คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อันตราย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 147 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 646/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าของบ้านต้องรับผิดเมื่อประมาทเลินเล่อทำให้เพื่อนบ้านได้รับบาดเจ็บ แม้เหตุเกิดในบ้านตน
จำเลยปล่อยกระแสไฟฟ้าไว้ที่ลวดหนามซึ่งขึงอยู่ด้านในของเสารั้วภายในเขตบ้านจำเลย โดยมีรั้วไม้ไผ่ที่ด้านนอกของเสา แต่รั้วไม้ไผ่ชำรุดโจทก์อยู่บ้านติดต่อกับจำเลยเอื้อมมือไปเก็บผ้าซึ่งปลิวไปติดรั้วบ้านจำเลยมือไปถูกลวดหนาม ถูกกระแสไฟฟ้าดูดได้รับบาดเจ็บ ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานละเมิด
กระทำละเมิดต่อผู้อื่นโดยประมาทเลินเล่อ แม้จะทำภายในบริเวณบ้านของตนผู้กระทำก็ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของการไฟฟ้าต่ออันตรายจากสายไฟฟ้าในที่ดินส่วนบุคคล
สายไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ ช. เป็นสายไฟฟ้าภายในช่วงที่ต่อจากหม้อวัดไฟเข้าไปยังบ้านของ จ. ผู้ขอใช้ไฟ และอยู่ในเขตที่ดินของ จ. และทางเดินที่ ช. เดินไปก็มิใช่ทางสาธารณะเพราะเป็นทางเดินตามคันสวนในที่ดินส่วนบุคคลที่เจ้าของที่ดินมิได้หวงห้ามกีดกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้เดินผ่านไปมาในที่ของตนดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าสายไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสองจำเลย (การไฟฟ้านครหลวง) จึงไม่ต้องรับผิดสำหรับการตายของ ช.เนื่องจากถูกกระแสไฟฟ้าดูด (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1659/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตความรับผิดของการไฟฟ้าฯ ต่ออันตรายจากสายไฟฟ้าในที่ดินส่วนบุคคล
สายไฟฟ้าที่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ ช. เป็นสายไฟฟ้าภายในช่วงที่ต่อจากหม้อวัดไฟเข้าไปยังบ้านของ จ. ผู้ขอใช้ไฟ และอยู่ในเขตที่ดินของ จ. และทางเดินที่ ช. เดินไปก็มิใช่ทางสาธารณะเพราะเป็นทางเดินตามคันสวนในที่ดินส่วนบุคคลที่เจ้าของที่ดินมิได้หวงห้ามกีดกันมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้เดินผ่านไปมาในที่ของตนดังนั้น จึงถือไม่ได้ว่าสายไฟฟ้าซึ่งเป็นทรัพย์อันเป็นของเกิดอันตรายได้โดยสภาพนั้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 437 วรรคสอง จำเลย (การไฟฟ้านครหลวง) จึงไม่ต้องรับผิดสำหรับการตายของ ช. เนื่องจากถูกกระแสไฟฟ้าดูด (ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 31/2513)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวที่พอสมควรแก่เหตุ เมื่อถูกทำร้ายก่อนและมีเหตุอันตรายใกล้จะถึง
ฝ่ายผู้ตายได้มาเรียกจำเลยไปหา แล้วพวกผู้ตายฟันข้างหลังจำเลย 1 ที แล้วผู้ตายฟันหลังจำเลยอีก 1 ที จำเลยหันไปเห็นผู้ตายถือดาบจ้องจะฟันซ้ำอีก จำเลยจึงแทงไปทางผู้ตาย 1 ที ถูกที่หน้าอกถึงแก่ความตาย ดังนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวแต่พอสมควรแก่เหตุ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพยายามทำร้ายผู้อื่น vs. พยายามฆ่า: การประเมินอันตรายที่เกิดจากการกระทำที่เสี่ยง
จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวงมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหายจนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลบไปจนเกือบตกถนนนั้น หากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ เห็นผลได้ชัดว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น และไม่จำต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่ แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขน หรือ 1 เมตร ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหายๆก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนนอีกราว 1 ศอก ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้ เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ดังนี้ จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,80
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358 การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้ว และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1003/2512

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาพยายามทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ การกระทำที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ไม่สำเร็จ
จำเลยขับรถแซงรถผู้เสียหายขึ้นไปด้วยความเร็ว แล้วหักพวงมาลัยให้ท้ายรถจำเลยปัดหน้ารถผู้เสียหายจนรถยนต์ผู้เสียหายแฉลบไปจนเกือบตกถนนนั้น.หากถนนตรงนั้นเป็นที่สูงหรืออยู่หน้าผาสูงชันย่อมเล็งเห็นผลได้ว่า. ถ้ารถคว่ำลงไปแล้วทั้งรถและคนย่อมถึงซึ่งความพินาศ. เห็นผลได้ชัดว่าผู้เสียหายย่อมได้รับอันตรายถึงชีวิต. ดังนั้น แม้รถยนต์ผู้เสียหายจะไม่ตกถนนลงไป จำเลยก็มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น. และไม่จำต้องคำนึงถึงว่าคนนั่งภายในรถจะมีตัวรถป้องกันหรือไม่. แต่เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าถนนตรงที่เกิดเหตุสูงจากพื้นนาประมาณ 1 แขนหรือ 1 เมตร. ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายขับรถอยู่ในอัตราความเร็ว 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง. เมื่อถูกจำเลยเอาท้ายรถปาดหน้ารถผู้เสียหายๆก็แตะเบรครถหยุดทันที และเครื่องดับเอง. ล้อรถด้านซ้ายยังห่างขอบถนนอีกราว 1ศอก. ผู้เสียหายไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด. จึงถือว่าจำเลยมีเจตนาพยายามฆ่าผู้เสียหายให้ถึงตายยังไม่ได้.เพราะถึงหากรถยนต์ผู้เสียหายจะตกลงไปโดยผู้เสียหายนั่งอยู่ภายในตัวรถก็ไม่แน่ว่าจะถึงตาย. แต่ก็พอคาดหมายได้ว่าอย่างน้อยผู้เสียหายย่อมได้รับการกระทบกระแทกเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บ. ซึ่งจำเลยก็น่าจะเล็งเห็นผลอันจะเกิดแก่ผู้เสียหายได้ดังนี้. จำเลยจึงมีความผิดฐานพยายามทำร้ายผู้เสียหายเป็นอันตรายถึงบาดเจ็บตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295,80.
จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 ประกอบด้วยมาตรา 80 และมาตรา 358. การกระทำของจำเลยจึงเป็นกรรมเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท. ตามมาตรา 90 ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษจำเลย. แต่เมื่อศาลอุทธรณ์ได้ใช้บทมาตรา 358 ฐานทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งมีโทษหนักที่สุดลงโทษมาแล้ว.และฎีกาของโจทก์มิได้ขอให้ลงโทษจำเลยให้หนักขึ้นอีก. จึงแก้โทษจำเลยไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 541/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวที่พอสมควรแก่เหตุ แม้ต้องใช้อาวุธมีดเพื่อป้องกันอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต
ผู้ตายก่อเหตุขึ้นก่อน เมื่อถูกจำเลยต่อว่าและสงสัยว่าผู้ตายลักปลา โดยได้ด่าว่าจำเลยและแสดงอาการจะเข้าทำร้ายจำเลยแม้จำเลยถ่อเรือหนีผู้ตายถ่อเรือไล่ตามจะทำร้ายจำเลยอีกครั้นตามไปทันผู้ตายได้ใช้ไม้ถ่อยาวประมาณ 1 วาเศษตีจำเลยก่อนจำเลยยกไม้ถ่อขึ้นรับผู้ตายตีจำเลยอีกประมาณ 20 ที จำเลยจึงตีตอบไปบ้างขณะตีกันจำเลยถูกผู้ตายตีที่ศีรษะด้านบนบวมปูดถูกหลังมือและนิ้วบวม หนังถลอกและเมื่อผู้ตายตกลงไปยืนในน้ำซึ่งตั้งหลักได้ดีกว่าอยู่บนเรือได้ตีจำเลยอีกอย่างรุนแรงจนปลายไม้ถ่อของจำเลยหักหลุดกระเด็น และตีจำเลยจนเรือจำเลยล่ม จำเลยตกลงไปในน้ำถ่อหลุดจากมือ จำเลยจึงหยิบมีดสปริงซึ่งใบมีดยาวเท่านิ้วชี้ออกจากกระเป๋ากางเกงที่มีอยู่แทงผู้ตายไปดังนี้เมื่อผู้ตายก่อเหตุขึ้นก่อนทั้งจำเลยไม่มีโอกาสจะหลีกเลี่ยงจากการถูกทำร้ายได้และไม่มีโอกาสจะเลือกอาวุธอื่นใดมาใช้ได้ทันการที่จำเลยแทงผู้ตายก็เพราะขณะนั้นจำเลยกำลังตกอยู่ในระหว่างภยันตรายร้ายแรงซึ่งเกิดเฉพาะหน้าอันเป็นเวลากระทันหันและพัวพันกันอยู่ถ้าจำเลยไม่แทงผู้ตายจำเลยอาจถูกผู้ตายใช้ไม้ถ่อตีและแทงทำร้ายถึงตายได้ พฤติการณ์ดังกล่าวมีเหตุผลอันสมควร การกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตัวที่พอสมควรแก่เหตุโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา68

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การป้องกันตัวทางอาญา: การกระทำเพื่อปกป้องตนเองจากอันตรายที่เกิดจากการถูกทำร้าย
ผู้เสียหายเข้ามาชกจำเลยก่อน เมื่อจำเลยล้มลง ผู้เสียหายได้เงื้อมือเข้าไปจะแทงจำเลย จำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิง การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ ไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึงลวดไฟฟ้าในบ้านและการป้องกันสิทธิ: ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหารซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ ทั้งเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย มีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เมื่อจำเลยขึงลวดเส้ยเดียวและเล็กไว้ในบริเวณบ้านและปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้น เมื่อเวลาจวนสว่างผู้ตายเข้าไปในเขตรั้วบ้านจำเลย และมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่มีเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 32/2510

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขึงลวดไฟฟ้าอันตรายและการป้องกันสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย การกระทำดังกล่าวไม่ถือเป็นการป้องกันสิทธิ
ผู้ตายเรียนหนังสืออยู่ที่วัดละหารซึ่งจำเลยเป็นครูอยู่ทั้งเป็นเด็กหญิงและเป็นหลานของจำเลย มีบ้านอยู่ติดกับบ้านของจำเลย เมื่อจำเลยขึงลวดเส้นเดียวและเล็กไว้ในบริเวณบ้านและปล่อยกระแสไฟฟ้าให้แล่นไปตามลวดนั้นเมื่อเวลาจวนสว่างผู้ตายเข้าไปในเขตรั้วบ้านจำเลยและมาถูกสายไฟฟ้าของจำเลยเข้าถึงแก่ความตาย ดังนี้ จึงถือไม่ได้ว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นการป้องกันสิทธิของตนโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยจึงมีความผิดฐานทำให้คนตายโดยไม่มีเจตนา
of 15