พบผลลัพธ์ทั้งหมด 703 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4478/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเบิกความเท็จเกี่ยวกับสิทธิในที่ดินเพื่อครอบครองปรปักษ์เป็นข้อสำคัญในคดีอาญา
คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา218วรรคหนึ่งศาลฎีกาสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสามเฉพาะข้อกฎหมายเมื่อคดีนี้เป็นคดีที่ฎีกาได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายการวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค3ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน ในคดีมีข้อพิพาทความเท็จที่จะถือเป็นข้อสำคัญในคดีจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้คู่ความต้องแพ้ชนะกันในประเด็นแห่งคดีหรือในคดีไม่มีข้อพิพาทความเท็จนั้นจะต้องเป็นความเท็จที่อาจทำให้ศาลเชื่อและสั่งให้ตามคำร้องขอซึ่งการที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดและมีคำสั่งว่าที่ดินตามคำร้องขอเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์และระยะเวลาแห่งการครอบครองย่อมเป็นข้อสำคัญในคดีการที่จำเลยทั้งสามเบิกความว่าเจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมในที่ดินทั้งสามคนต่างมีการแบ่งแยกการครอบครองเป็นส่วนสัดซึ่งบุคคลทั้งสามถึงแก่ความตายไปประมาณ10ปีแล้วก่อนถึงแก่ความตายบุคคลทั้งสามยกที่ดินส่วนดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสามโดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือเพียงแต่มอบโฉนดที่ดินให้แก่จำเลยทั้งสามหลังจากนั้นจำเลยทั้งสามได้ทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมาโดยการครอบครองด้วยความสงบเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลา10ปีเศษไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านดังนี้หากศาลเชื่อว่าเป็นความจริงดังที่จำเลยทั้งสามเบิกความต่อศาลย่อมเป็นเหตุให้ศาลสั่งแสดงว่าที่ดินดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทั้งสามผู้ร้องโดยการครอบครองปรปักษ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1382ความเท็จที่จำเลยทั้งสามเบิกความดังกล่าวจึงเป็นข้อสำคัญในคดีที่จำเลยทั้งสามร้องขอให้ศาลสั่งแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้นการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการเบิกความอันเป็นเท็จซึ่งเป็นข้อสำคัญในคดีในการพิจารณาคดีต่อศาลอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา177วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4447/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องอาญาเช็คต้องระบุรายละเอียดหนี้ที่ชัดเจนและมีหลักฐานประกอบ
โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยออกเช็คเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมโดยมิได้บรรยายว่าหนี้ดังกล่าวเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายทั้งโจทก์มิได้แนบสำเนาสัญญากู้ยืมมาท้ายฟ้อง คำฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2755/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตนเองทางอาญา: การใช้กำลังเพื่อยับยั้งการทำร้ายจากผู้ถูกทำร้าย
ผู้เสียหายใช้ไม้ท่อนยาวประมาณ1ศอกขว้างถูกจำเลยจนจำเลยตกลงไปในสระน้ำแล้ววิ่งเข้าหาจำเลยใช้ไม้ตีซ้ำอีกในขณะที่จำเลยกำลังขึ้นจากสระน้ำจำเลยก็ชอบที่จะกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อป้องกันตนเองให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายและเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึงโดยพอสมควรแก่เหตุได้ฉะนั้นการที่จำเลยใช้อาวุธแทงทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย3ครั้งเพื่อยับยั้งมิให้ผู้เสียหายใช้ไม้ท่อนตีทำร้ายร่างกายจำเลยอีกต่อไปไม่ว่าอาวุธที่จำเลยใช้แทงผู้เสียหายเป็นอาวุธมีดดังที่โจทก์นำสืบหรือเป็นใบเลื่อยดังที่จำเลยอ้างแต่เมื่อเปรียบเทียบกับไม้ท่อนที่ผู้เสียหายใช้ตีทำร้ายร่างกายจำเลยแล้วเป็นกระทำไปพอสมควรแก่เหตุการกระทำของจำเลยจึงเป็นการป้องกันตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา68จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 94/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับสารภาพและการพิสูจน์ความผิดทางอาญา: โจทก์ต้องสืบพยานแม้จำเลยรับสารภาพ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายเมทแอมเฟตามีนอันเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.วัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ, 62,89, 106 ทวิ ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสี่แสนบาท เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง แม้จำเลยมีอายุ16 ปีเศษ และถ้าศาลเห็นว่าสมควรพิพากษาลงโทษก็ให้ลดมาตราส่วนโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดลงกึ่งหนึ่งตาม ป.อ.มาตรา 75 ก็ตาม ก็ยังคงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำผิดของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7795/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนเด็กหญิงโดยบิดาเลี้ยง: อำนาจปกครองทางกฎหมายและบทบัญญัติอาญามาตรา 285
จำเลยมิใช่บิดาเด็กหญิงม. โดยเด็กหญิงม. เป็นบุตรติดป. มาแล้วป. อยู่กินเป็นสามีภริยากับจำเลยฉะนั้นอำนาจปกครองเด็กหญิงม. จึงตกอยู่แก่ป. มารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1568หาใช่อยู่ในความปกครองของจำเลยซึ่งเป็นบิดาเลี้ยงไม่และคำว่า"ผู้อยู่ในความปกครอง"ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญามาตรา285หมายถึงความปกครองตามที่กฎหมายบัญญัติไว้มิใช่เป็นความปกครองโดยพฤตินัยจำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงม.จึงไม่ต้องรับโทษหนักขึ้นตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา285
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 722/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด: ครอบครอง, เสพ, และโทษทางอาญา
โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15วรรคหนึ่ง, 26 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 67, 76 วรรคหนึ่ง, 91, 92เป็นความผิดหลายกรรม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง จำคุก 2 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก6 เดือน ฐานเสพเฮโรอีนและกัญชา จำคุก 1 ปี รวมโทษจำคุก 3 ปี 6 เดือนลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลย 1 ปี9 เดือน ของกลางริบ จำเลยอุทธรณ์ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานมีกัญชาไว้ในครอบครอง จำคุก 3 เดือน และปรับ 1,000 บาท รวมโทษจำคุก 2 ปี 3 เดือนและปรับ 1,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 1 ปี 1 เดือน 15 วัน และปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น ความผิดฐานเสพเฮโรอีนและกัญชาศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2166/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยอมความแลกเปลี่ยนเช็คทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับเช็คเดิมระงับ
การที่ผู้เสียหายยอมรับเช็คจำนวน25ฉบับเป็นการ แลกเปลี่ยนกับเช็คพิพาทโดยยอมคืนเช็คพิพาทแก่จำเลยที่1แต่ยังไม่อาจคืนให้ในขณะรับเช็ค25ฉบับและผู้เสียหายนำเช็คบางฉบับของจำนวน25ฉบับไปเรียกเก็บเงินแล้วแสดงว่าผู้เสียหายตกลงเข้าถือสิทธิตามเช็คดังกล่าวและสละสิทธิหรือไม่ยึดถือสิทธิใดๆที่มีอยู่ในเช็คพิพาทอีกต่อไปรวมทั้งสิทธิที่จะดำเนินคดีอาญาเอากับจำเลยที่2ซึ่งเป็นผู้ออกเช็คด้วยข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็คดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการยอมความกันทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องสำหรับเช็คพิพาทระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา39(2) การที่ผู้เสียหายไม่ได้รับเงินตามเช็คจำนวน25ฉบับตามข้อตกลงแลกเปลี่ยนเช็คไม่ทำให้สิทธิดำเนินคดีอาญาในเช็คพิพาทซึ่งระงับไปแล้วเปลี่ยนแปลงไปเพราะผู้เสียหายสามารถที่จะดำเนินคดีแก่ผู้ออกเช็คจำนวน25ฉบับเป็นคดีใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7574/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความตายจากบาดแผลถูกยิงเป็นเหตุโดยตรง แม้มีปัจจัยอื่นเสริม ศาลฎีกาพิพากษาความรับผิดทางอาญา
จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายโดยเจตนาฆ่า ผู้ตายถูกกระสุนที่อกแถบซ้ายด้านข้างระดับราวนม กระสุนปืนทะลุกะบังลมม้าม กระเพาะอาหาร ไขสันหลัง กระสุนฝังอยู่ที่ไขสันหลังแพทย์ผ่าตัดเอาออกไม่ได้ ทำให้ขาทั้งสองข้างเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 84 วัน บาดแผลในช่องท้องหายจึงออกจากโรงพยาบาลไปรักษาตัวที่บ้านเพราะมีบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก เนื่องจากผู้ตายนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจึงทำให้เกิดบาดแผล ผู้ตายถึงแก่ความตายหลังจากออกจากโรงพยาบาลประมาณ 2 เดือน ด้วยสาเหตุระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตล้มเหลว ดังนี้ แม้แพทย์ผู้รักษาผู้ตายจะมิได้ยืนยันว่าเหตุที่ระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตของผู้ตายล้มเหลวจะเกิดจากการที่ผู้ตายเป็นอัมพาต แต่การที่ขาทั้งสองข้างของผู้ตายเป็นอัมพาตเคลื่อนไหวร่างกายท่อนล่างไม่ได้ ผู้ตายต้องนอนนิ่งอยู่กับที่เป็นเวลานานจนทำให้เกิดบาดแผลที่บริเวณหลังและสะโพก ย่อมแสดงให้เห็นว่าสุขภาพของผู้ตายภายหลังจากรักษาบาดแผลในช่องท้องหายแล้วอยู่ในสภาพแย่ มาก และอาการพิการร้ายแรงเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพของร่างกายส่วนอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบหายใจและการไหลเวียน โลหิตอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อีกทั้งผู้ตายก็ถึงแก่ความตายหลังจากถูกยิงประมาณ 4 เดือนเศษอันเป็นช่วงระยะเวลาที่ผู้ตายต้องรักษาตัวสืบเนื่องตลอดมานับแต่ถูกยิง ถือได้ว่าความตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7323/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมสิทธิ์ในรถเช่าซื้อ และความรับผิดทางอาญาของผู้ให้เช่าซื้อ
รถยนต์กระบะของกลางเป็นของผู้ร้อง แม้ต่อมาผู้ร้องจะทำสัญญากับ ป. และส่งมอบรถยนต์ดังกล่าวให้ ป. นำไปใช้ แต่สัญญาที่ผู้ร้องกับ ป. ทำขึ้นตามเอกสารหมาย ร.5 นั้นมีข้อความเห็นได้ชัดว่า เป็นสัญญาเช่าซื้อหาได้เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดไม่รถยนต์กระบะดังกล่าวยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 6 ระบุว่า หากผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน เจ้าของมีสิทธิที่จะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้โดยทันที และทางนำสืบของผู้ร้องที่ว่า ป. ชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดเพียงงวดเดียวแล้วไม่ชำระอีกจนรถยนต์กระบะของกลางถูกริบ อันเป็นการผิดนัดชำระเงินค่าประจำงวดถึงสองงวดติดต่อกัน แต่ผู้ร้องไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา เป็นที่เห็นได้ว่าเพื่อประสงค์จะได้รับเงินค่าเช่าซื้อให้ครบถ้วน ซึ่งผู้เช่าซื้อยังต้องรับผิดจนกว่าสัญญาเช่าซื้อจะสิ้นสุดลงนั้น กรณีดังกล่าวเป็นคนละเรื่องกับความผิดทางอาญา หาถือได้ว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดไม่ ผู้ร้องจึงมีสิทธิขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์กระบะดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6767/2537 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยกฟ้องอาญาเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ และความผิดเกี่ยวพันกัน
ป.วิ.อ. มาตรา 185, 215, 225
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ มาตรา 55, 78 วรรคแรกหรือไม่ และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ได้ด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบ มาตรา 215และ 225
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์มีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยกระทำความผิดต่อ พ.ร.บ. อาวุธปืน ฯ มาตรา 55, 78 วรรคแรกหรือไม่ และยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 371 พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯ มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสอง ได้ด้วยเพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบ มาตรา 215และ 225