พบผลลัพธ์ทั้งหมด 258 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1305/2534
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สินสมรส: การโอนทรัพย์สินระหว่างสมรสต้องทำเป็นหนังสือระบุเป็นสินส่วนตัวจึงจะชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยและผู้ร้องสมรสกันเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2512จดทะเบียนหย่า เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2529 ผู้ร้องอ้างว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2518 บิดาผู้ร้องซื้อที่ดินและบ้านพิพาทจาก ว.แต่เวลาจดทะเบียนโอนได้ให้ผู้ร้องมีชื่อเป็นผู้ซื้อเนื่องจากบิดาผู้ร้องยกที่ดินและบ้านพิพาทให้เป็นสินส่วนตัวของผู้ร้อง ดังนี้เป็นการที่ผู้ร้องรับโอนที่ดินและบ้านพิพาทจาก ว. ในระหว่างที่ผู้ร้องและจำเลยเป็นสามีและภรรยากันและรับโอนก่อนประกาศใช้บทบัญญัติ บรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ. 2519 ทรัพย์ที่รับโอนจะเป็นสินสมรสหรือสินส่วนตัวจะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะรับโอน เพราะสินสมรสหรือสินส่วนตัวเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัวซึ่งบทบัญญัติที่ใช้คือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาตรา 1466และ 1464 เดิมที่กำหนดว่า การยกทรัพย์สินให้คู่สมรสเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในระหว่างที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่นั้นจะต้องทำเป็นหนังสือโดยมีข้อความระบุแสดงไว้โดยชัดแจ้งว่ายกให้เป็นสินส่วนตัว ที่ผู้ร้องอ้างว่าบิดายกที่ดินและบ้านพิพาทให้ผู้ร้องเป็นสินส่วนตัวโดยไม่มีหนังสือยกให้มาแสดงว่าเป็นสินส่วนตัวนั้น การยกให้เป็นสินส่วนตัวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ดินและบ้านพิพาทจึงมิใช่สินส่วนตัวของผู้ร้อง แต่เป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องและจำเลยซึ่งผู้ร้องและจำเลยมีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โจทก์จึงมีสิทธิที่จะยึดมาเพื่อบังคับคดีนำเงินมาชำระหนี้ของจำเลยแก่โจทก์ตามคำพิพากษาผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5504/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินหนีหนี้ภาษี: เพิกถอนนิติกรรมได้หากโอนโดยรู้หนี้และเจตนาทำให้เจ้าหนี้เสียเปรียบ
จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าตนได้ชำระภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วนจะต้องถูกประเมินเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่ม และหนี้ภาษีอากรที่ชำระไม่ครบถ้วนไว้ในปีใดก็เป็นหนี้ที่มีอยู่แล้วในปีนั้น ไม่ใช่หนี้จะเกิดมีขึ้นในปีที่มีการแจ้งประเมิน การโอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโอนไปโดยรู้อยู่ว่าตนมีหนี้ภาษีอากรที่จะต้องชำระ และจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะนำมาชำระหนี้ภาษีอากรให้แก่โจทก์ได้ การทำนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาททั้งหมดของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 สมคบกับจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้โจทก์สามารถที่จะนำเอาทรัพย์ที่รับโอนมานั้นบังคับชำระหนี้ได้ แต่จำเลยที่ 6 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทแปลงหนึ่งจากจำเลยที่ 5 ไม่ได้รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยที่ 5 เป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ จึงไม่อาจจะเพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 6 ได้ โจทก์คงมีอำนาจที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทสามแปลงที่เหลือเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5504/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินหนี้สูญ การเพิกถอนนิติกรรมเพื่อคุ้มครองเจ้าหนี้จากการกระทำที่ทำให้ทรัพย์สินลดลง
จำเลยที่ 1 รู้อยู่แล้วว่าตนได้ชำระภาษีอากรไว้ไม่ครบถ้วนจะต้องถูกประเมินเรียกเก็บภาษีอากรเพิ่ม และหนี้ภาษีอากรที่ชำระไม่ครบถ้วนไว้ในปีใดก็เป็นหนี้ที่มีอยู่แล้วในปีนั้น ไม่ใช่หนี้จะเกิดมีขึ้นในปีที่มีการแจ้งประเมิน การโอนที่ดินพิพาททั้งสี่แปลงของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการโอนไปโดยรู้อยู่ว่าตนมีหนี้ภาษีอากรที่จะต้องชำระ และจำเลยที่ 1 ไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะนำมาชำระหนี้ภาษีอากรให้แก่โจทก์ได้ การทำนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาททั้งหมดของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการกระทำโดยรู้อยู่ว่าจะเป็นทางให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้เสียเปรียบ จำเลยที่ 2 ถึงที่ 5 สมคบกับจำเลยที่ 1 เพื่อมิให้โจทก์สามารถที่จะนำเอาทรัพย์ที่รับโอนมานั้นบังคับชำระหนี้ได้ แต่จำเลยที่ 6 ผู้รับโอนที่ดินพิพาทแปลงหนึ่งจากจำเลยที่ 5 ไม่ได้รู้ถึงการที่จำเลยที่ 1 ได้โอนที่ดินแปลงนี้ให้จำเลยที่ 5 เป็นทางให้โจทก์เสียเปรียบ จึงไม่อาจจะเพิกถอนการโอนระหว่างจำเลยที่ 5 กับจำเลยที่ 6 ได้ โจทก์คงมีอำนาจที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนที่ดินพิพาทสามแปลงที่เหลือเสียได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3213/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินก่อนและหลังล้มละลาย: ความคุ้มครองตามพ.ร.บ.ล้มละลาย และผลของการจำนองต่อเนื่อง
แม้ผู้คัดค้านที่ 2 จะจดทะเบียนจำนองทรัพย์ พิพาทซึ่ง เดิมเป็นของลูกหนี้ไว้กับผู้คัดค้านที่ 3 หลังลูกหนี้ถูก ฟ้องขอให้ล้มละลาย แต่ เมื่อเป็นการจดทะเบียนจำนองเพราะผู้คัดค้านที่ 2รับโอนทรัพย์พิพาทมาจากผู้คัดค้านที่ 1 จึงรับเป็นลูกหนี้จำนองแทนผู้คัดค้านที่ 1 เท่ากับการจดทะเบียนจำนองดังกล่าวมีผลสืบเนื่องมาจากภารจำนองเดิม ระหว่างผู้คัดค้านที่ 1 และผู้คัดค้านที่ 3ซึ่ง ทำขึ้นก่อนลูกหนี้ถูก ฟ้องขอให้ล้มละลาย ถือ ไม่ได้ว่าการที่ผู้คัดค้านที่ 2 จดทะเบียนจำนองดังกล่าว เป็นการกระทำภายหลังมีการขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย ผู้คัดค้านที่ 3 จึงได้ รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ. ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 116.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2587/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินก่อนล้มละลาย: สัญญาจะซื้อขายที่ทำไว้ก่อนฟ้อง ไม่ถือเป็นการโอนเพื่อเจตนาให้ได้เปรียบเจ้าหนี้
ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ทำการโอนที่ดินและตึกแถวให้แก่ผู้คัดค้านภายในสามเดือน ก่อนโจทก์ฟ้องขอให้ลูกหนี้ล้มละลายก็ตามแต่ การโอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านดังกล่าวเป็นการโอนที่สืบเนื่องมาจากลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 ได้ ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินและตึกแถวให้ผู้คัดค้านไว้ตั้งแต่ ก่อนโจทก์ฟ้องให้ลูกหนี้ (จำเลย)ทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลายประมาณ 2 ปีเศษ โดย ลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1จะต้อง โอนที่ดินและตึกแถวแก่ผู้คัดค้านเมื่อสร้างเสร็จ ผู้คัดค้านชำระราคาแล้ว 200,000 บาท ยังเหลืออีก 200,000 บาท แต่ เมื่อสร้างเสร็จแล้วลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 นำที่ดินและตึกแถวไปจำนองบริษัท เครดิตฟองซิเอร์เอเซีย จำกัด ไว้ และไม่สามารถไถ่ถอนจำนองมาเพื่อโอนให้แก่ผู้คัดค้านได้ ฝ่ายผู้คัดค้านจึงได้ ชำระหนี้แทนลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1300,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนอง ทำให้ผู้คัดค้านต้อง เสียค่าโอนเกินกว่าที่สัญญากำหนดถึง 100,000 บาทการโอนดังกล่าวเป็นการโอนตาม สัญญาที่ลูกหนี้จำต้องโอนให้ผู้คัดค้านอยู่แล้ว ซึ่ง ราคาที่ดินและตึกแถวที่ผู้คัดค้านรับโอนนั้นก็ใกล้เคียงกับราคาที่เจ้าพนักงานประเมินราคาทรัพย์ของกรมบังคับคดีประเมินไว้ในปี 2529 เป็นเงิน 545,300 บาท แต่ ปรากฏว่าผู้คัดค้านรับโอนในปี 2524 ก่อนการประเมินถึง 5 ปี แสดงว่าราคาขณะรับโอนนั้นผู้รับโอนได้ รับโอนในราคาที่สูงกว่าปกติ พฤติการณ์ดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงใด ส่อแสดงว่าลูกหนี้ (จำเลย) ที่ 1 มุ่งหมายให้ผู้คัดค้านได้เปรียบเจ้าหนี้อื่น เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอให้เพิกถอนการโอนตาม มาตรา 115 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ได้ .
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2288/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินโดยผู้ไม่มีกรรมสิทธิ์ เจ้าของมีสิทธิเรียกคืนได้ตามกฎหมาย
จำเลยร่วมมิใช่เจ้าของที่ดินและตึกแถวพิพาท การที่จำเลยร่วมโอนขายที่ดินและตึกแถวพิพาทซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้แก่จำเลยที่ 3 ดังนี้จำเลยที่ 3 ผู้รับโอนมิได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินและตึกแถวพิพาทจะถือว่าได้มีการโอนกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1299 ไม่ได้เพราะจำเลยร่วมผู้โอนไม่ใช่เจ้าของ และจำเลยที่ 3 จะยกเอาเหตุที่ได้รับโอนโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริตขึ้นต่อสู้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงหาได้ไม่ โจทก์มีสิทธิติดตามเอาที่ดินและตึกแถวพิพาทของโจทก์คืนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1336.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2533 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้เจ้าหนี้ ไม่ถือว่าเป็นการโกงเจ้าหนี้ หากหนี้เป็นเรื่องการซื้อขายที่ดินเฉพาะแปลง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นของตน จำนวน 3 แปลงให้จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตน ตาม สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทได้ รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพราะหนี้ที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลนั้น เป็นเรื่องที่ให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม สัญญาจะซื้อขายเท่านั้นไม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวน 3 แปลงดังกล่าว
ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เท้าความถึงกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อ นัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตามกฎหมายต่อไป..." หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เท้าความถึงกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อ นัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตามกฎหมายต่อไป..." หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2533 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้: ไม่เข้าข่ายความผิดมาตรา 350 หากหนี้เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดิน 1 แปลงจากจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 1ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องให้จำเลยที่ 1โอนที่ดินให้โจทก์ตามสัญญา หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นของตนจำนวน 3 แปลง ให้จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นให้จำเลยที่ 2 ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตนได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพราะหนี้ที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์นั้น เป็นเรื่องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนขายที่ดินแปลงซึ่งระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายแก่โจทก์ตามสัญญาเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวน3 แปลงที่จำเลยที่ 1 โอนให้จำเลยที่ 2 ส่วนที่ทนายโจทก์มีหนังสือถึงจำเลยที่ 1 เท้าความถึงกรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 และตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อนัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตามกฎหมายต่อไป..." นั้น หนังสือดังกล่าวก็ไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย จึงฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2220/2533
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงหนี้เจ้าหนี้ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ หากการโอนไม่เกี่ยวเนื่องกับหนี้ที่โจทก์ฟ้องร้อง
โจทก์ทำสัญญาจะซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 ต่อมาจำเลยที่ 1ไม่จดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ โจทก์จึงใช้สิทธิเรียกร้องทางศาล หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงอื่นของตน จำนวน 3 แปลงให้จำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินดังกล่าวให้จำเลยที่ 2ไม่อาจถือได้ว่าจำเลยที่ 1 โอนที่ดินเพื่อมิให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของตน ตาม สัญญาจะซื้อขายที่ดินพิพาทได้ รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 เพราะหนี้ที่โจทก์ได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลนั้น เป็นเรื่องที่ให้จำเลยที่ 1จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตาม สัญญาจะซื้อขายเท่านั้นไม่เกี่ยวกับที่ดินจำนวน 3 แปลงดังกล่าว ทนายโจทก์มีหนังสือถึง จำเลยที่ 1 เท้าความถึง กรณีที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน แต่ไม่สามารถจดทะเบียนโอนขายได้เพราะมีเหตุขัดข้องเนื่องมาจากฝ่ายจำเลยที่ 1 ตอนท้ายของหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่า "หากไม่ได้รับการติดต่อ นัดหมายโอนที่ดินดังกล่าวภายใน 7 วัน... ข้าพเจ้าก็มีความเสียใจที่จะดำเนินการกับท่านตาม กฎหมายต่อไป..." หนังสือดังกล่าวไม่มีข้อความหรือไม่อาจแปลได้ว่าโจทก์จะฟ้องให้จำเลยที่ 1 คืนเงินมัดจำพร้อมกับเรียกค่าเสียหาย ฟังไม่ได้ว่าโจทก์จะใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้จำเลยคืนเงินมัดจำพร้อมกับชดใช้ค่าเสียหาย.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2900/2532
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินหลังมรณะและเจตนาโกงเจ้าหนี้: เหตุผลสมควรในการใช้ทุนประกอบการและชำระหนี้
ป. กู้เบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารโจทก์ร่วม โดยจำนองที่ดิน 7 แปลงเป็นประกันหนี้ และจำนำพืชไร่กับโจทก์ร่วมโดยออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้ไว้ ต่อมา ป. ถึงแก่ความตาย จำเลยซึ่งเป็นภรรยา ป. จึงเข้าดำเนินกิจการค้าแทนและได้รับแต่งตั้งจากศาลให้เป็นผู้จัดการมรดกของ ป. โจทก์ร่วมทวงถามหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองกับจำเลย ต่อมาจำเลยโอนขายที่ดินซึ่งจำนอง 2 แปลงให้บุคคลภายนอก และโอนทะเบียนรถยนต์จากชื่อ ป. เป็นชื่อห้างหุ้นส่วนซึ่ง ป. เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ ดังนี้ การที่จำเลยขายที่ดิน 2 แปลง โดยอ้างว่าเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนทำธุรกิจการค้าเพื่อใช้หนี้ของ ป. และใช้เป็นทุนเลี้ยงดูบุตรของ ป.4 คน นับว่ามีเหตุผลสมควร ทั้งโจทก์ก็ยังมิได้บังคับชำระหนี้จากที่ดินจำนอง จึงยังไม่แน่ชัดว่าไม่เพียงพอชำระหนี้หรือไม่ สำหรับรถยนต์แม้จะโอนทะเบียนเป็นชื่อห้างหุ้นส่วน โจทก์ร่วมก็สามารถบังคับคดีได้ตลอดเวลา นอกจากนี้จำเลยเคยติดต่อให้โจทก์ร่วมขายพืชไร่ที่ ป. จำนำและโอนขายหุ้นของ ป. เพื่อชำระหนี้ แสดงว่าจำเลยมีความสนใจและตั้งใจชำระหนี้ ดังนั้นพฤติการณ์ของจำเลยยังไม่พอฟังว่ามีเจตนาโอนทรัพย์ให้ผู้อื่นเพื่อไม่ให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือบางส่วน จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350