พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,244 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497-3501/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับพิจารณาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาโดยชอบแล้ว และการสืบพยานเพิ่มเติมไม่จำเป็น
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลย ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 จำเลยฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งมิได้ถูกฟ้องด้วยเป็นการไม่ชอบ หาได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไม่ การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นด้วยมิได้กระทบกระเทือนสิทธิหน้าที่จำเลยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบที่ศาลฎีกาจะรับไว้พิจารณา
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไปเมื่อปรากฏว่าหลังจากมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้น และได้พิพากษาคดีใหม่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีกต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไปเมื่อปรากฏว่าหลังจากมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้น และได้พิพากษาคดีใหม่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3497-3501/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์: จำเลยต้องโต้แย้งประเด็นที่กระทบสิทธิหน้าที่โดยตรง และการสืบพยานเพิ่มเติม
ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ.2522จำเลยฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นซึ่งมิได้ถูกฟ้องด้วยเป็นการไม่ชอบหาได้ฎีกาโต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยไม่การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิกถอนคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่นด้วยมิได้กระทบกระเทือนสิทธิหน้าที่จำเลยเพิ่มขึ้นแต่อย่างใดฎีกาของจำเลยจึงไม่ชอบที่ศาลฎีกาจะรับไว้พิจารณา ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดีจำเลยฎีกาว่าข้อเท็จจริงเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้วไม่จำเป็นต้องสืบพยานต่อไปเมื่อปรากฏว่าหลังจากมีคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการสืบพยานโจทก์จำเลยจนเสร็จสิ้นและได้พิพากษาคดีใหม่แล้วจึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยอีกต่อไป.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2529 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีกรรมสิทธิ์ที่ดิน: เมื่อศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้นแล้ว โจทก์ไม่สามารถฎีกาข้อเท็จจริงเดิมได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินแปลงที่ 2 และที่ 3 ส่วนแปลงที่ 1 จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของบุคคลอื่นมิได้ต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ซึ่งมีราคา 7,000 บาท และพอถือได้ว่า ขณะยื่นฟ้องที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่าที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 กับแปลงที่ 2, ที่ 3 ไม่ใช่ของโจทก์ คดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 นี้ ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาห้ามโต้เถียงข้อเท็จจริงเดิม หลังศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้วในประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดิน
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์ จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินแปลงที่ 2 และที่ 3 ส่วนแปลงที่ 1 จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของบุคคลอื่นมิได้ต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 ซึ่งมีราคา 7,000 บาท และพอถือได้ว่าขณะยื่นฟ้องที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ5,000 บาทด้วย เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่าที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 กับแปลงที่ 2, ที่ 3 ไม่ใช่ของโจทก์คดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแปลงที่ 1 นี้ ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3496/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีกรรมสิทธิ์ที่ดิน: เมื่อศาลอุทธรณ์ตัดสินแล้ว โต้แย้งข้อเท็จจริงเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาททั้งสามแปลงเป็นของโจทก์จำเลยกล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์เฉพาะที่ดินแปลงที่2และที่3ส่วนแปลงที่1จำเลยต่อสู้ว่าเป็นของบุคคลอื่นมิได้ต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทแปลงที่1ซึ่งมีราคา7,000บาทและพอถือได้ว่าขณะยื่นฟ้องที่ดินดังกล่าวอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ5,000บาทด้วยเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยฟังว่าที่ดินพิพาทแปลงที่1กับแปลงที่2,ที่3ไม่ใช่ของโจทก์คดีเกี่ยวกับที่ดินพิพาทแปลงที่1นี้ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3361/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและจำนอง หลังศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับจำเลย
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์ที่ฟ้องจำเลยให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายและการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ และยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ขอให้ห้ามจำเลยที่ 1 จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินและห้ามจำเลยที่ 1 รื้อถอนทำลายสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวศาลอุทธรณ์สั่งห้ามจำเลยที่ 1 ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างอุทธรณ์เว้นแต่นิติกรรมไถ่ถอนจำนองและห้ามจำเลยที่ 1รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทด้วยจำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์และจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงร่วมกับจำเลยที่ 1 กับเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่เกี่ยวกับที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ดังนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงไม่จำเป็นแก่คดีและที่จำเลยที่ 1 ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลยที่ 1 ต่อไป ศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 1
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3361/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เพิกถอนการจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและจำนอง หลังศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาเดิม คำสั่งคุ้มครองประโยชน์เดิมจึงสิ้นสุด
โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องโจทก์ที่ฟ้องจำเลยให้เพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับการซื้อขายและการจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเฉพาะส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และยื่นคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ขอให้ห้ามจำเลยที่1จำหน่ายจ่ายโอนที่ดินทั้งสองแปลงพร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินและห้ามจำเลยที่1รื้อถอนทำลายสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวศาลอุทธรณ์สั่งห้ามจำเลยที่1ทำนิติกรรมใดๆเกี่ยวกับที่ดินพิพาทในระหว่างอุทธรณ์เว้นแต่นิติกรรมไถ่ถอนจำนองและห้ามจำเลยที่1รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินพิพาทด้วยจำเลยที่1ฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนขายที่ดินเฉพาะส่วนของโจทก์และจดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาททั้งสองแปลงร่วมกับจำเลยที่1กับเพิกถอนการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมจำนองระหว่างจำเลยที่1ที่2ที่เกี่ยวกับที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ดังนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่ให้คุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์จึงไม่จำเป็นแก่คดีและที่จำเลยที่1ฎีกาคำสั่งศาลอุทธรณ์ไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของจำเลยที่1ต่อไปศาลฎีกาย่อมพิพากษายกฎีกาจำเลยที่1.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษจำคุกและรอการลงโทษ: ศาลอุทธรณ์แก้เป็นรอการลงโทษ แม้ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี ทำให้จำกัดสิทธิในการฎีกา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย1ปีศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้รอการลงโทษจำคุกและคุมประพฤติจำเลยไว้ถือว่าเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินหนึ่งปีจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา219.(ที่มา-ส่งเสริมฯ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2758/2529
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทิ้งอุทธรณ์และการขยายเวลาวางค่าธรรมเนียม ศาลอุทธรณ์มีอำนาจวินิจฉัยพฤติการณ์พิเศษได้
ศาลชั้นต้นสั่งให้จำเลยที่1นำส่งสำเนาอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของตนให้แก่โจทก์จำเลยที่1นำส่งแล้วแต่ส่งไม่ได้และต่อมาได้แถลงต่อศาลว่ากระบวนพิจารณาอยู่ในขั้นตอนระหว่างศาลกับจำเลยที่1ไม่เกี่ยวข้องกับโจทก์ขอให้ส่งอุทธรณ์คำสั่งไปยังศาลอุทธรณ์ต่อมาศาลสั่งให้จำเลยที่1นำส่งใหม่แต่มิได้กำหนดเวลาให้นำส่งภายในกี่วันจำเลยที่1ไปติดต่อนำส่งหมายเมื่อพ้น7วันซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดไว้ในหมายดังนี้คำแถลงของจำเลยที่1มิได้ยืนยันว่าจะไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลพฤติการณ์ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่1ทิ้งอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยที่1เพราะจำเลยที่1มิได้นำเงินค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายในกำหนดศาลอุทธรณ์พิพากษากลับอนุญาตให้จำเลยที่1ผัดการวางเงินค่าธรรมเนียมแล้วให้ศาลชั้นต้นตรวจอุทธรณ์มีคำสั่งใหม่คำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์มิได้พิจารณาเนื้อหาในอุทธรณ์จึงมิใช่คำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์อันจะถึงที่สุดตามมาตรา236คู่ความจึงฎีกาได้ เมื่อศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์แล้วก็เป็นอำนาจหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ที่จะวินิจฉัยว่ามีการทิ้งอุทธรณ์หรือไม่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยที่1มิได้ทิ้งอุทธรณ์ก็ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยต่อไปถึงพฤติการณ์พิเศษที่จะให้ขยายระยะเวลาการวางเงินค่าธรรมเนียมให้จำเลยที่1ตามคำร้องได้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 249/2529 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคดีเช็ค: ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยพยานหลักฐานความพร้อมทางการเงินของจำเลยเป็นสาระสำคัญในการพิสูจน์ความผิด
อุทธรณ์ของโจทก์ที่เป็นเพียงการแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ ของโจทก์ในการรับฟังข้อเท็จจริงว่า คดีโจทก์มีมูลนั้น มิได้ทำให้ปัญหาที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเปลี่ยนแปลงไป คดียังคงมีปัญหาว่า ฟ้องของโจทก์มีมูลหรือไม่ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบแล้วเห็นว่า โจทก์ไม่ได้นำสืบ (ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง) ให้ปรากฏว่า วันที่เช็คถึงกำหนดจำเลยมีเงินในบัญชีพอที่จะจ่ายเงินตามเช็คพิพาทได้หรือไม่ หรือบัญชีของจำเลยปิดแล้วหรือไม่ ซึ่งเป็นสาระสำคัญของคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค คดีของโจทก์จึงไม่มีมูลนั้น เหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการเพียงพอแล้วที่ศาลอุทธรณ์จะพิพากษายกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้โดยไม่จำต้องวินิจฉัยหักล้างเหตุผลที่โจทก์แสดงต่อศาลอุทธรณ์เพราะเหตุผลนั้นไม่เป็นสาระ ไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่ศาลอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยหักล้างอุทธรณ์ของโจทก์หรือยกเหตุผลอื่นขึ้นวินิจฉัย จึงไม่ใช่การวินิจฉัยนอกประเด็นไม่ตรงตามที่โจทก์อุทธรณ์ และการวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวแม้จะให้เหตุผลแตกต่างไปจากคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นก็ไม่ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด