คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
โต้แย้งสิทธิ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 221 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2988/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญชาติไทยโดยการเกิดและการโต้แย้งสิทธิ: คดีไม่ขาดอายุความแม้ฟ้องเกิน 10 ปี
โจทก์ซึ่งเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมารดาเป็นผู้มีสัญชาติไทย ย่อมได้สัญชาติไทยโดยการเกิดตาม พ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 มาตรา 7 (1) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 มาตรา 4 ประกอบมาตรา 10 ซึ่งบัญญัติให้บทบัญญัติมาตรา 7 (1) แห่งพ.ร.บ.สัญชาติ พ.ศ.2508 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมดังกล่าวให้มีผลใช้บังคับกับผู้เกิดก่อนวันที่ พ.ร.บ.สัญชาติ(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2535 ใช้บังคับด้วย
โจทก์มีสัญชาติไทยแล้วตั้งแต่เกิด แต่กลับถูกถอนสัญชาติไทยแล้วนำไปจดแจ้งไว้ในทะเบียนบ้านญวนอพยพอันเป็นสัญชาติอื่น ถือได้ว่าโจทก์ถูกโต้แย้งสิทธิว่าไม่ได้เป็นบุคคลที่มีสัญชาติไทยตลอดมานับแต่ถูกถอนสัญชาติ ดังนั้นแม้โจทก์ฟ้องคดีเกิน 10 ปี นับแต่ทราบเหตุโต้แย้งสิทธิดังกล่าวคดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2873/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องแจ้งเกิด: การดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตามระเบียบราชการ ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ
โจทก์ที่ 2 ยื่นคำร้องต่อจำเลยแจ้งการเกิดของโจทก์ที่ 1ที่เกิดจากมารดาคนต่างด้าว เพื่อให้จำเลยจดทะเบียนการเกิดออกหลักฐานการเกิดและเพิ่มชื่อนามสกุลของโจทก์ที่ 1 ในทะเบียนบ้านจำเลยได้รวบรวมเอกสารและพยานหลักฐานต่าง ๆ เสนอให้กระทรวงมหาดไทยพิจารณา แต่ยังไม่ได้รับแจ้งผลการพิจารณาความล่าช้าของการดำเนินการเกิดจากการดำเนินการของกระทรวงมหาดไทยไม่ได้เกิดจากเหตุที่จำเลยไม่ดำเนินการให้โจทก์ทั้งสองตามระเบียบของทางราชการถือไม่ได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2808-2812/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแจ้งผลการพิจารณาคำร้องขอใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์กล่าวในคำฟ้องว่า จำเลยที่ 2 ปฏิบัติราชการแทนจำเลยที่ 1ได้รับคำร้อง ของ โจทก์ทั้งห้าไว้ ต่อมาจำเลยที่ 2 แจ้งแก่ น.ทนายความผู้ได้รับมอบอำนาจจากโจทก์ทั้งห้าว่า ยังไม่สามารถออกใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวให้แก่โจทก์ทั้งห้าได้ เนื่องจากจะต้องส่งเรื่องไปให้กองทะเบียนคนต่างด้าวและภาษีอากรพิจารณาก่อนได้ผลประการใดจะแจ้งให้ทราบต่อไป ดังนี้ แสดงว่า จำเลยที่ 2ได้ปฏิบัติตามหน้าที่โดยถูกต้องแล้ว แต่ยังไม่อาจดำเนินการให้เป็นไปตามความประสงค์ของโจทก์ทั้งห้าในทันทีได้ ก็เพราะกำลังรอการพิจารณาสั่งการจากทางราชการตามสายงานการบังคับบัญชาก่อนดังนี้ ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งห้าก็ปรากฏแล้วว่า จำเลยทั้งสองมิได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือได้กระทำการอย่างใดอันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งห้า โจทก์ทั้งห้าจึงไม่มีอำนาจฟ้อง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2201/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาในสัญญาซื้อขาย และการโต้แย้งสิทธิของคู่สัญญา
กฎหมายมิได้กำหนดรูปแบบการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาไว้จึงอาจจะเป็นการแสดงออกของผู้ได้รับประโยชน์แห่งเงื่อนไขเวลาโดยตรงหรือโดยปริยายก็ได้ หากจำเลยประสงค์จะได้รับประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินที่กำหนดให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ในวันที่ 31 มกราคม 2530 อันเป็นเงื่อนเวลาเริ่มต้นซึ่งกฎหมายให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ากำหนดไว้เพื่อประโยชน์แก่ฝ่ายลูกหนี้คือจำเลยที่ยังไม่ต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์จนกว่าจะครบกำหนดเงื่อนเวลาดังกล่าว จำเลยก็จะต้องยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ไว้ เมื่อจำเลยให้การเพียงปฏิเสธหนี้ของโจทก์โดยมิได้ยกเงื่อนเวลานั้นเป็นข้อต่อสู้ จึงเป็นการสละประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาโดยปริยาย ปัญหาเรื่องเงื่อนเวลามิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจะหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองไม่ได้ โจทก์พร้อมที่จะชำระราคาที่ดินทั้งหมดให้แก่จำเลย และได้แจ้งกำหนดนัดให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ไปตามนัดทั้งยังมีหนังสือบอกเลิกสัญญาจะซื้อขายที่ดินแก่โจทก์พฤติการณ์ของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแก่โจทก์พร้อมกับรับชำระราคาทั้งหมดไปจากโจทก์ก่อนครบกำหนดเงื่อนเวลาได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในสินสมรส: การลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ร่วม, การโต้แย้งสิทธิ, และอายุความ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลยและศาลมีคำพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินแต่อย่างใด ในคดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในสินสมรส ประเด็นของคดีนี้จึงมีว่าทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อน การฟ้องคดีนี้ของโจทก์จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 148 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
สิทธิของสามีหรือภริยาที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1475 นั้น เป็นการที่กฎหมายกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์กล่าวในฟ้องแล้วว่าได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรส จำเลยมิได้ให้การปฏิเสธว่ามิได้รับหนังสือดังกล่าวของโจทก์กรณีจึงต้องถือว่าจำเลยทราบคำบอกกล่าวของโจทก์แล้วเพิกเฉย อันเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
โจทก์จำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาระหว่างสมรสและได้มาขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม การที่จะพิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา การรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยนั้นมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิม จึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1466 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์บรรพ 5 เดิม อันเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับขณะที่ได้มา
สิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 นั้น เป็นบทบัญญัติในหมวดทรัพย์สินระหว่างสามัภรรยา ตราบใดที่ความเป็นสามีภรยายังมีอยู่ คู่สมรสก็ยังมีสิทธิตามที่กำหนดไว้ในมาตรานี้ตลอดเวลาไม่ว่าจะช้านานเท่าใด เมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่โจทก์ย่อมจะใช้สิทธิร้องขอให้ลงชื่อตนด้วยได้ตามที่กฎหมายกำหนด โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2013/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สินสมรส: การลงชื่อเป็นเจ้าของรวม, การโต้แย้งสิทธิ, อายุความ และบทบัญญัติกฎหมายที่ใช้บังคับ
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอหย่าจำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยยังมิได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สิน คดีนี้เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในสินสมรส ประเด็นของคดีนี้จึงมีว่า ทรัพย์ตามคำฟ้องเป็นสินสมรสหรือไม่และโจทก์มีสิทธิขอให้ลงชื่อเป็นเจ้าของรวมหรือไม่ อันมิใช่ประเด็นที่ได้วินิจฉัยไว้แล้วในคำพิพากษาคดีก่อน จึงไม่เป็นการฟ้องซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 สิทธิของสามีหรือภริยาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1475 นั้น กฎหมายกำหนดให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องปฏิบัติตามคำร้องขอของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งไม่มีชื่อในเอกสารสำคัญให้ต้องยินยอมให้ฝ่ายนั้นลงชื่อตนเป็นเจ้าของร่วมด้วย โจทก์ได้มีหนังสือขอให้จำเลยจัดการให้โจทก์ลงชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่อ้างว่าเป็นสินสมรสจำเลยเพิกเฉย เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่มีตามกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้ โจทก์จำเลยได้ที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาระหว่างสมรสและได้มาขณะที่ใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม การที่จะพิจารณาว่าเป็นทรัพย์สินประเภทใดในระหว่างสามีภริยาจึงต้องพิจารณาตามบทกฎหมายที่ใช้ในขณะที่ได้มา การรับโอนที่ดินพิพาททั้งสองแปลงมาเป็นของจำเลยมิได้ระบุไว้ว่าให้เป็นสินส่วนตัวหรือสินเดิม จึงเป็นการได้มาในฐานะที่เป็นสินสมรสตามที่กำหนดไว้ในมาตรา 1466 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เดิม สิทธิของคู่สมรสที่จะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมในเอกสารสำคัญตามที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1475 ย่อมมีอยู่ตลอดเวลาเท่าที่ยังเป็นสามีภริยากันไม่ว่าจะช้านานเท่าใด เมื่อโจทก์จำเลยยังเป็นสามีภริยากันอยู่ โจทก์ย่อมจะใช้สิทธิขอให้ลงชื่อตนด้วยได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าได้ล่วงเลยเวลาที่ได้สินสมรสมาแล้วนานเท่าไร เพราะมิใช่กรณีที่จะต้องใช้สิทธิเรียกร้องภายในระยะเวลาอันกฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1616/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องกรณีรัฐซื้อที่ดินแล้วมอบให้หน่วยงานอื่น โจทก์มีสิทธิครอบครองและถูกโต้แย้งสิทธิ
กระทรวงการคลังซื้อที่ดิน น.ส.3 จากจำเลยและได้จ่ายเงินทดแทนเพื่อให้จำเลยรื้อถอนอาคารจากที่ดินแล้ว ต่อมากระทรวงการคลังได้มอบการครอบครองที่ดินให้กรมชลประทานโจทก์โจทก์จึงเป็นผู้ครอบครองดูแลรักษาที่ดิน เมื่อโจทก์บอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนอาคารดังกล่าวออกจากที่ดิน แต่จำเลยไม่ยอมออกสิทธิของโจทก์จึงถูกโต้แย้ง ตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 768/2534 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลผูกพันคู่กรณี หากไม่โต้แย้งสิทธิในเวลาที่กำหนด ย่อมไม่อาจฟ้องเพิกถอนได้ภายหลัง
สัญญาประนีประนอมยอมความที่คู่กรณีตกลงกันต่อหน้าศาล และศาลได้มีคำพิพากษาตามยอมแล้วนั้น มีผลทำให้หนี้เดิมระงับ เกิดหนี้ใหม่ตามสัญญาประนีประนอมยอมความซึ่งคู่กรณีต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น หากโจทก์เห็นว่าคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ถูกต้องก็อาจจะอุทธรณ์ได้หากเข้ากรณีตามมาตรา 138 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์และคดีถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะฟ้องขอให้เพิกถอนได้
สัญญาประนีประนอมยอมความมีข้อตกลงว่า จะบังคับชำระหนี้ด้วยวิธีการให้โจทก์โอนที่ดินทั้งแปลงให้แก่จำเลยเพื่อชำระหนี้เงินกู้ ดังนี้ ข้อตกลงนั้นไม่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 765/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องเรียกคืนทรัพย์มรดก: จำเลยต้องเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สิน จึงเป็นบุคคลที่โต้แย้งสิทธิของโจทก์ได้
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์ตามฟ้องคืนจากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นมรดกที่ได้รับจากผู้ตาย เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว จำเลยจึงไม่ใช่บุคคลผู้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเรียกทรัพย์คืนจากจำเลย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6069/2534

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการจดทะเบียนสัญชาติ: การปฏิเสธการจดทะเบียนสัญชาติถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ
โจทก์ทั้งสามโดย ค. มารดาได้ขอให้จำเลยในฐานะนายทะเบียนอำเภอลงชื่อและสัญชาติไทยแก่โจทก์ทั้งสามลงในทะเบียนบ้าน จำเลยไม่ยอมลงโดยเห็นว่าโจทก์ทั้งสามเป็นบุตรคนญวนอพยพเข้าหลักเกณฑ์ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 337 เท่ากับจำเลยปฏิเสธว่าโจทก์ทั้งสามไม่มีสัญชาติไทย จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิโจทก์ทั้งสาม ที่จำเลยออกคำสั่งแจ้งให้ ค. ไปยื่นคำร้องขอมีสัญชาติที่สำนักงานจังหวัดโดยตรงเป็นการปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการก็เป็นการกระทำที่ทำให้ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสาม แต่ไม่ทำให้กลายเป็นไม่ได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ ดังนี้โจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้อง.
of 23