คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความรับผิด

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,971 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่ตกทอดถึงทายาท หากผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายก่อนลูกหนี้ผิดสัญญา
จำเลยที่1ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจำเลยที่1จะต้องกลับมาราชการชดใช้ทุนหากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมีก.เป็นผู้ค้ำประกันดังนี้เมื่อปรากฏว่าก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่1ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัดจึงยังไม่มีหนี้ของก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้สัญญาค้ำประกันของก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาทจำเลยที่2ที่5และที่6ซึ่งเป็นทายาทของก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6023/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันไม่ตกทอดถึงทายาท หากผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายก่อนลูกหนี้ผิดสัญญา
จำเลยที่1ได้รับอนุมัติจากทางราชการให้ลาไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยทุนของโจทก์และทำสัญญาให้ไว้แก่โจทก์ว่าจำเลยที่1จะต้องกลับมารับราชการชดใช้ทุนหากผิดสัญญายอมชดใช้เงินทุนและเบี้ยปรับแก่โจทก์โดยมีก. เป็นผู้ค้ำประกันดังนี้เมื่อปรากฎว่าก.ผู้ค้ำประกันถึงแก่ความตายลงในระหว่างเวลาที่จำเลยที่1ยังไม่ผิดสัญญาและยังไม่ผิดนัดจึงยังไม่มีหนี้ของก.ที่โจทก์จะเรียกให้รับผิดได้สัญญาค้ำประกันของก.ที่ทำไว้ต่อโจทก์ก็ย่อมไม่ตกทอดไปยังทายาทจำเลยที่2ที่5และที่6ซึ่งเป็นทายาทของก.จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์: การพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงเหตุและผล
รถยนต์คันที่ ส.ขับมีผู้ตายทั้งสองนั่งโดยสารมาด้วย ส.ขับรถชนท้ายรถบรรทุกห้องเย็นอย่างแรง แล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนัก ก.และท.ที่นั่งโดยสารมากับรถจำเลยในที่นั่งตอนหน้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย การที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก.และ ท.กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตาย เช่นนี้ ย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลย แต่น่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากการที่ ส.ขับรถชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นมากกว่า จำเลยจึงไม่มีความผิดตามป.อ. มาตรา 291 แต่มีความผิดตามมาตรา 390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 598/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชนท้ายรถหลายคัน ความรับผิดทางอาญาต่อการเสียชีวิตของผู้โดยสาร พิจารณาผลกระทบจากแรงชนและการบาดเจ็บ
รถยนต์คันที่ ส. ขับมีผู้ตายทั้งสองนั่งโดยสารมาด้วย ส.ขับรถชนท้ายรถบรรทุกห้องเย็นอย่างแรงแล้วจึงถูกรถจำเลยชนท้ายไม่รุนแรงนัก ก. และ ท. ที่นั่งโดยสารมากับรถจำเลยในที่นั่งตอนหน้าได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยการที่ผู้ตายทั้งสองซึ่งนั่งอยู่หน้ารถ ส. อยู่ห่างไกลจุดชนมากกว่า ก. และ ท. กลับได้รับอันตรายถึงแก่ความตายเช่นนี้ย่อมแสดงว่าความตายของผู้ตายทั้งสองมิใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำโดยประมาทของจำเลยแต่น่าจะเป็นผลโดยตรงมาจากการที่ ส.ขับรถชนท้ายรถยนต์บรรทุกห้องเย็นมากกว่าจำเลยจึงไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา291แต่มีความผิดตามมาตรา390

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5953/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ตัวแทนเชิด สัญญาเพื่อประโยชน์ต่างตอบแทน ความรับผิดของตัวการ
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 3 ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 แม้ในสัญญาเพื่อประโยชน์ต่างตอบแทนมิได้ระบุว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 โจทก์ก็นำสืบพยานบุคคลว่าจำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ เพราะเป็นการสืบถึงความจริงว่าเป็นตัวการและตัวแทนมิใช่สืบถึงการที่จะบังคับตามสัญญาแต่ประการใด และในคำฟ้องบรรยายแต่ว่าเป็นตัวแทน ศาลก็มีอำนาจวินิจฉัยว่าเป็นตัวแทนเชิดได้ เพราะตัวแทนกับตัวแทนเชิดก็มีความรับผิดในลักษณะอย่างเดียวกัน ฉะนั้น ถึงแม้สัญญาเพื่อประโยชน์ต่างตอบแทนจะมิได้กล่าวเรื่องตัวแทนตัวการเลย ศาลก็มีอำนาจที่จะรับฟังพยานบุคคลและพฤติการณ์ในคดีประกอบการวินิจฉัยได้
จำเลยที่ 3 ได้ทำสัญญาเพื่อประโยชน์ต่างตอบแทนกับโจทก์ในวันที่ 11 กันยายน 2532 ในสัญญาได้กล่าวถึงที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 50266และ 50267 ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าจำนองอยู่แก่ธนาคาร อ. โจทก์ได้มอบเงินให้จำเลยที่ 3 ไป 1,300,000 บาท และได้ชำระหนี้จำนองรายนี้เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2532 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 3เป็นผู้จัดการไถ่ถอนจำนองและได้มีการจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่50266 และ 50267 เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2532 การไถ่ถอนจำนองรายนี้เป็นเงินที่จำเลยที่ 3 รับมาจากโจทก์ มิใช่เป็นเงินของจำเลยที่ 1 และที่ 2เอง เมื่อได้เงินมาไถ่ถอนจำนองแล้ว จำเลยที่ 1 และที่ 2 มอบให้จำเลยที่ 3เป็นผู้ดำเนินการ เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 รับเอาประโยชน์จากเงินที่ได้มาจากการทำสัญญา ฉะนั้น กิจการที่จำเลยที่ 3 ได้กระทำไป จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับเอาประโยชน์นั้น เป็นพฤติการณ์ที่ชี้ชัดว่า จำเลยที่ 3 เป็นตัวแทนเชิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 3 ไปทำสัญญาเพื่อประโยชน์ต่างตอบแทนกับโจทก์ สัญญาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยที่ 1 และที่ 2
ความสัมพันธ์ระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นตัวการตัวแทน เมื่อตัวแทนทำกิจการในหน้าที่ ความรับผิดชอบต่าง ๆ ต้องอยู่ที่ตัวการ ตัวแทนไม่ต้องรับผิด จึงมิใช่เป็นหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย และคำให้การต่อสู้คดีเป็นเรื่องเฉพาะตัวจำเลยแต่ละคนเมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 มิได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ย่อมไม่มีประเด็นสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 การที่จำเลยที่ 3 ต่อสู้คดีเรื่องการบอกเลิกสัญญาในคดีที่มิได้เป็นหนี้ร่วม ย่อมเป็นการเฉพาะตัวของจำเลยที่ 3 เมื่อคดีสำหรับจำเลยที่ 3ยุติตั้งแต่ศาลชั้นต้น ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้จำเลยที่ 1จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5915/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับประกันภัยรถยนต์: ความรับผิดของผู้รับประกันภัยเมื่อผู้เอาประกันภัยยินยอมให้ผู้อื่นขับขี่
ตามกรมธรรม์ประกันภัยซึ่งจำเลยที่3ออกให้จำเลยที่2ระบุว่าการคุ้มครองผู้ขับขี่บริษัทจะถือว่าบุคคลใดซึ่งขับขี่รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยเสมือนหนึ่งเป็นผู้เอาประกันภัยเองซึ่งหมายความว่านอกจากรับผิดในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยทำละเมิดต่อผู้อื่นแล้วจำเลยที่3ยอมรับผิดในกรณีที่จำเลยที่2ผู้เอาประกันภัยมิได้เป็นผู้ทำละเมิดเองแต่ผู้อื่นเป็นผู้ทำละเมิดโดยผู้นั้นได้ขับขี่รถยนต์คันที่จำเลยที่3รับประกันภัยไว้โดยความยินยอมของจำเลยที่2ผู้เอาประกันภัยด้วยเมื่อจำเลยที่2ผู้เอาประกันภัยยินยอมให้จำเลยที่1ขับขี่รถยนต์คันเกิดเหตุจำเลยที่3ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามกรมธรรม์ประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ และฟ้องไม่เคลือบคลุมเมื่อระบุรายละเอียดหนี้ชัดเจน
การที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียวทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์เจ้าหนี้ โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือน เป็นเพียงขอเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เท่านั้นส่วนหนี้เดิมมีอยู่อย่างไร คงมีอยู่อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงไม่เป็นการแปลงหนี้เดิมจึงหาระงับไปไม่ จำเลยที่ 2 ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 อยู่ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่า จำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงินเท่าไร มีจำเลยที่ 2 ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม ถือว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้ว โดยระบุที่มาของหนี้ จำนวนหนี้ที่ค้างชำระและความรับผิดของจำเลยที่ 1 และที่ 2ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจะต้องรับผิดอย่างไร ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เอกสารส่วนหนึ่งของบัญชีกระแสรายวัน ซึ่งจำเลยที่ 1เปิดไว้กับโจทก์ ซึ่งเป็นเอกสารเป็นชุดมีจำนวนประมาณ 70 แผ่นกรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90(1)เดิม คู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานเช่นที่ว่านี้ไม่จำต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตรวจสอบก่อน 3 วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้ใหม่ และฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียวทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์เจ้าหนี้โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเป็นเพียงขอเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เท่านั้นส่วนหนี้เดิมมีอยู่อย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงไม่เป็นการแปลงหนี้ใหม่หนี้เดิมจึงหาระงับไปไม่จำเลยที่2ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1อยู่ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่1ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงินเท่าไรมีจำเลยที่2ทำสัญญาค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมถือว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วโดยระบุที่มาของหนี้จำนวนหนี้ที่ค้างชำระและความรับผิดของจำเลยที่1และที่2ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจะต้องรับผิดอย่างไรฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เอกสารส่วนหนึ่งของบัญชีกระแสรายวันซึ่งจำเลยที่1เปิดไว้กับโจทก์ซึ่งเป็นเอกสารเป็นชุดมีจำนวนประมาณ70แผ่นกรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90(1)เดิมคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานเช่นที่ว่านี้ไม่จำต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตรวจสอบก่อน3วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5866/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับสภาพหนี้ไม่ถือเป็นการแปลงหนี้เดิม และฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
การที่จำเลยที่1ซึ่งเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียวทำหนังสือรับสภาพหนี้โดยยอมใช้หนี้ให้แก่โจทก์เจ้าหนี้โดยขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเป็นเพียงขอเปลี่ยนวิธีการชำระหนี้เท่านั้นส่วนหนี้เดิมมีอยู่อย่างไรคงมีอยู่อย่างนั้นไม่ถือว่าเป็นการเปลี่ยนสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้จึงไม่เป็นการแปลงหนี้เดิมจึงหาระงับไปไม่จำเลยที่2ยังต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่1อยู่ ฟ้องโจทก์ได้บรรยายว่าจำเลยที่1ได้ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์จำนวนเงินเท่าไรมีจำเลยที่2ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมถือว่าคำฟ้องโจทก์แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นแล้วโดยระบุที่มาของหนี้จำนวนหนี้ที่ค้างชำระและความรับผิดของจำเลยที่1และที่2ไว้ชัดแจ้งแล้วว่าจะต้องรับผิดอย่างไรฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม เอกสารส่วนหนึ่งของบัญชีกระแสรายวันซึ่งจำเลยที่1เปิดไว้กับโจทก์ซึ่งเป็นเอกสารเป็นชุดมีจำนวนประมาณ70แผ่นกรณีจึงต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา90(1)เดิมคู่ความฝ่ายที่อ้างอิงพยานหลักฐานเช่นที่ว่านี้ไม่จำต้องยื่นหรือส่งสำเนาเอกสารให้จำเลยตรวจสอบก่อน3วัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5850/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของกรรมการรับส่งเงินและผู้บังคับบัญชาต่อการยักยอกเงินของส่วนราชการ
ฟ้องโจทก์ได้บรรยายถึงอำนาจหน้าที่และการประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ที่ 7 และที่ 10 ทำให้โจทก์เสียหาย ทั้งได้บรรยายถึงจำนวนเงินที่จำเลยดังกล่าวจะต้องร่วมรับผิดไว้ แม้จำนวนเงินที่บรรยายไว้จะไม่ตรงกับเอกสารท้ายฟ้องก็ตาม ก็เป็นเพียงรายละเอียดที่จะไปว่ากล่าวกันในชั้นพิจารณาว่าที่ถูกต้องเป็นจำนวนเท่าไร ฟ้องโจทก์ได้บรรยายชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาคำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172วรรคสอง แล้ว
ตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและนำเงินส่งคลังของส่วนราชการพ.ศ.2520 และคำสั่งป่าไม้จังหวัดอุบลราชธานีมุ่งให้คณะกรรมการรับส่งเงินรับผิดชอบร่วมกันควบคุมเงินไปส่งที่คลังจังหวัดเพื่อป้องกันการทุจริต จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 7 ในฐานะกรรมการรับส่งเงินมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามร่วมกันนำส่งเงินต่อคลังจังหวัดจนกว่าคลังจังหวัดจะรับเงินไว้เรียบร้อยแล้ว หาใช่เพียงแต่ควบคุมเงินไปถึงคลังจังหวัดก็เป็นอันหมดหน้าที่ไม่ การที่จำเลยดังกล่าวได้นำเงินไปส่งคลังจังหวัดโดยคอยอยู่นอกห้องคลังจังหวัด ปล่อยให้จำเลยที่ 1 เข้าไปนำส่งเงินในห้องคลังจังหวัดเพียงผู้เดียวเป็นการไม่ปฏิบัติตามระเบียบและคำสั่งดังกล่าวและเป็นผลให้จำเลยที่ 1 สามารถปลอมใบนำส่งเงิน ปลอมลายมือชื่อคลังจังหวัดและตราประทับของคลังจังหวัดยักยอกเงินของโจทก์ไปได้ ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 7 ประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย จึงต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ตามจำนวนเงินที่ตนร่วมเป็นกรรมการนำส่งเงิน ข้อที่ว่ากรรมการอื่นก็ได้เคยปฏิบัติเช่นเดียวกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 7 หาอาจจะยกเป็นข้ออ้างให้พ้นความรับผิดได้ไม่
แม้ตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ.2520 จะกำหนดให้เจ้าหน้าที่การเงินรวบรวมยอดเงินตามใบเสร็จรับเงินในแต่ละวัน แล้วบันทึกยอดรวมไว้ด้านหลังสำเนาใบเสร็จรับเงินฉบับสุดท้าย และให้ส่วนราชการตรวจสอบจำนวนเงินที่นำส่งให้ตรงกับหลักฐานที่บันทึกในบัญชีเงินสดให้ถูกต้อง ทั้งตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 218ว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินจะบัญญัติให้หัวหน้าส่วนราชการประจำจังหวัดนั้น ๆ เป็นผู้ปกครองบังคับบัญชารับผิดชอบ แต่การจะให้ผู้บังคับบัญชาต้องร่วมรับผิดกับผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยนั้น ย่อมต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยละเมิดกล่าวคือ ต้องจงใจหรือประมาทเลินเล่ออันเป็นผลทำผู้ใต้บังคับบัญชายักยอกเงินไป
of 498