คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลล่าง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 160 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง: การโต้เถียงดุลพินิจชั่งน้ำหนักพยานของศาลล่างไม่อาจฎีกาได้
การฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักคำพยานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับฟัง เนื่องจากศาลล่างทั้งสองยกฟ้องโดยอ้างอิงข้อเท็จจริง แม้ฟังต่างกัน จึงห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครอง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาร้าย ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยและผู้เสียหายต่างคนต่างสมัครใจไปหางานทำด้วยกัน จำเลยไม่ได้เป็นผู้พรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1229/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาห้ามในปัญหาข้อเท็จจริง แม้ศาลล่างฟังข้อเท็จจริงต่างกัน หากมีคำพิพากษายกฟ้อง
คดีพรากเด็กไปเสียจากผู้ปกครอง ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาร้าย ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยและผู้เสียหายต่างคนต่างสมัครใจไปหางานทำด้วยกัน จำเลยไม่ได้เป็นผู้พรากผู้เสียหายไปจากผู้ปกครอง ดังนี้ เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโดยอาศัยข้อเท็จจริง แม้จะฟังข้อเท็จจริงต่างกัน ก็ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 45/2507 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน: ศาลฎีกาเน้นยึดข้อเท็จจริงที่ศาลล่างฟังเป็นยุติในคดีอาญา แม้จำเลยโต้แย้งสิทธิในที่ดิน
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบุกรุกที่ดินของโจทก์ ซึ่งมีราคา 6 หมืนกว่าบาท และทำลายทรัพย์สินในที่ดินนั้น ขอให้ลงโทษและขับไล่จำเลย จำเลยปฏิเสธว่ามิได้บุกรุกและทำให้เสียทรัพย์กับต่อสู้ว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลชั้นต้นฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยกระทำผิดจริง พิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 363 และ358 ปรับ 550 บาท และให้ขับไล่จำเลยกับให้ใช้ค่าเสียหาย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะว่าให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 363 แต่บทเดียวปรับ 500 บาท นอกจากที่แก้นี้คงยืนตามคำพิพากษาศษลชั้นต้น ดังนี้ ่ข้อที่จำเลยฎีกาต่อมาว่า จำเลยโต้แย้งสิทธิที่ดินพิพาทในทางแพ่งมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้อง ไม่เป็นการบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญาเพราะขาดเจตนานั้น ย่อมเป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งศาลล่างฟังมาแล้วว่าจำเลยมีเจตนาบุกรุก จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ส่วนข้อที่จำเลยฎีกาในทางแพ่งว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย แม้จะเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่ประเด็นนี้ ในคดีส่วนอาญา ศาลล่างก็ฟังเป็นยุติแล้วว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลฎีกาจึงต้องฟังข้อเท็จจริงว่าเป็นเช่นนั้นด้วย ไม่มีทางฟังเป็นอย่างอื่นไปได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1589/2506

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดในการยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นอุทธรณ์และฎีกา หากมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลล่าง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยกล่าวว่าสัญญาเช่าสิ้นอายุและได้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยแล้ว จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลย คำบอกกล่าวท้ายฟ้องหากมีจริงก็เป็นเอกสารทำขึ้นโดยมิชอบในภายหลัง ดังนี้ จำเลยหาได้ต่อสู้ว่าโจทก์ได้บอกกล่าวจำเลย แต่เป็นการบอกกล่าวที่ไม่ให้โอกาสจำเลยรู้ตัวก่อนระยะเวลาเก็บค่าเช่าระยะหนึ่งไม่ เมื่อจำเลยมิได้ต่อสู้ไว้ดังนั้นจำเลยจะยกขึ้นเป็นข้ออุทธรณ์หรือฎีกาไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225,249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2499 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หลังศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงในคดีอาญาแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บ ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัยพ์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม ก.ม.อาญา ม.254 จำคุก 2 ปี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดทั้งสองฐานพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์ เช่นนี้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง(ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์) ต่อไปไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 494/2499

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม หากศาลล่างวินิจฉัยข้อเท็จจริงแล้ว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปล้นทรัพย์และทำร้ายเจ้าทรัพย์บาดเจ็บขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยผิดฐานทำร้ายร่างกายตาม กฎหมายอาญา มาตรา254 จำคุก 2 ปีศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อเท็จจริงไม่พอฟังว่าจำเลยได้กระทำผิดทั้งสองฐานพิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เช่นนี้โจทก์จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (ขอให้ลงโทษฐานปล้นทรัพย์) ต่อไปไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 129-130/2498

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแก้ไขคำพิพากษาศาลฎีกาที่ผิดพลาด เพื่อให้ถูกต้องตามคำพิพากษาศาลล่างในเรื่องการลดโทษ
คดีที่จำเลยฎีกาฝ่ายเดียวและศาลฎีกามีคำพิพากษาไปแล้วแต่ต่อมาปรากฏว่าจำเลยในคดีนั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีความผิดและพิพากษายืนตามศาลล่างทั้งบทและกำหนดโทษไม่มีคำวินิจฉัยเปลี่ยนแปลงเรื่องการลดโทษ แต่ได้เขียนผิดพลาดตกข้อความที่ลดโทษให้จำเลยดังที่ศาลล่างพิพากษามาเสียศาลฎีกาย่อมมีคำพิพากษาเพิ่มเติมแก้ไขการเขียนผิดพลาดนั้นเสียให้ถูกต้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1740/2493

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีอาญาและแพ่งปนกัน ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงสอดคล้องกับศาลล่างในส่วนอาญา แม้ฎีกาเฉพาะแพ่ง
โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยยักยอกทรัพย์ ขอให้ลงโทษทางอาญาและเรียกทรัพย์คืนมีราคา เกิน 2,000 บาท ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยผิดสัญญาทางแพ่งไม่ผิดฐานยักยอก จึงพิพากษาให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ดังนี้คดีส่วนอาญาย่อมถือว่ายุติ คู่ความคงฎีกาได้เฉพาะคดีส่วนทางแพ่งเท่านั้น และในการพิจารณาคดีส่วนแพ่งในชั้นฎีกานี้ ศาลฎีกาย่อมต้องฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลล่างที่ได้ฟังไว้ในคดีส่วนอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1020/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การวินิจฉัยข้อสำคัญของคำเบิกความเท็จในคดีอาญา: ศาลล่างวินิจฉัยแล้วฎีกาไม่รับ
การที่จะวินิจฉัยว่าถ้อยคำที่เบิกความเท็จจะเป็นข้อสำคัญหรือไม่นั้น ย่อมต้องพิจารณาประเด็นในคดีที่ผู้นั้นเบิกความประกอบเมื่อศาลล่าง 2 ศาลฟังว่าข้อความที่ผู้นั้นเบิกความเท็จไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีแล้ว การเป็นข้อสำคัญหรือไม่สำคัญย่อมเป็นข้อเท็จจริง
of 16