พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,834 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายที่ไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
การทำร้ายแค่ไหนจะถือว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามมาตรา 295 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่นั้นจำต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบกัน
จำเลยเพียงแต่ใช้เท้าเตะและใช้มือตบผู้เสียหาย มิได้ใช้อาวุธทำร้าย ผู้เสียหายได้รับบาดแผลเพียงฟกช้ำเท่านั้น และรักษาเพียง 5 วันก็หาย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแกกายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295คงเป็นผิดตามมาตรา 391 เท่านั้น.
จำเลยเพียงแต่ใช้เท้าเตะและใช้มือตบผู้เสียหาย มิได้ใช้อาวุธทำร้าย ผู้เสียหายได้รับบาดแผลเพียงฟกช้ำเท่านั้น และรักษาเพียง 5 วันก็หาย ยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแกกายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295คงเป็นผิดตามมาตรา 391 เท่านั้น.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายด้วยการเตะและตบจนเกิดรอยฟกช้ำไม่ถึงขั้นเป็นอันตรายแก่กายตามมาตรา 295
การทำร้ายแค่ไหนจะถือว่าเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตาม มาตรา 295 แห่งประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่นั้น จำต้องพิจารณาถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบกัน
จำเลยเพียงแต่ใช้เท้าเตะและใช้มือตบผู้เสียหาย มิได้ใช้อาวุธทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดแผลเพียงฟกช้ำเท่านั้นและรักษาเพียง 5 วันก็หายยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 คงเป็นผิดตามมาตรา 391 เท่านั้น
จำเลยเพียงแต่ใช้เท้าเตะและใช้มือตบผู้เสียหาย มิได้ใช้อาวุธทำร้ายผู้เสียหายได้รับบาดแผลเพียงฟกช้ำเท่านั้นและรักษาเพียง 5 วันก็หายยังถือไม่ได้ว่าเป็นอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 คงเป็นผิดตามมาตรา 391 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุหย่า: การทำร้ายร่างกายเล็กน้อย, การหมิ่นประมาท, และการพิสูจน์พฤติการณ์เป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยา
ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบ ๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500 (2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยผู้จัดการ (ชาวออสเตรเลีย) ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า "คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด" คำว่า อ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์ เป็นคำด่านและคำสบประมาท แม้จำเลยจะได้ใช้ถอยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้ พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500 (2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการ แต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างไรบ้าง ที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้น ทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วย ดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาฯ ขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯ หรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีก การทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเวลากำหนด 3 เดือน ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ เมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังหนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าขาดแล้ว แม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา 1509 วรรค 2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยผู้จัดการ (ชาวออสเตรเลีย) ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า "คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด" คำว่า อ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์ เป็นคำด่านและคำสบประมาท แม้จำเลยจะได้ใช้ถอยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้ พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500 (2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการ แต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างไรบ้าง ที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้น ทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วย ดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาฯ ขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯ หรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้ว ต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีก การทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเวลากำหนด 3 เดือน ซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ เมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังหนี้ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าขาดแล้ว แม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา 1509 วรรค 2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เหตุหย่า: การทำร้ายร่างกายเล็กน้อย, การหมิ่นประมาทด้วยคำพูด, และการพิสูจน์เหตุการณ์ในอดีต
ภรรยาเอาเล็บข่วนหน้าสามีเป็นรอยถูกข่วนเพียงเล็กน้อยเลือดออกซิบๆ เท่านั้น จะถือว่าเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บจนเป็นเหตุหย่าตามนัยมาตรา 1500(2) ยังไม่ได้
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า 'คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด' คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่
สามีภรรยาเป็นชาวออสเตรเลีย สามีเป็นผู้จัดการบริษัท ภรรยาตามไปทวงกุญแจรถจากสามีในที่ทำงานของสามี สามีไม่ให้ภรรยาได้พูดกับผู้ช่วยจัดการ(ชาวออสเตรเลีย)ต่อหน้าสามีเป็นภาษาอังกฤษแปลได้ความว่า 'คุณช่วยพูดกับอ้ายหมูนี่ให้รู้เรื่องทีเถิด' คำว่าอ้ายหมู นี้หมายถึงโจทก์เป็นคำด่าและคำสบประมาทแม้จำเลยจะได้ใช้ถ้อยคำที่หยาบคายนี้ด่าโจทก์ แต่ก็เพราะโกรธโจทก์ที่ไม่ยอมมอบกุญแจรถให้พฤติการณ์เช่นนี้แม้จะถือว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ก็ยังไม่ใช่เป็นการหมิ่นประมาทซึ่งเป็นการร้ายแรงอันจะเป็นเหตุหย่าได้ตามมาตรา 1500(2)
โจทก์บรรยายฟ้องถึงการกระทำของจำเลยต่อโจทก์หลายประการแต่มิได้กล่าวอ้างเลยว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภรรยาอย่างร้ายแรง และไม่ได้กล่าวเลยว่าการกระทำอย่างไรบ้างที่โจทก์ถือว่าเป็นการกระทำในลักษณะนั้นทั้งยังสรุปไว้ท้ายฟ้องโดยกล่าวแต่เหตุหย่าประการอื่นด้วยดังนี้ ศาลย่อมไม่ยกเหตุหย่าเรื่องทำการเป็นปฏิปักษ์ฯการเป็นสามีภรรยาฯขึ้นวินิจฉัย (ไม่ว่าการกระทำตามที่บรรยายไว้นั้นจะพอให้ถือว่าจำเลยกระทำการเป็นปฏิปักษ์ฯหรือไม่ก็ตาม)
โจทก์นำสืบว่า จำเลยเคยทำร้ายร่างกายโจทก์ถึงบาดเจ็บมาครั้งหนึ่งแล้วต่อมาภายหลังยังข่วนหน้าโจทก์อีกการทำร้ายครั้งแรกนั้นล่วงเลยกำหนด 3 เดือนซึ่งโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะนำมาฟ้องอ้างเป็นเหตุหย่าในคดีนี้ได้ และเมื่อการข่วนหน้าในครั้งหลังนี้ก็ไม่เข้าลักษณะเป็นการทำร้ายร่างกายถึงบาดเจ็บอันจะเป็นเหตุหย่าได้แล้วแม้ศาลจะยกเอาการทำร้ายร่างกายในครั้งก่อนมาสนับสนุนตามมาตรา1509 วรรค2 ก็หาเป็นประโยชน์แก่คดีโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1777/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องซ้ำ: การนำความผิดทำร้ายร่างกายที่ศาลทหารตัดสินแล้ว มาเป็นองค์ความผิดในคดีบุกรุกต่อศาลอาญา
จำเลยถูกฟ้องยังศาลทหารฐานทำร้ายร่างกายและศาลพิพากษาลงโทษจำเลย คดีเสร็จเด็ดขาดไปแล้ว ต่อมาอัยการยังฟ้องจำเลยต่อศาลอาญาฐานบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้ายอีก โดยเอาการทำร้ายร่างกายครั้งเดียวกันนั่นเองมาเป็นองค์ความผิดของคดีหลังนี้ด้วย ดังนี้ ต้องถือว่าเป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1520/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายหลายคนต่างกรรมต่างวาระ ไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำ สิทธิฟ้องยังไม่ระงับ
การที่จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายสามคนในระยะเวลาติดต่อกันนั้น ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคนหนึ่งแล้ว คดีก็ย่อมเสร็จเด็ดขาดไปเฉพาะกระทงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคนนั้นเท่านั้นส่วนกระทงความผิดที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายอื่นยังหาได้มีการพิจารณาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยอีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1520/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายหลายคนต่างกรรมต่างวาระ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ แม้ศาลเคยพิพากษาลงโทษในคดีหนึ่งไปแล้ว
การที่จำเลยใช้ไม้ตีทำร้ายผู้เสียหายสามคนในระยะเวลาติดต่อกันนั้น ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยต่างกรรมต่างวาระกัน เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคนหนึ่งแล้ว คดีก็ย่อมเสร็จเด็ดขาดไปเฉพาะกระทงความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้เสียหายคนนั้นเท่านั้นส่วนกระทงความผิดที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายอื่นยังหาได้มีการพิจารณาพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปไม่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยอีกได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2506 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนเกิดการกระทบกระเทือนที่ศีรษะและรักษาตัวนานเกิน 10 วัน ถือเป็นอันตรายแก่กาย
โจทก์ถูกจำเลยชกล้มลงได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะ รักษาอยู่ 10 วัน เศษ กับได้รับแผลภายนอกเป็นรอยบวมเช่นนี้ ถือว่า เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1340/2506
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายจนเกิดการกระทบกระเทือนที่ศีรษะและรักษาตัวเป็นเวลานาน ถือเป็นอันตรายแก่กายตามกฎหมาย
โจทก์ถูกจำเลยชกล้มลงได้รับความกระทบกระเทือนที่ศีรษะรักษาอยู่ 10 วันเศษกับได้รับแผลภายนอกเป็นรอยบวมเช่นนี้ถือว่า เป็นอันตรายแก่กายตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 971/2505 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวความผิดเดียว: สิทธิฟ้องคดีบุกรุกระงับเมื่อมีคำพิพากษาคดีทำร้ายร่างกายแล้ว
กรณีบุกรุกเข้าไปในบ้านเพื่อทำร้ายคนบนเรือนเป็นการกระทำกรรมเดียวกันนั้นเมื่อศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดฐานทำร้ายร่างกายแล้ว สิทธิที่จะฟ้องคดีฐานบุกรุกย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณความอาญา มาตรา 39(4)