นบทลงโทษ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1424/2530
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขบทลงโทษและกำหนดโทษในคดีเด็กและเยาวชน มิใช่การลงโทษ จึงไม่ขัดต่อการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งเป็นเยาวชนมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคแรก,279 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 277 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนัก ลงโทษจำคุกจำเลย 4 ปี เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277วรรคแรก ประกอบกับมาตรา 80 ลงโทษจำคุกจำเลย 2 ปี 4 เดือน เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง กรณีเป็นการแก้บทลงโทษและกำหนดโทษแม้จะเป็นการแก้ไขมากแต่การที่ศาลทั้งสองเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลาง มิใช่การลงโทษ ถือมิได้ว่าศาลทั้งสองพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยเกิน 1 ปี จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219ประกอบกับพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลคดีเด็กและเยาวชน พ.ศ. 2494 มาตรา29.