พบผลลัพธ์ทั้งหมด 507 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษาลงโทษกักขังแทนจำคุก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษกักขังแทนโทษจำคุก และศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้น จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ตรี และในกรณีนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ไม่ได้บัญญัติให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงคำอนุญาตของผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นจึงไม่มีผลทำให้จำเลยทั้งสามมีสิทธิฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3970/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาเรื่องโทษจำคุก: การไม่โต้แย้งในศาลอุทธรณ์ทำให้ฎีกาต้องห้าม
แม้คดีไม่ต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงก็ตาม แต่จำเลยให้การรับสารภาพต่อศาล เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลย จำเลยมิได้อุทธรณ์ว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยสูงเกินไป แสดงว่าจำเลยพอใจกับโทษที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้แล้ว แต่เมื่อโจทก์อุทธรณ์และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยกลับมายื่นฎีกาคัดค้านว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยสูงเกินไปถือได้ว่าข้อที่จำเลยยกขึ้นฎีกาดังกล่าว จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกา ตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยป.วิ.อ. มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3539/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การมีอาวุธปืนและกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน แม้มีเจตนาเดียวกัน ศาลฎีกาไม่อาจแก้ไขโทษต่ำกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดหากโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์
การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ส่วนการมีกระสุนปืนที่นายทะเบียนจะอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองไม่ได้ไว้ในครอบครองเป็นความผิดตามมาตรา 55, 78วรรคหนึ่ง การที่กฎหมายบัญญัติบทความผิดและบทลงโทษไว้คนละมาตรา ย่อมเห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายได้ว่ามีความประสงค์จะแยกความผิด 2 ฐานนี้ออกจากกันดังนั้นแม้ว่าจำเลยจะมีอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางดังกล่าวไว้ในครอบครองในเวลาเดียวกัน อาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางใช้ร่วมกันได้ และเจตนาของจำเลยในการมีอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลางเป็นการมีไว้เพื่อความประสงค์อันเดียวกันก็ตาม การกระทำของจำเลยก็เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ต้องลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป
ความผิดฐานมีกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ซึ่งตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่2 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต แต่ศาลชั้นต้นระวางโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ให้จำคุก1 ปี จึงต่ำกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
ความผิดฐานมีกระสุนปืนที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ซึ่งตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคหนึ่ง ให้ระวางโทษจำคุกตั้งแต่2 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต แต่ศาลชั้นต้นระวางโทษจำเลยในความผิดฐานนี้ให้จำคุก1 ปี จึงต่ำกว่าขั้นต่ำที่กฎหมายได้บัญญัติไว้ เมื่อโจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ฎีกาขอให้ลงโทษให้ถูกต้อง ศาลฎีกาจึงไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ เพราะจะเป็นการพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.อ.มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3314/2542 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษตาม ป.อ.มาตรา 56 ต้องไม่เคยมีประวัติโทษจำคุก
ตาม ป.อ.มาตรา 56 ศาลจะรอการลงโทษได้ต่อเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ซึ่งหมายความว่าไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษาโดยไม่จำต้องเป็นการกระทำความผิดมาก่อนคดีเรื่องหลัง
ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ จำเลยได้กระทำความผิดและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยในคดีนี้ได้
ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ จำเลยได้กระทำความผิดและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3314/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอการลงโทษจำคุกต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แม้จะเป็นคดีอื่น
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ศาลจะรอการลงโทษได้ ต่อเมื่อไม่ปรากฏว่าผู้นั้นได้รับโทษจำคุกมาก่อน ซึ่ง หมายความว่าไม่ได้รับโทษจำคุกมาก่อนคดีที่ศาลกำลังจะพิพากษา โดยไม่จำต้องเป็นการกระทำความผิดมาก่อนคดีเรื่องหลัง ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาในคดีนี้ จำเลยได้กระทำ ความผิดและมีคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลย กรณีจึงไม่อาจรอการลงโทษให้แก่จำเลยในคดีนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2383/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คดีเยาวชนและครอบครัวที่ศาลเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปฝึกอบรม และข้อยกเว้นการห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
คดีที่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามมาตรา 121 แห่ง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 นั้น ต้องห้ามอุทธรณ์แต่เฉพาะกรณีที่โจทก์อุทธรณ์เกี่ยวกับการที่ศาลใช้ดุลพินิจเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปฝึกและอบรมเท่านั้น คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจเป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี แต่โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดหรือไม่ ไม่ได้อุทธรณ์เกี่ยวกับการที่ศาลใช้ดุลพินิจเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวไปฝึกและอบรม ฉะนั้นโจทก์จะอุทธรณ์ได้หรือไม่จึงต้องพิจารณาตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความเหมือนคดีธรรมดา ไม่จำต้องได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวตามมาตรา 122 ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวแต่อย่างใด
การจะพิจารณาว่าคดีจะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามฟ้อง แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 , 83 ซึ่งอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 288 , 80 , 83 ระวางโทษไว้สองในสามส่วนของโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ซึ่งเป็นอัตราโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ โจทก์จึงอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้
การจะพิจารณาว่าคดีจะอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาอัตราโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมายตามฟ้อง แม้ศาลชั้นต้นจะพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295 , 83 ซึ่งอัตราโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งตาม ป.อ. มาตรา 288 , 80 , 83 ระวางโทษไว้สองในสามส่วนของโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี ซึ่งเป็นอัตราโทษสูงกว่าที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ โจทก์จึงอุทธรณ์ปัญหาข้อเท็จจริงดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1677/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรับฝากยาเสพติดเพื่อส่งมอบเข้าข่ายความผิดฐานขาย แม้ไม่มีเจตนาจำหน่ายโดยตรง ศาลแก้ไขโทษจำคุกให้เหมาะสม
บันทึกการจับกุมผู้ต้องหาเป็นบันทึกที่เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำขึ้นภายหลังที่ได้มีการจับกุมจำเลยแล้ว บันทึกการจับกุมจึงเป็นหลักฐานในการสอบสวนคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(11) ซึ่งไม่ได้มีบทบังคับว่าต้องทำอย่างไร เมื่อบันทึกการจับกุมมีร่องรอยการแก้ไขตกเติม ก็ไม่ทำให้บันทึกการจับกุมนั้นเป็นอันเสียไปหรือใช้ไม่ได้ การที่จำเลยลงนามในบันทึกดังกล่าวโดยมิได้โต้แย้งและมิได้ซักค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับบันทึกการจับกุมให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทำให้คำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ปรากฏในบันทึกการจับกุมนั้นรับฟังเป็นพยานได้ส่วนคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนนั้นไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ซักค้านพยานโจทก์เกี่ยวกับคำให้การดังกล่าวแต่อย่างใดเมื่อจำเลยลงนามในคำให้การชั้นสอบสวนโดยมิได้ถูกขู่เข็ญบังคับหรือโดยมิชอบด้วยประการอื่น ศาลย่อมรับฟังคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยเป็นพยานได้ การที่จำเลยรับฝากเมทแอมเฟตามีนจาก ด. เพื่อนำไปให้ว.นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยรับมาเพื่อส่งมอบให้แก่ว.การกระทำของจำเลยจึงเป็นการขาย ตามมาตรา 4แห่งพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518ซึ่งบัญญัติว่า "ขาย" หมายความรวมถึงจำหน่าย จ่าย แจกแลกเปลี่ยน ส่งมอบ หรือมีไว้เพื่อขาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1047/2542
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญาที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปีต่อกระทง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสอง จำคุกกระทงละ 7 ปี 6 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 15 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามแล้ว คงจำคุก 10 ปี จึงเป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกกระทงละ ไม่เกิน 5 ปี เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน จำเลยขอ ให้ลงโทษสถานเบาเป็นการโต้แย้งดุลพินิจของศาลในการ ลงโทษจำเลย เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6906/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปล้นทรัพย์กระทบภาพลักษณ์ประเทศ: ศาลฎีกายืนโทษ จำเลยไม่มีเหตุลดโทษ
ความผิดฐานปล้นทรัพย์ที่จำเลยที่ 3 ร่วมกระทำผิดคดีนี้เกี่ยวโยงกับความปลอดภัยของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยและชื่อเสียงของประเทศไทยซึ่งเป็นเหตุให้ภาพพจน์ของประเทศชาติเสียหายโดยตรงถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง แม้จำเลยที่ 3 ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อนและต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดาและน้องก็ตาม ก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะลดโทษให้เบาลง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6881/2541
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประวัติซ้ำเติมโทษคดีขับรถประมาทถึงแก่ความตาย ศาลยืนโทษจำคุก แม้ฐานะยากจน
ก่อนคดีนี้จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายมาแล้ว 2 ครั้ง นอกจากนั้นจำเลยเคยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมในข้อหาจอดรถกีดขวางทางจราจรมาแล้วประมาณ 10 ครั้ง คดีนี้จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายถึง 2 คน แม้จำเลยมีฐานะยากจน ต้องอุปการะเลี้ยงดูภริยากับบุตรผู้เยาว์ในวัยเรียน 2 คน กับบิดาซึ่งชราภาพ แต่เมื่อพิเคราะห์ประวัติความผิดประกอบพฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว ยังไม่เห็นสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลย