พบผลลัพธ์ทั้งหมด 106 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6918/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบรถหาย หากผู้ใช้บริการไม่ได้พักค้างคืน
แม้โรงแรมของจำเลยทั้งสองจะมีการให้บริการในส่วนของการนวดแผนโบราณโดยสถานที่นวดอยู่ภายในอาคารของโรงแรมก็ตาม แต่ลักษณะของการเข้ามาใช้บริการดังกล่าวก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นเพื่อต้องการพักผ่อนเท่านั้น ซึ่งการใช้บริการไม่จำต้องลงทะเบียนขอเปิดห้องพักเหมือนอย่างกรณีการเข้าพักอาศัยแบบค้างคืน การที่ ส. ขับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเข้าไปจอดบริเวณลานจอดรถในโรงแรมของจำเลยทั้งสอง แล้วเข้าไปใช้บริการนวดแผนโบราณที่ให้บริการภายในโรงแรมของจำเลยทั้งสอง ส. จึงไม่ใช่คนเดินทางหรือแขกอาศัย ตาม ป.พ.พ. มาตรา 674 เมื่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป จำเลยทั้งสองในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6918/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงแรมไม่ต้องรับผิดชอบทรัพย์สินสูญหายของลูกค้าที่ใช้บริการนวดระยะสั้น เนื่องจากไม่ใช่การเข้าพักอาศัย
แม้โรงแรมของจำเลยทั้งสองจะมีการให้บริการในส่วนของการนวดแผนโบราณโดยสถานที่นวดอยู่ภายในอาคารของโรงแรมก็ตาม แต่ลักษณะของการเข้ามาใช้บริการดังกล่าวก็เป็นที่ประจักษ์อยู่แล้วว่าเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นเพื่อต้องการพักผ่อนเท่านั้น ซึ่งการใช้บริการไม่จำต้องลงทะเบียนขอเปิดห้องพักเหมือนอย่างกรณีการเข้าพักอาศัย ส. จึงไม่ใช่คนเดินทางหรือแขกอาศัยตามความหมายแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 674 เมื่อรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป จำเลยทั้งสองในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมจึงไม่ต้องรับผิดชอบเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอันเกิดแก่ทรัพย์สินดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6101/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิด: เจ้าของโรงแรมมีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการบุกรุกและกระทำละเมิด แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้น
โจทก์บรรยายฟ้องโดยยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยนำพวกและบริวารบุกรุกเข้ามาในโรงแรมของโจทก์ รื้อค้นปิดล็อกประตูห้องทำงานของพนักงานและสั่งให้พนักงานของโจทก์เปิดห้องเพื่อให้บริวารของจำเลยเข้าพัก สั่งอาหาร เครื่องดื่มแล้วไม่ยอมจ่ายเงิน ทั้งมีการข่มขู่เอาเงินจากพนักงานของโจทก์ไปและแสดงตัวว่าจำเลยเป็นเจ้าของกิจการ เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยชดใช้ค่าห้องพัก ค่าอาหารและเรียกเงินที่จำเลยเอาไปจากพนักงานของโจทก์ ตามข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแสดงว่า โจทก์ประสงค์จะฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลละเมิดที่ทำให้โจทก์ฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองโรงแรมเสียหาย หาใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัทโจทก์ที่ต้องคำนึงถึงข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดีเดิมที่ว่า จำเลยเป็นผู้ถือหุ้นของโจทก์ที่ศาลฎีกาพิพากษาให้หุ้นกลับคืนเป็นของจำเลย และต้องพิจารณาถึงอำนาจของผู้ฟ้องคดีว่าต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในกิจการโรงแรมหรือเป็นผู้ถือหุ้นตามจำนวนเสียงข้างมาก หรือเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของโจทก์ดังข้อฎีกาของจำเลยแต่อย่างใด ประกอบกับหลังศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวให้หุ้นกลับคืนเป็นของจำเลยแล้ว ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้มีการจดแจ้งการโอนชื่อจำเลยลงในทะเบียนผู้ถือหุ้นแต่อย่างใด เมื่อการฟ้องคดีของโจทก์ได้กระทำโดยผู้รับมอบอำนาจฟ้องคดี ทั้งตามคำฟ้องโจทก์มิได้ประสงค์ให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ถือหุ้นโจทก์ หรือเกี่ยวกับการบริหารกิจการโจทก์ที่ต้องอาศัยผลของคำพิพากษาศาลฎีกาดังข้ออ้างของจำเลยตามที่กล่าว แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยรับผิดในมูลละเมิดที่โจทก์ฐานะเจ้าของและผู้ครอบครองโรงแรมอ้างว่าจำเลยกับพวกกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงเป็นผู้ถูกโต้แย้งสิทธิและมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้
แม้ว่าจำเลยจะชนะคดีและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาก็ตาม แต่จำเลยมีสิทธิอย่างไรตามคำพิพากษาดังกล่าว ก็ชอบที่ต้องไปดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือต้องไปว่ากล่าวฟ้องร้องเอากับโจทก์อีกส่วนต่างหาก การที่จำเลยพาพวกและบริวารบุกรุกเข้าไปในโรงแรมของโจทก์โดยพลการ จึงเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
แม้ว่าจำเลยจะชนะคดีและเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีที่จำเลยเป็นโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยตามคำพิพากษาศาลฎีกาก็ตาม แต่จำเลยมีสิทธิอย่างไรตามคำพิพากษาดังกล่าว ก็ชอบที่ต้องไปดำเนินการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือต้องไปว่ากล่าวฟ้องร้องเอากับโจทก์อีกส่วนต่างหาก การที่จำเลยพาพวกและบริวารบุกรุกเข้าไปในโรงแรมของโจทก์โดยพลการ จึงเป็นการกระทำต่อโจทก์โดยผิดกฎหมาย ทำให้โจทก์เสียหายอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5108/2558 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงแรมรับผิดชอบรถลูกค้าหาย แม้จอดรถที่โรงแรมอื่น หากมีวิธีปฏิบัติอาศัยพึ่งพากัน
ป. เข้าพักที่โรงแรม ก. ของจำเลยโดยนำรถที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไปจอดที่ลานจอดรถของโรงแรม ร. ตามที่พนักงานของโรงแรม ก. บอก โดยไม่มีใครทักท้วงหรือห้ามไม่ให้ ป. นำรถเข้าไปจอด ย่อมแสดงให้เห็นวิธีปฏิบัติว่า โรงแรม ก. อาศัยพึ่งพิงลานจอดรถของโรงแรม ร. เสมือนเป็นลานจอดรถของตนในกรณีที่รถยนต์ของลูกค้าของโรงแรม ก. เป็นรถขนาดใหญ่และไม่สามารถเข้าไปจอดในลานจอดรถของโรงแรม ก. ได้ และน่าจะได้รับความยินยอมจากโรงแรม ร. เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ย่อมเป็นการยากที่บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่ลูกค้าของโรงแรม ร. จะสามารถนำรถเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของโรงแรมได้ เมื่อรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป จำเลยในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใด ๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่ง ป. คนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามา ตาม ป.พ.พ. มาตรา 674 เมื่อโจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้จ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้ว ย่อมได้รับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5108/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายของรถยนต์ที่จอดในลานจอดของโรงแรมอื่นที่โรงแรมอาศัยพึ่งพา
แม้รถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้จะสูญหายไปในขณะที่จอดไว้ที่ลานจอดรถของโรงแรม ร. แต่โจทก์ก็นำสืบว่า เหตุที่ ป. นำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของโรงแรม ร. เนื่องจากรถบรรทุกมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถนำเข้าไปในลานจอดรถของโรงแรมจำเลยได้เพราะประตูทางเข้าโรงแรมจำเลยมีเหล็กกั้นความสูงอยู่พนักงานของโรงแรมจำเลยจึงบอกให้ ป. นำรถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถของโรงแรม ร. วิธีปฏิบัติซึ่งโรงแรมจำเลยอาศัยพึ่งพิงลานจอดรถของโรงแรม ร. เสมือนเป็นลานจอดรถของตนในกรณีที่รถยนต์ของลูกค้าของโรงแรมจำเลยเป็นรถขนาดใหญ่และไม่สามารถเข้าไปจอดในลานจอดรถของโรงแรมจำเลยได้ และน่าจะได้รับความยินยอมจากโรงแรม ร. เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้นย่อมเป็นการยากที่บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่ลูกค้าของโรงแรม ร. จะสามารถนำรถเข้าไปจอดภายในลานจอดรถของโรงแรมได้ เมื่อรถบรรทุกที่โจทก์รับประกันภัยไว้สูญหายไป จำเลยในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่ง ป. คนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามาตาม ป.พ.พ. มาตรา 674
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5090/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของทรัพย์สินในลานจอดรถ และขอบเขตความรับผิด
การที่โจทก์บรรยายสภาพแห่งข้อหาและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่า จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดเพื่อความสูญหายอันเกิดแต่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามา จึงมีหน้าที่ต้องตรวจตราดูแลทรัพย์สินของลูกค้า แต่จำเลยที่ 1 และพนักงานไม่ตรวจตราดูแลให้ดี ทำให้มีคนเข้ามาลักเอารถยนต์ไป จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 มิได้ใช้ความระมัดระวังในการดูแลรักษาทรัพย์สินของผู้เข้าพักในโรงแรม ฟ้องของโจทก์ในส่วนของจำเลยที่ 1 โต้เถียงบรรยายโดยแจ้งชัดชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองแล้ว
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ม. ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทระบุเวลาที่รถหายตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี 2 ฉบับ ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2549 และวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 ไม่ตรงกันนั้น น่าจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนของผู้บันทึก ไม่ใช่ ม. แจ้งแตกต่างกัน
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเฉพาะทรัพย์สินที่สูญหายภายในห้องพัก แต่ลานจอดรถอยู่ด้านนอกโรงแรม และจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับฝากรถยนต์ จึงไม่มีหน้าที่ดูแลรถยนต์ที่จอดไว้นั้น เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา 674 และมาตรา 675 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดเพื่อความสูญหายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามา แม้ความสูญหายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม ก็ต้องรับผิด
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า ม. ผู้เอาประกันภัยรถยนต์คันพิพาทระบุเวลาที่รถหายตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี 2 ฉบับ ลงวันที่ 7 พฤษภาคม 2549 และวันที่ 31 พฤษภาคม 2549 ไม่ตรงกันนั้น น่าจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนของผู้บันทึก ไม่ใช่ ม. แจ้งแตกต่างกัน
การที่จำเลยที่ 1 อ้างว่า จำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดเฉพาะทรัพย์สินที่สูญหายภายในห้องพัก แต่ลานจอดรถอยู่ด้านนอกโรงแรม และจำเลยที่ 1 ไม่ได้รับฝากรถยนต์ จึงไม่มีหน้าที่ดูแลรถยนต์ที่จอดไว้นั้น เมื่อ ป.พ.พ. มาตรา 674 และมาตรา 675 วรรคหนึ่ง กำหนดให้เจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดเพื่อความสูญหายอันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยได้พามา แม้ความสูญหายนั้นจะเกิดขึ้นเพราะผู้คนไปมาเข้าออก ณ โรงแรม ก็ต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3464/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อพาร์ตเมนต์ไม่ถือเป็นโรงแรม: การรับผิดในความเสียหายที่เกิดกับรถยนต์ของผู้เช่า
พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 มาตรา 4 โรงแรม หมายความว่า สถานที่พักที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในทางธุรกิจเพื่อให้บริการที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทางหรือบุคคลอื่นใดโดยมีค่าตอบแทน ดังนี้ สถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น ตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 674 จะต้องเป็นสถานที่ซึ่งให้บริการทำนองเดียวกันกับโรงแรมหรือโฮเต็ล คือเป็นสถานที่ซึ่งมีลักษณะให้บริการเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทางหรือบุคคลอื่นใด สำหรับอพาร์ตเม้นท์ของจำเลยนั้น ศ. เช่าห้องพักของจำเลยสำหรับอยู่อาศัยและเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปสถานศึกษา แม้จะมีบุคคลอื่นเช่าห้องพักดังกล่าวในลักษณะเดียวกัน แต่เห็นได้ว่าการให้บริการห้องพักของจำเลยมีลักษณะเป็นการให้เช่าพักอยู่อาศัยโดยคิดค่าบริการเป็นรายเดือนขึ้นไปเท่านั้น มิใช่เป็นการให้เช่าบริการที่พักชั่วคราวสำหรับคนเดินทางหรือบุคคลใด ดังนี้ การประกอบธุรกิจของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เข้าลักษณะสถานที่อื่นทำนองเช่นว่านั้น กล่าวคือ เช่นดังเจ้าสำนักโรงแรมหรือโฮเต็ลที่จะนำบทบัญญัติวิธีเฉพาะสำหรับเจ้าสำนักโรงแรมตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับให้จำเลยต้องรับผิดตามคำฟ้องของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14451/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษปรับรายวันในคดีประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับอนุญาต ชอบด้วยกฎหมายเมื่อสอดคล้องกับบทบัญญัติ พ.ร.บ.โรงแรม
บันทึกการฟ้องคดีอาญาด้วยวาจาและบันทึกคำฟ้อง คำรับสารภาพ คำพิพากษาตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 20 ได้ความว่า เมื่อระหว่างต้นเดือนธันวาคม 2556 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2557 เวลากลางวันต่อเนื่องกันจำเลยประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ดังนี้ การฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับวันเวลาซึ่งเกิดการกระทำความผิดของจำเลยพอที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วว่าจำเลยกระทำความผิดตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคม 2556 ถึงวันที่ 29 กันยายน 2557 คำขอท้ายฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ที่ให้ปรับจำเลยเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 จึงมิได้ขัดแย้งกับวันเวลากระทำความผิดตามที่โจทก์ฟ้องด้วยวาจาแต่อย่างใด การฟ้องด้วยวาจาของโจทก์จึงชอบด้วย พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 19 วรรคสอง ประกอบ พ.ร.บ.ให้นำวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงมาใช้บังคับในศาลจังหวัด พ.ศ.2520 มาตรา 3 แล้ว
จำเลยกระทำความผิดฐานประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่ง พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 มาตรา 59 บัญญัติว่า "ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่" ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันจึงเป็นการลงโทษปรับตามบทบัญญัติดังกล่าว มิได้นำบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาใช้บังคับเพื่อปรับบทลงโทษจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงมิใช่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ทั้งคำว่าต้นเดือนธันวาคม มีความหมายถึงวันที่ 1 ธันวาคมด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ปรับจำเลยเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 จนถึงวันฟ้องจึงมิใช่เป็นการตีความที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยเช่นกัน
จำเลยกระทำความผิดฐานประกอบธุรกิจโรงแรมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ซึ่ง พ.ร.บ.โรงแรม พ.ศ.2547 มาตรา 59 บัญญัติว่า "ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 15 วรรคหนึ่ง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปีหรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกวันละไม่เกินหนึ่งหมื่นบาทตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่" ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ลงโทษปรับจำเลยเป็นรายวันจึงเป็นการลงโทษปรับตามบทบัญญัติดังกล่าว มิได้นำบทบัญญัติตาม พ.ร.บ.โรงงาน พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 มาใช้บังคับเพื่อปรับบทลงโทษจำเลยแต่อย่างใด กรณีจึงมิใช่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 นำกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้เป็นผลร้ายแก่จำเลย ทั้งคำว่าต้นเดือนธันวาคม มีความหมายถึงวันที่ 1 ธันวาคมด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ปรับจำเลยเป็นรายวันตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2556 จนถึงวันฟ้องจึงมิใช่เป็นการตีความที่เป็นผลร้ายแก่จำเลยเช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10154/2558
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โรงแรมมีหน้าที่รักษาความปลอดภัยทรัพย์สินแขก แม้แขกประมาทเลินเล่อเองก็ยังต้องรับผิด
จำเลยประกอบธุรกิจโรงแรมจึงมีหน้าที่ต้องรักษาความปลอดภัยในทรัพย์สินของคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามา โรงแรมของจำเลยมีห้องพัก 48 ห้อง มีทางเข้าออกเพียงทางเดียว มีพนักงานปฏิบัติหน้าที่ 2 คน อ. ทำหน้าที่เป็นพนักงานรักษาความปลอดภัยและทำหน้าที่เปิดห้องพักให้แขกทางเข้าออกของโรงแรมไม่มีแผงเหล็กล้อเลื่อน ไม่มีไม้กั้นรถเข้าออก มีเพียงป้อมยาม เช่นนี้แสดงว่าขณะ อ. ไปเปิดห้องพักให้แขกจะไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราหรือดูแลรักษาความปลอดภัย คงมีเพียงพนักงานเก็บเงินคนเดียวประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์ลงทะเบียนเข้าพัก ซึ่งย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่าบุคคลดังกล่าวไม่อาจดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่ลูกค้าได้ คงทำได้เพียงอำนวยความสะดวกในการเข้าพักเท่านั้น ทั้งการขับรถเข้าออกโรงแรมสามารถกระทำได้โดยง่ายเพราะไม่มีแผงกั้นและจำเลยก็ไม่ได้จัดให้มีวิธีรักษาความปลอดภัยวิธีอื่นใดทำให้คนร้ายเข้ามาภายในห้องพักของแขกที่เข้ามาพักอาศัยได้โดยง่าย แม้ดาบตำรวจ ส. กับ ร. จะล็อกเพียงลูกบิดประตูห้องโดยไม่ได้ล็อกกลอนประตูและอุปกรณ์ล็อกรูปตัวยูทั้งที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวติดตั้งอยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปกติวิสัยของคนเข้าพักอาศัย ไม่อาจถือว่าเป็นความผิดของคนเดินทางหรือแขกอาศัย เพราะหากโรงแรมของจำเลยมีการรักษาความปลอดภัยอย่างเพียงพอ ก็ย่อมเป็นการยากที่คนร้ายจะสามารถเข้าไปภายในห้องพักของลูกค้าได้ จำเลยจึงต้องรับผิดตาม ป.พ.พ. มาตรา 674 เมื่อโจทก์ผู้รับประกันภัยจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปตามสัญญาประกันภัยแล้ว ย่อมรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องเอาจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2550 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกค่าสินไหมจากโรงแรมกรณีรถหาย: 6 เดือนนับจากผู้พักอาศัยเช็คเอาท์
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 โดยอาศัยมูลหนี้ที่ ต. ได้นำรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้ไปจอดในบริเวณโรงแรมของจำเลยที่ 1 แล้วเข้าพักในโรงแรม ต่อมารถยนต์คันดังกล่าวหายไป จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมต้องรับผิดในความสูญหายของรถยนต์ที่ผู้พักอาศัยพามาจึงเป็นการฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมรับผิดเพื่อความสูญหายหรือบุบสลายอย่างใดๆ อันเกิดแก่ทรัพย์สินซึ่งคนเดินทางหรือแขกอาศัยหากได้พามาตาม ป.พ.พ. มาตรา 674 ซึ่งการฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้มีอายุความ 6 เดือน นับแต่วันที่คนเดินทางหรือแขกอาศัยออกไปจากสถานที่นั้นตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. มาตรา 678 แม้โจทก์จะอ้างคำฟ้องว่าลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ 1 ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญาและมีคำขอให้คืนรถยนต์แต่โจทก์ก็ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดในฐานะเจ้าสำนักโรงแรมเท่านั้น จึงไม่ใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิดที่มีอายุความ 1 ปี