พบผลลัพธ์ทั้งหมด 110 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1370/2513
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมีผลผูกพัน แม้จะไม่มีหลักฐานการเบิกเงินเพิ่มเติม และศาลรับฟังเอกสารแม้ไม่ได้ส่งสำเนาให้คู่ความ
ฟ้องกล่าวว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีของโจทก์ไป10,000 บาท สัญญาให้ดอกเบี้ยทุกวันสิ้นเดือน จำเลยที่ 1 ค้างดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2505 ตลอดมา ดังนี้พอเป็นที่เข้าใจฟ้องได้ว่าจำเลยที่ 1 รับเงินตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีไปแล้ว โจทก์จึงได้ฟ้องเรียกทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย เมื่อมีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีหมาย จ.1 เป็นหลักฐานการกู้ยืมอยู่แล้วการเบิกเงินไปแต่ละคราวภายหลังเป็นเรื่องบัญชีเดินสะพัด หาจำต้องมีหลักฐานการกู้เป็นหนังสือเป็นพิเศษอีกชั้นหนึ่งไม่ เพียงแต่จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งธนาคารโจทก์ให้จ่ายเงินไปแล้ว จำเลยก็ต้องรับผิด
คดีมีประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานว่า จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปตามสัญญาหรือไม่และมีการใช้เงินคืนหรือยัง การที่โจทก์อ้างหนังสือรับรองหนี้หมาย จ.4 ก็เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้รับเงินไปแล้วและยังไม่ได้ใช้คืน จึงเป็นการสืบตรงประเด็น ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.4 ให้จำเลยนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) ศาลมีอำนาจรับฟังได้ถ้าเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เมื่อคิดเอาดอกเบี้ยทบเข้าเป็นต้นแล้ว โจทก์ก็ย่อมจะคิดดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยที่กลายสภาพเป็นต้นเงินไปแล้วได้อีก ดังนั้น ในกรณีคิดดอกเบี้ยทบต้น จำนวนดอกเบี้ยอาจเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ ถ้าคิดคำนวณเฉพาะจากต้นเงินเดิม
คดีมีประเด็นตามที่ศาลชั้นต้นชี้สองสถานว่า จำเลยที่ 1 ได้รับเงินไปตามสัญญาหรือไม่และมีการใช้เงินคืนหรือยัง การที่โจทก์อ้างหนังสือรับรองหนี้หมาย จ.4 ก็เพื่อแสดงว่าจำเลยที่ 1 ได้กู้รับเงินไปแล้วและยังไม่ได้ใช้คืน จึงเป็นการสืบตรงประเด็น ส่วนการที่โจทก์ไม่ได้ส่งสำเนาเอกสารหมาย จ.4 ให้จำเลยนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(2) ศาลมีอำนาจรับฟังได้ถ้าเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม
เมื่อคิดเอาดอกเบี้ยทบเข้าเป็นต้นแล้ว โจทก์ก็ย่อมจะคิดดอกเบี้ยจากดอกเบี้ยที่กลายสภาพเป็นต้นเงินไปแล้วได้อีก ดังนั้น ในกรณีคิดดอกเบี้ยทบต้น จำนวนดอกเบี้ยอาจเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ ถ้าคิดคำนวณเฉพาะจากต้นเงินเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ลายมือชื่อในสัญญากู้และการค้ำประกัน, การเบิกเงินเกินบัญชี, และดอกเบี้ย
สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่ทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของธนาคาร และจำเลยได้ลงชื่อในสัญญานั้นด้วย เมื่อศาลได้พิจารณาสัญญาดังกล่าวนี้เปรียบเทียบกันลายเซ็นตัวอย่างที่จำเลยมอบให้ธนาคารไว้ และกับลายเซ็นของจำเลยในใบแต่งทนายแล้ว เชื่อว่าลายเซ็นของบุคคลคนเดียวกัน ประกอบกับมีพยานบุคคลมายืนยันด้วย สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงไม่ใช่สัญญาปลอม
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 50,000 บาท ต่อมาจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีผลักใช้หนี้เป็นคราวๆ ถึงฐานะของจำเลยว่ามีทางจะชำระหนี้ได้ ธนาคารจึงยอมให้เบิกเงินเกินบัญชีสัญญากู้อันเป็นประเพณีของธนาคาร การเบิกเงินเกินกว่านี้ถือว่าเป็นเรื่องของบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยเบิกเงินไปมากกว่าวงเงินที่ทำสัญญากู้ไว้ ต้องรับผิดในยอดเงินที่เกินนั้น ส่วนผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดในวงเงินเท่าที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้เท่านั้น
อายุความใช้สิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่ง เมื่อจำเลยไม่ได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ เรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ธนาคารจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี ทั้งนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้เฉพาะที่ลูกหนี้ยังไม่ได้ผิดนัด เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยตามธรรมดา (ฎีกาที่ 658 - 659/2510)
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 50,000 บาท ต่อมาจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีผลักใช้หนี้เป็นคราวๆ ถึงฐานะของจำเลยว่ามีทางจะชำระหนี้ได้ ธนาคารจึงยอมให้เบิกเงินเกินบัญชีสัญญากู้อันเป็นประเพณีของธนาคาร การเบิกเงินเกินกว่านี้ถือว่าเป็นเรื่องของบัญชีเดินสะพัดซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยเบิกเงินไปมากกว่าวงเงินที่ทำสัญญากู้ไว้ ต้องรับผิดในยอดเงินที่เกินนั้น ส่วนผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดในวงเงินเท่าที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้เท่านั้น
อายุความใช้สิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่ง เมื่อจำเลยไม่ได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ เรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ธนาคารจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี ทั้งนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้เฉพาะที่ลูกหนี้ยังไม่ได้ผิดนัด เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยตามธรรมดา (ฎีกาที่ 658 - 659/2510)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1446/2512 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเงินกู้และค้ำประกัน, การเบิกเงินเกินบัญชี, ดอกเบี้ยทบต้น, อายุความ, และการพิสูจน์ลายมือชื่อ
สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันที่ทำขึ้นโดยเจ้าหน้าที่ของธนาคารและจำเลยได้ลงชื่อในสัญญานั้นด้วย เมื่อศาลได้พิจารณาสัญญาดังกล่าวนี้เปรียบเทียบกับลายเซ็นตัวอย่างที่จำเลยมอบให้ธนาคารไว้และกับลายเซ็นของจำเลยในใบแต่งทนายแล้ว เชื่อว่าเป็นลายเซ็นของบุคคลคนเดียวกัน ประกอบกับมีพยานบุคคลมายืนยันด้วย สัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงไม่ใช่สัญญาปลอม
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 50,000 บาท ต่อมาจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีผลักใช้หนี้เป็นคราวๆ แสดงถึงฐานะของจำเลยว่ามีทางจะชำระหนี้ได้ ธนาคารจึงยอมให้เบิกเงินเกินกว่าสัญญากู้อันเป็นประเพณีของธนาคาร การเบิกเงินเกินบัญชีนี้ถือว่าเป็นเรื่องของบัญชีเดินสะพัด ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยเบิกเงินไปมากกว่าวงเงินที่ทำสัญญากู้ไว้ ต้องรับผิดในยอดเงินที่เกินนั้น ส่วนผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดในวงเงินเท่าที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้เท่านั้น
อายุความใช้สิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่ง เมื่อจำเลยไม่ได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ เรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ธนาคารจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี ทั้งนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้เฉพาะที่ลูกหนี้ยังไม่ได้ผิดนัด เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยตามธรรมดา(ฎีกาที่ 658-659/2511)
จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีในวงเงิน 50,000 บาท ต่อมาจำเลยได้นำเงินเข้าบัญชีผลักใช้หนี้เป็นคราวๆ แสดงถึงฐานะของจำเลยว่ามีทางจะชำระหนี้ได้ ธนาคารจึงยอมให้เบิกเงินเกินกว่าสัญญากู้อันเป็นประเพณีของธนาคาร การเบิกเงินเกินบัญชีนี้ถือว่าเป็นเรื่องของบัญชีเดินสะพัด ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ จำเลยเบิกเงินไปมากกว่าวงเงินที่ทำสัญญากู้ไว้ ต้องรับผิดในยอดเงินที่เกินนั้น ส่วนผู้ค้ำประกันคงต้องรับผิดในวงเงินเท่าที่ทำสัญญาค้ำประกันไว้เท่านั้น
อายุความใช้สิทธิเรียกเอาดอกเบี้ยค้างส่ง เมื่อจำเลยไม่ได้ยกเอาอายุความขึ้นต่อสู้ เรื่องดอกเบี้ยนี้ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ธนาคารจึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยเกินกว่า 5 ปี ทั้งนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นได้เฉพาะที่ลูกหนี้ยังไม่ได้ผิดนัด เมื่อลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ต่อแต่นั้นไปเจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ คงเรียกได้แต่ดอกเบี้ยตามธรรมดา(ฎีกาที่ 658-659/2511)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1291/2512 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ดอกเบี้ยทบต้นหลังสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีสิ้นสุด: สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยธรรมดา
โจทก์ (ธนาคาร) ตกลงให้จำเลยทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์มีข้อสัญญาว่าจำเลยจะชำระดอกเบี้ยรายเดือน ถ้าไม่ชำระยอมให้เอาดอกเบี้ยทบต้นและจะชำระคืนใน 30 เมษายน 2495 ครั้งถึงกำหนดดังกล่าว โจทก์มีหนังสือไปทวงถามให้ชำระหนี้ สัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงสิ้นสุดในวันที่ 30 เมษายน 2495 หลักจากนั้นโจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: การยินยอมและผลผูกพันตามระเบียบธนาคาร
เอกสารหมาย จ.73 มีข้อความตอนต้นทางด้านหน้าว่า'แบบขอเปิดบัญชีฝากกระแสรายวัน' แต่มีข้อความตอนท้ายของด้านเดียวกันว่า ฯลฯ ข้าพเจ้า(จำเลย)ได้ทราบระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารไทยพัฒนา จำกัด (โจทก์) ตามที่ระบุไว้ด้านหลังของแบบขอเปิดบัญชีและคำเตือนในสมุดเช็คแล้ว และตกลงรับที่จะปฏิบัติและยอมเข้าผูกพันตามระเบียบการดังกล่าวโดยตลอดฯลฯ' และมีข้อความในระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารโจทก์ข้อ 11 ซึ่งอยู่ด้านหลังของเอกสารดังกล่าวว่า' ... ถ้าทางธนาคาร(โจทก์) ได้อนุมัติให้จ่ายตามเช็คที่สั่งจ่ายมากกว่าจำนวนเงินที่คงเหลืออยู่ในบัญชี...ผู้ฝากคงตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ให้แก่ธนาคารจนครบถ้วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคารในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีอีกโสดหนึ่งด้วย' กับข้อ 20 ซึ่งอยู่ในด้านเดียวกันมีข้อความว่า 'เมื่อธนาคารได้ยินยอมเปิดบัญชีเงินฝากให้ผู้ฝากรายใดตามที่ขอมาแล้ว. เป็นอันถือว่าผู้ฝากรายนั้นได้ยอมรับปฏิบัติตามระเบียบการนี้โดยทุกประการ' จำเลยลงชื่อเป็นผู้ขอเปิดบัญชีในตอนท้ายของด้านหน้าแห่งเอกสารนี้ซึ่งมีข้อความในด้านนี้เกี่ยวข้องไปถึงข้อความทางด้านหลัง โดยใช้ข้อความว่า 'ข้าพเจ้าได้ทราบระเบียบการ ฯลฯตามที่ระบุไว้ด้านหลัง ฯลฯ ดีแล้ว และตกลงที่จะปฏิบัติและยอมเข้าผูกพันตามระเบียบดังกล่าวโดยตลอด ฯลฯ' แล้วมีข้อความที่ผู้ฝากตกลงยินยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ธนาคารอนุมัติให้จ่ายตามเช็คที่สั่งจ่ายมากกว่าจำนวนเงินที่คงเหลือในบัญชีทั้งยอมปฏิบัติตามระเบียบด้านหลังเอกสารดังกล่าวเมื่อมีการตกลงกันเช่นนี้ เรียกได้ว่าเอกสารหมาย จ.73 เป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างธนาคารโจทก์และจำเลย ซึ่งโจทก์จำเลยต้องผูกพัน เมื่อจำเลยรับว่าเบิกเงินเกินบัญชีจำนวนเงิน 99,531.03 บาท ไปจากธนาคารโจทก์ และจำเลยยอมชำระดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 15ต่อปีนับแต่วันฟ้อง จำเลยก็ต้องรับผิดชำระเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ตามฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 852/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: การผูกพันตามระเบียบธนาคารที่ระบุในเอกสารขอเปิดบัญชี
เอกสารหมาย จ.73 มีข้อความตอนต้นทางด้านหน้าว่า.'แบบขอเปิดบัญชีฝากกระแสรายวัน' แต่มีข้อความตอนท้ายของด้านเดียวกันว่า. ฯลฯ ข้าพเจ้า(จำเลย)ได้ทราบระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารไทยพัฒนา จำกัด (โจทก์).ตามที่ระบุไว้ด้านหลังของแบบขอเปิดบัญชีและคำเตือนในสมุดเช็คแล้ว. และตกลงรับที่จะปฏิบัติและยอมเข้าผูกพันตามระเบียบการดังกล่าวโดยตลอดฯลฯ'. และมีข้อความในระเบียบการบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของธนาคารโจทก์ข้อ 11 ซึ่งอยู่ด้านหลังของเอกสารดังกล่าวว่า.'... ถ้าทางธนาคาร(โจทก์) ได้อนุมัติให้จ่ายตามเช็คที่สั่งจ่ายมากกว่าจำนวนเงินที่คงเหลืออยู่ในบัญชี...ผู้ฝากคงตกลงยินยอมรับผิดชดใช้ให้แก่ธนาคารจนครบถ้วนพร้อมด้วยดอกเบี้ยทบต้นตามประเพณีของธนาคารในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีอีกโสดหนึ่งด้วย'. กับข้อ 20 ซึ่งอยู่ในด้านเดียวกันมีข้อความว่า 'เมื่อธนาคารได้ยินยอมเปิดบัญชีเงินฝากให้ผู้ฝากรายใดตามที่ขอมาแล้ว. เป็นอันถือว่าผู้ฝากรายนั้นได้ยอมรับปฏิบัติตามระเบียบการนี้โดยทุกประการ'. จำเลยลงชื่อเป็นผู้ขอเปิดบัญชีในตอนท้ายของด้านหน้าแห่งเอกสารนี้ซึ่งมีข้อความในด้านนี้เกี่ยวข้องไปถึงข้อความทางด้านหลัง โดยใช้ข้อความว่า 'ข้าพเจ้าได้ทราบระเบียบการ ฯลฯตามที่ระบุไว้ด้านหลัง ฯลฯ ดีแล้ว. และตกลงที่จะปฏิบัติและยอมเข้าผูกพันตามระเบียบดังกล่าวโดยตลอด ฯลฯ'. แล้วมีข้อความที่ผู้ฝากตกลงยินยอมรับผิดชอบใช้เงินที่ธนาคารอนุมัติให้จ่ายตามเช็คที่สั่งจ่ายมากกว่าจำนวนเงินที่คงเหลือในบัญชีทั้งยอมปฏิบัติตามระเบียบด้านหลังเอกสารดังกล่าวเมื่อมีการตกลงกันเช่นนี้. เรียกได้ว่าเอกสารหมาย จ.73 เป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างธนาคารโจทก์และจำเลย. ซึ่งโจทก์จำเลยต้องผูกพัน. เมื่อจำเลยรับว่าเบิกเงินเกินบัญชีจำนวนเงิน 99,531.03 บาท ไปจากธนาคารโจทก์. และจำเลยยอมชำระดอกเบี้ยทบต้นร้อยละ 15ต่อปีนับแต่วันฟ้อง. จำเลยก็ต้องรับผิดชำระเงินและดอกเบี้ยดังกล่าวแก่โจทก์ตามฟ้อง.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2511 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: ระยะเวลา, วงเงิน, และดอกเบี้ย
วันที่ 7 มกราคม 2500 บริษัท ส. เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ 477,100 บาท 83 สตางค์ วันที่ 9 มกราคม2500 บริษัท ส. จึงได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้ไว้กับโจทก์ว่า บริษัท ส. ได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นเงินไม่เกิน 450,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้น ให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร ดังนี้ เมื่อจำเลยค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยจึงต้องค้ำประกันในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญา คือ จำนวนเงิน 447,100.83 บาท และหนี้ที่ก่อนั้นภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา คือจำนวนเงิน 97,616 บาท 83 สตางค์ รวมเป็นเงิน 544,717 บาท 66 สตางค์ แต่หนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นระยะเวลา 6 เดือนแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ และเมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวแต่รับผิดเพียงในวงเงิน 450,000 บาท แต่ จำเลยจะต้องรับผิดเพียงดอกเบี้ยในต้นเงิน 97,616.83 บาทเท่านั้น.และต้องรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีกระแสรายวัน เมื่อสิ้นกำหนด 6 เดือนซึ่งบริษัท ส. เป็นหนี้อยู่เกินกว่า 450,000 บาท แต่จำเลยคงรับผิดเพียงในวงเงิน 450,000 บาท
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน450,000 บาท แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาท นี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506 ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้ และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน450,000 บาท แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาท นี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506 ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้ และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2511 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: หนี้ก่อนสัญญา, หนี้ระหว่างสัญญา, และวงเงินจำกัด
วันที่ 7 มกราคม 2500 บริษัท ส. เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ 477,100 บาท 83 สตางค์ วันที่ 9 มกราคม 2500 บริษัท ส. จึงได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้ไว้กับโจทก์ว่า บริษัท ส. ได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นเงินไม่เกิน 450,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันทำสัญญา ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้น ให้ให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร ดังนี้ เมื่อจำเลยค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จำเลยจึงต้องค้ำประกันในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญา คือ จำนวนเงิน 447,100.83 บาท และหนี้ที่ก่อนั้นภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา คือจำนวนเงิน 97,616 บาท 83 สตางค์ รวมเป็นเงิน 544,717 บาท 66 สตางค์ แต่หนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นระยะเวลา 6 เดือนแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ และเมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวแต่รับผิดเพียงในวงเงิน 450,000 บาท แต่ จำเลยจะต้องรับผิดเพียงดอกเบี้ยในต้นเงิน 97,616.83 บาทเท่านั้นและต้องรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีกระแสรายวัน เมื่อสิ้นกำหนด 6 เดือนซึ่งบริษัท ส. เป็นหนี้อยู่เกินกว่า 450,000 บาท แต่จำเลยคงรับผิดเพียงในวงเงิน450,000 บาท
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน 450,000 บาท แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาทนี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506 ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้ และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน 450,000 บาท แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาทนี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506 ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้ และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2511
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชี: หนี้ก่อนสัญญา, หนี้ในระยะเวลา, และดอกเบี้ย
วันที่ 7 มกราคม 2500 บริษัท ส. เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์ 477,100 บาท 83 สตางค์. วันที่ 9 มกราคม2500 บริษัท ส. จึงได้ทำสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีให้ไว้กับโจทก์ว่า. บริษัท ส. ได้ขอเบิกเงินเกินบัญชีจากโจทก์เป็นเงินไม่เกิน 450,000 บาท มีกำหนดระยะเวลา 6 เดือน นับจากวันทำสัญญา. ส่วนจำนวนเงินที่เบิกเกินบัญชีไปนั้น ให้ให้ถือตามบัญชีกระแสรายวันของธนาคาร. ดังนี้ เมื่อจำเลยค้ำประกันสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว. จำเลยจึงต้องค้ำประกันในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันทำสัญญา คือ จำนวนเงิน 447,100.83 บาท. และหนี้ที่ก่อนั้นภายในเวลา 6 เดือนนับแต่วันทำสัญญา คือจำนวนเงิน 97,616 บาท 83 สตางค์.รวมเป็นเงิน 544,717 บาท 66 สตางค์. แต่หนี้ที่เกิดขึ้นหลังจากพ้นระยะเวลา 6 เดือนแล้วจำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ. และเมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำประกันการเบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าว จึงต้องรับผิดในหนี้ดังกล่าวแต่รับผิดเพียงในวงเงิน 450,000 บาท แต่ จำเลยจะต้องรับผิดเพียงดอกเบี้ยในต้นเงิน 97,616.83 บาทเท่านั้น.และต้องรับผิดทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทบต้นตามบัญชีกระแสรายวัน. เมื่อสิ้นกำหนด 6 เดือนซึ่งบริษัท ส. เป็นหนี้อยู่เกินกว่า 450,000 บาท แต่จำเลยคงรับผิดเพียงในวงเงิน450,000 บาท.
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน450,000 บาท. แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว. จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาทนี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506. ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้. และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ.
สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีของบริษัท ส. มีวงเงินไม่เกิน450,000 บาท. แต่ได้ระบุเวลาไว้ 6 เดือน เมื่อครบกำหนดระยะเวลา บริษัท ส. หรือจำเลยซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันไม่ชำระหนี้ดังกล่าว. จำเลยในฐานะผู้ค้ำประกันจึงต้องรับผิดในดอกเบี้ยทบต้นของจำนวนเงิน 450,000 บาทนี้ต่อไปอีก จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2506. ส่วนระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2506 จนถึงวันฟ้อง โจทก์ไม่ได้มีเจตนาเรียกร้องเอาดอกเบี้ย จำเลยจึงไม่ต้องชำระให้. และจำเลยต้องชำระดอกเบี้ยธรรมดานับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะชำระเงินเสร็จ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 759/2510 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องล้มละลาย: รายละเอียดการเบิกเงินเกินบัญชีไม่จำเป็นในฟ้อง, ฟ้องไม่เคลือบคลุม
การเบิกเงินเกินบัญชีจะกระทำไปกี่คราว ๆ ละเท่าใดนั้น เป็นรายละเอียดที่โจทก์ไม่จำต้องกล่าวในฟ้อง และไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2509)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 30/2509)