พบผลลัพธ์ทั้งหมด 790 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1723/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รอการลงโทษจำคุกและโทษปรับ: พิจารณาจากพฤติการณ์ความผิด, ประวัติผู้กระทำผิด, และผลกระทบของโทษ
จำเลยที่ 1 เพียงแต่มีเครื่องวิทยุโทรคมนาคมโดยไม่ได้ รับอนุญาตให้มีและใช้จากทางราชการเท่านั้น ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าเครื่องวิทยุโทรคมนาคมของกลางเป็นเครื่องที่สามารถ ดักฟังข่าวสารราชการที่เป็นความลับของชาติได้ ประกอบกับ จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน จึงมีเหตุอันสมควร รอการลงโทษจำคุกไว้ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษศาลอุทธรณ์รอการลงโทษจำคุกไว้ แต่ลงโทษปรับ เพิ่มขึ้นอีกสถานหนึ่งด้วย มีผลให้จำเลยที่ 1 ยังไม่ต้องรับโทษจำคุก โทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนดจึงเบากว่าโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนด จึงไม่เป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 134/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พฤติการณ์ทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย พยานหลักฐานบ่งชี้เจตนาฆ่า เข้าข่ายความผิดฐานพยายามฆ่า
จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ไม้ท่อนคนละท่อนซึ่งมีขนาดยาวประมาณ1 เมตร เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 นิ้ว ตีทำร้ายผู้เสียหายทั้งสองในขณะที่ผู้เสียหายที่ 2 กำลังขับรถจักยานยนต์โดยมีผู้เสียหายที่ 1 และ ย.นั่งซ้อนท้าย จนรถจักรยานยนต์ที่ผู้เสียหายที่ 2 ขับล้มลง ผู้เสียหายที่ 1 หลบหนีไปได้ ส่วนผู้เสียหายที่ 2 ถูกรุมตีอีกหลายทีที่บริเวณศีรษะ ใบหน้า ลำตัว และหัวไหล่ขวา จนหมดสติ และกระดูกแขนข้างขวาหัก บาดแผลและกระดูกแขนขวาของผู้เสียหายที่ 2 ต้องใช้เวลารักษาประมาณ 60วัน หากผู้เสียหายที่ 2 ไม่ได้รับการรักษาให้ทันท่วงทีอาจถึงแก่ความตายได้ แสดงว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันตีผู้เสียหายที่ 2 อย่างแรง ประกอบกับขณะที่ตีทำร้ายผู้เสียหายที่ 2จำเลยทั้งสองพูดว่าตีให้ตาย พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 2 ร่วมกระทำไปแสดงว่าจำเลยที่ 2มีเจตนาฆ่าผู้เสียหายที่ 2 เมื่อผู้เสียหายที่ 2 ไม่ถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้เสียหายที่ 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7643/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเลิกจ้างโดยพฤติการณ์ การจ่ายค่าจ้างและให้ขนย้ายทรัพย์สินถือเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย
กรรมการผู้มีอำนาจของจำเลย พูดกับโจทก์ที่ 1 ว่าโจทก์ทั้งสองมีเงินเดือนสูงถ้าจะลดค่าจ้างจะอยู่ได้หรือไม่และให้โจทก์ทั้งสองขนย้ายทรัพย์ออกไปจากบริษัทจำเลยในตอนเย็นของวันที่พูด กับได้จ่ายค่าจ้างถึงวันดังกล่าวให้โจทก์ทั้งสองด้วย พฤติการณ์ถือได้ว่า จำเลยไม่ให้โจทก์ทั้งสองทำงานต่อไปและไม่จ่ายค่าจ้างให้เป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานข้อ 46 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6840/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลดโทษประหารชีวิตตามมาตรา 52(2) ต้องพิจารณาความร้ายแรงของพฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป
การลดโทษประหารชีวิตให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 52(2) ศาลจะลดเป็นโทษจำคุกตลอดชีวิตหรือโทษจำคุก ตั้งแต่ 25 ปี ถึง 50 ปี ก็ได้ เป็นดุลพินิจของศาลตามพฤติการณ์แห่งความร้ายแรงของแต่ละคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6673/2541 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบอกเล่าจำเลยประกอบพฤติการณ์แวดล้อมเป็นหลักฐานรับฟังได้ในการพิสูจน์ความผิดฐานลักทรัพย์
แม้การที่จำเลยแจ้งแก่ ช.และสิบตำรวจตรี ท.ว่า จำเลยไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไป แต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของจำเลยก็ตาม แต่คำบอกเล่าของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวร้ายเสียประโยชน์และไม่เป็นคุณแก่ตน ย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นได้ การที่จำเลยนำสิบตำรวจตรี ท.ไปจับกุม ส. แล้วต่อมา ส.ให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้ว พฤติการณ์ที่จำเลยเดินใกล้ที่เกิดเหตุและรับว่าช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ไปจากที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับ ส.ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6673/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การร่วมกันลักทรัพย์: พฤติการณ์รับว่าช่วยถอดทรัพย์สิน, การจับกุมผู้ร่วมกระทำผิด, และคำรับสารภาพมีน้ำหนักรับฟัง
แม้การที่จำเลยแจ้งแก่ ช.และสิบตำรวจตรีท. ว่าจำเลยไม่ได้เป็นคนเอาเครื่องรับโทรทัศน์ไป แต่เป็นคนช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ออกมาจะเป็นเพียงคำบอกเล่าของจำเลยก็ตาม แต่คำบอกเล่าของจำเลยดังกล่าวเป็นการกล่าวร้ายเสียประโยชน์และไม่เป็นคุณแก่ตน ย่อมมีน้ำหนักที่จะรับฟังประกอบพฤติการณ์แวดล้อมอื่นได้การที่จำเลยนำสิบตำรวจตรีท.ไปจับกุมส.แล้วต่อมาส. ให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาลงโทษไปแล้วพฤติการณ์ที่จำเลยเดินใกล้ที่เกิดเหตุและรับว่าช่วยถอดเครื่องรับโทรทัศน์ไปจากที่เกิดเหตุ ฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับส. ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6520/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์เจตนาจำหน่ายยาเสพติด: จำนวนยาเสพติดและพฤติการณ์ประกอบสำคัญกว่าปริมาณ
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 19 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำพยานเข้าเบิกความต่อศาลเพื่อให้เห็นสมจริงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ เพื่อจำหน่าย การที่ของกลางที่ยึดได้มีเป็นจำนวนมากจะสันนิษฐานว่าจำเลยมีของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ได้ แม้เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมดจะมีจำนวน 19 เม็ด แต่ก็มีน้ำหนักรวมเพียง 1.854 กรัม โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็น ว่าจำเลยจำหน่าย จ่าย แจก หรือมีไว้ซึ่งของกลางเพื่อจำหน่าย ทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์ใด ๆ ที่แสดงว่า จำเลยมี เมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงยกประโยชน์ แห่งความสงสัยในส่วนนี้ให้จำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟัง ได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืน กฎหมายอันเป็นความผิดซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลมีอำนาจที่จะ ลงโทษในความผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 554/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
วางแผนฆ่าโดยไม่มีสาเหตุโกรธเคือง พฤติการณ์เชื่อได้ว่าเตรียมการมาล่วงหน้า
การที่จำเลยไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับผู้เสียหายมาก่อนแต่จำเลยขับรถจักรยานยนต์ติดตามผู้เสียหายมา แล้วขอยืมแผนที่ระวางที่ดินจากผู้เสียหายตามที่ผู้ใหญ่ ส.ใช้ไหว้วานครั้นผู้เสียหายบอกให้จำเลยตามไปเอาแผนที่ดังกล่าวที่บ้านของผู้เสียหาย จำเลยกลับใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหายถึง 3 นัดทันทีในระยะใกล้ทั้งที่มิได้ทะเลาะวิวาทหรือโต้เถียงกันแต่อย่างใด พฤติการณ์เช่นนี้แสดงว่าจำเลยได้วางแผนฆ่าผู้เสียหายมาก่อนแล้ว แต่เนื่องจากผู้เสียหายรู้ตัวและหลบทันกระสุนปืนที่จำเลยยิงจึงถูกผู้เสียหายเพียง 1 นัด ทำให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่การ เกิดบาดแผลที่บริเวณหัวไหล่ขวาไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5506/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. เจตนาฆ่า: การพิจารณาจากพฤติการณ์และอาวุธที่ใช้
จำเลยฟันผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวโดยมีสาเหตุมาจากจำเลยด่าว่าผู้เสียหายและถามว่าไปเอาตู้กับข้าวของใครมาผู้เสียหายบอกให้จำเลยดูให้ดีเสียก่อนสาเหตุเพียงเท่านี้มิใช่สาเหตุร้ายแรงถึงกับจะต้องเอาชีวิตกัน ทั้งได้ความว่าม. ได้เข้าห้ามจำเลยก็เชื่อฟัง นอกจากนี้มีดที่จำเลยใช้เป็นอาวุธก็เป็นมีดทำครัวทั้งใบมีดและด้ามมีความยาวเพียงประมาณ 1 ฟุต ถือไม่ได้ว่าเป็นมีดขนาดใหญ่ บาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับก็มีขนาดเพียง 1 คูณ 5 เซนติเมตร ไม่ปรากฏว่ากระดูกแขนบริเวณที่ถูกฟันแตกหรือหักแต่อย่างใด ฟังไม่ได้ว่าจำเลยฟันโดยแรง ส่วนที่จำเลยพูดว่ามึงตายเสียเถอะอย่าอยู่เลย นั้น ก็น่าจะเกิดจากความโมโหที่ทะเลาะกันและน่าจะเป็นเพียงการข่มขู่มากกว่าที่จะประสงค์ทำตามนั้นจริงพฤติการณ์ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า คงฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเจตนาทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5080/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การตรวจค้นและการได้มาซึ่งของกลาง: พฤติการณ์ที่ไม่พิรุธและการรับฟังพยานหลักฐาน
พฤติการณ์ที่เจ้าพนักงานตำรวจให้จำเลยหยิบสิ่งของผิดกฎหมายออกมาจากกระเป๋ากางเกงของจำเลยโดยที่ตนไม่ตรวจค้นเสียเอง นับเป็นการกระทำที่รอบคอบ อันเป็นการป้องกันข้อกล่าวหาเรื่องเจ้าพนักงานตำรวจกลั่นแกล้งผู้ถูกจับอันอาจเกิดขึ้นได้ อีกทั้งสิ่งของผิดกฎหมายดังกล่าวจำเลยก็ไม่จำต้องขว้างทิ้งหรือทำลายเสียก่อนถูกจับเสมอไปเพราะเป็นเหตุผลส่วนตัวของผู้กระทำความผิดแต่ละรายซึ่งไม่เหมือนกัน พฤติการณ์ดังกล่าวจึงไม่เป็นพิรุธแก่ คดีโจทก์ บันทึกการจับกุมเป็นเอกสารราชการซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจเป็นผู้จัดทำขึ้นไม่มีบทบัญญัติหรือกฎข้อบังคับใดกำหนดให้ผู้ต้องหาลงชื่อกำกับในกรณีมีการตกเติมข้อความในบันทึกดังกล่าว ประกอบกับพยานโจทก์ผู้จับกุมจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติราชการไปตามหน้าที่ อันถือเสมือนว่าเป็นพยานคนกลาง จึงไม่มีข้อระแวงสงสัยในพฤติการณ์ว่าจะบิดเบือนความจริงหรือดำเนินการในทางที่เป็นผลร้ายแก่จำเลย พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมาฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิด