คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อำนาจฟ้อง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 615/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการตั้งผู้จัดการมรดก ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิครอบครอง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การกระทำของจำเลยซึ่งเพียงแต่ไปคัดค้านคำร้องขอของด.ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งตั้งด. เป็นผู้จัดการมรดกของค. เพื่อที่จะไปดำเนินการโอนที่ดินให้แก่โจทก์เท่านั้นยังมิได้เป็นการรบกวนการครอบครองที่ดินของโจทก์หรือแย่งสิทธิครอบครองของโจทก์จึงไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา55โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 612/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่หากยังไม่ได้ครอบครองที่ดินพิพาทและโอนกรรมสิทธิ์
โจทก์เป็นเพียงเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอันที่จะให้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ยังมิได้เข้าครอบครองที่ดินพิพาทและลูกหนี้ตามคำพิพากษายังมิได้จดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ที่ดินพิพาทจึงยังไม่เป็นของโจทก์การที่จำเลยอยู่ในที่ดินพิพาทและถือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ไว้จึงหาเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6107/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของคนเสมือนไร้ความสามารถและการแก้ไขคำฟ้องให้สมบูรณ์ รวมถึงความรับผิดทางละเมิด
น.ผู้พิทักษ์ของ ด.คนเสมือนไร้ความสามารถไม่ใช่ผู้แทนของ ด.ไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทน เมื่อ น.เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยโดยเป็นผู้ลงชื่อแต่งทนายความและทนายความลงชื่อในคำฟ้องอันเป็นการที่ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องคดีแทนคนเสมือนไร้ความสามารถโดยไม่ได้รับมอบอำนาจให้ดำเนินคดีแทนจาก ด. คำฟ้องของโจทก์จึงมิได้เป็นไปตามเงื่อนไขตาม ป.พ.พ. มาตรา 35 เดิม เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำฟ้องของโจทก์ไว้ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็ได้ยื่นคำให้การแล้ว ซึ่งเป็นกรณีล่วงเลยการตรวจวินิจฉัยคำฟ้อง จึงนำ ป.วิ.พ. มาตรา 18 มาใช้บังคับไม่ได้เมื่อคดีไม่มีการชี้สองสถานโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องก่อนวันสืบพยานเป็นว่าด.ได้มอบให้ น.ฟ้องและดำเนินคดีแทนและได้รับความยินยอมจาก น.แล้ว และศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขคำฟ้อง จึงมีผลทำให้ฟ้องที่ไม่สมบูรณ์กลับเป็นฟ้องที่สมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์ซึ่งเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถมอบอำนาจให้ น.ผู้พิทักษ์เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสาม จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ 2 ซึ่งนำเข้าร่วมกิจการขนส่งกับจำเลยที่ 3 โดยมีเครื่องหมายของจำเลยที่ 3 ติดอยู่ข้างตัวรถยนต์บรรทุกแล่นในซอยซึ่งเป็นถนนสายโทเฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์ที่โจทก์ขับอยู่ในถนนสายกลางซึ่งเป็นถนนสายเอกล้มลงโดยประมาทไม่ดูรถที่แล่นอยู่ในถนนสายกลาง เหตุเกิดทื่สี่แยกถนนสายกลางตัดกับถนนซอยในบริเวณการท่าเรือแห่งประเทศไทย เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายสาหัส คำฟ้องของโจทก์จึงแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 3 ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 2 เจ้าของหัวรถยนต์บรรทุกซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ลากตัวรถบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ของจำเลยที่ 3หรือนำเข้าร่วมในกิจการขนส่งสินค้าด้วยกัน จำเลยที่ 3 จึงมีฐานะเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในเหตุละเมิดที่เกิดขึ้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดประโยชน์ทำมาหาได้ นับแต่วันที่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันเกษียณอายุ เป็นการที่โจทก์เรียกค่าเสียหายเพื่อการที่โจทก์เสียความสามารถประกอบการงานสิ้นเชิงทั้งในเวลาปัจจุบันและในอนาคตตาม ป.พ.พ. มาตรา 444 วรรคหนึ่ง นั่นเองแต่โจทก์ถึงแก่กรรมในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนดังกล่าวนับแต่โจทก์ถูกออกจากงานจนถึงวันที่โจทก์ถึงแก่กรรมเท่านั้น
เมื่อหนี้ตามคำฟ้องเกี่ยวด้วยการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำเลยที่ 1 มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจชี้ขาดให้มีผลถึงจำเลยที่ 1 ด้วยตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6031/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ที่ดินพิพาทและขอบเขตอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อเท็จจริงบางส่วน
โจทก์ฟ้องให้บังคับจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทและให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 200,000 บาทจนกว่าจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และบริวารจะออกไปจากที่ดินพิพาทศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 และบริวารขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาทและให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายเดือนละ 300 บาท โดยโจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 มิได้อุทธรณ์ในเรื่องค่าเสียหายปัญหาเรื่องค่าเสียหายจึงเป็นอันยุติ ดังนั้น ค่าเสียหายที่พิพาทกันในชั้นฎีกาจึงมีเพียงจำนวนเดือนละ 300 บาทจึงอนุมานได้ว่า บ้านและที่ดินที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 อยู่อาศัยดังกล่าวนี้มีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท ดังนี้ คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8อยู่ในที่ดินพิพาทของโจทก์โดยไม่มีสิทธิที่จะอยู่ได้ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ที่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 8 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ไม่ได้อยู่อาศัยในบริเวณที่ดินพิพาทแต่ได้เข้าไปเยี่ยมจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8ในที่ดินพิพาทเป็นบางครั้ง และจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8ต่างอยู่อาศัยในบ้านที่ปลูกอยู่ในที่ดินพิพาทโดยต่างครอบครองเป็นส่วนสัด ด้วยความสงบ เปิดเผย และเจตนาเป็นเจ้าของโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เป็นการฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย บ้านเลขที่ 25 และเลขที่ 25/2 ต่างก็ปลูกอยู่ในที่พิพาทและตามทะเบียนบ้านทั้งสองหลังก็มีชื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 8เป็นผู้อาศัยอยู่ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะมีชื่ออยู่ตามทะเบียนบ้านเลขที่ 212/25 และไม่ได้อยู่ในที่ดินพิพาทก็ตามแต่จำเลยที่ 1 เคยได้ใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่จอดรถยนต์ รถอื่น ๆและเก็บสิ่งของ และยังมีซากรถและสิ่งของยังมีอยู่ในที่ดินพิพาท เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าสิ่งของดังกล่าวจะเป็นของผู้ใดไม่ทราบ ดังนี้ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ให้จำเลยที่ 1ถึงที่ 8 ให้ขนย้ายทรัพย์สินและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดรวมทั้งบ้านอีก 3 หลัง ออกไปจากที่ดินพิพาทเป็นคดีเดียวกันได้ เจ้าพนักงานเดินหมายระบุในรายงานการเดินหมายว่าพบภูมิลำเนาจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ตามฟ้องแต่ปรากฏว่าบ้านปิดใส่กุญแจและระบุว่าพบภูมิลำเนาจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 7 และที่ 8 ตามฟ้อง แต่บุคคลในนั้นเป็นชายอายุเกิน 20 ปี แจ้งว่าบุคคลดังกล่าวไปธุระนอกบ้าน เป็นการระบุรายละเอียดถึงพฤติการณ์การนำส่งหมายได้ชัดแจ้งเพียงพอแล้ว การที่พนักงานเดินหมายมิได้ระบุสภาพลักษณะบ้านที่ส่งหมายว่าเป็นอย่างไรนั้นเป็นเพียงส่วนปลีกย่อยในการเขียนรายงานของพนักงานเดินหมายเท่านั้น มิใช่สาระสำคัญอันจะเป็นผลให้การส่งหมายกลายเป็นไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5925/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ผู้เอาประกันภัยมีอำนาจฟ้องเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ แม้ไม่ใช่ผู้รับประโยชน์โดยตรง
แม้โจทก์ที่ 2 จะมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่โจทก์ที่ 2 เป็นผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยผู้รับประกันภัยโดยตรง และเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 374 เมื่อมีข้อพิพาทโต้แย้งสิทธิกันขึ้นตามสัญญาประกันภัย โจทก์ที่ 2 ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์กับโจทก์ที่ 2โดยมีโจทก์ที่ 1 เป็นผู้รับประโยชน์จริง เช่นนี้สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ที่ 1ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เมื่อรถยนต์ที่โจทก์ที่ 2 เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยสูญหายไปเพราะถูก ท. ยักยอกเอาไป จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่ 2 ตามสัญญาประกันภัยนั้น โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันภัยแก่โจทก์ที่ 1 ผู้รับประโยชน์ได้ แม้โจทก์ที่ 2 จะไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่ 1 ก็ตาม จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่า โจทก์ที่ 2 ผู้เอาประกันภัยมิได้ฟ้องร้องหรือติดตามเอาคืนจาก ท. กลับมาฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นการกระทำไม่สุจริตเท่านั้น คำให้การของจำเลยดังกล่าวยังไม่ชัดเจนถึงขนาดว่าวินาศภัยซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตของโจทก์ที่ 1 ผู้เอาประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 879 วรรคแรก และศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้ อีกทั้งจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านปัญหาเรื่องความไม่สุจริตของโจทก์ที่ 2จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดี ความเสียหายหรือความสูญหายตามคำฟ้องโจทก์เกิดจากการยักยอกทรัพย์ของ ท. ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ยืมรถยนต์นั้นจากโจทก์ที่ 2ผู้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ที่ 1 ท. มิใช่เป็นผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าผู้รับจำนำหรือผู้ซื้อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ ทั้งมิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่า เช่าซื้อ ซื้อขาย หรือสัญญาจำนำการที่รถยนต์ซึ่งจำเลยรับประกันไว้ถูก ท. ยักยอกเอาไปจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขข้อจำกัดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย หากจะตีความเจตนาของคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้ว ยิ่งเห็นได้ชัดว่าโจทก์ที่ 2 เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยตามความประสงค์ของโจทก์ที่ 1 ก็เพื่อคุ้มครองรถยนต์ที่โจทก์ที่ 2 เช่าซื้อมาจากโจทก์ที่ 1 ซึ่งหากเกิดความเสียหายใดแก่รถยนต์ที่โจทก์ที่ 2เช่าซื้อมา โจทก์ทั้งสองย่อมประสงค์จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5925/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ผู้เอาประกันภัยมีอำนาจฟ้อง แม้ไม่ใช่ผู้รับประโยชน์
แม้โจทก์ที่2จะมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่โจทก์ที่2เป็นผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยผู้รับประกันภัยโดยตรงและเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา374เมื่อมีข้อพิพาทโต้แย้งสิทธิกันขึ้นตามสัญญาประกันภัยโจทก์ที่2ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์กับโจทก์ที่2โดยมีโจทก์ที่1เป็นผู้รับประโยชน์จริงเช่นนี้สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์ที่2กับจำเลยจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ที่1ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเมื่อรถยนต์ที่โจทก์ที่2เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยสูญหายไปเพราะถูก ท. ยักยอกเอาไปจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่2ตามสัญญาประกันภัยนั้นโจทก์ที่2จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันภัยแก่โจทก์ที่1ผู้รับประโยชน์ได้แม้โจทก์ที่2จะไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่1ก็ตาม จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ที่2ผู้เอาประกันภัยมิได้ฟ้องร้องหรือติดตามเอาคืนจาก ท. กลับมาฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นการกระทำไม่สุจริตเท่านั้นคำให้การของจำเลยดังกล่าวยังไม่ชัดเจนถึงขนาดว่าวินาศภัยซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตของโจทก์ที่1ผู้เอาประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา879วรรคแรกและศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้อีกทั้งจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านปัญหาเรื่องความไม่สุจริตของโจทก์ที่2จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดี ความเสียหายหรือความสูญหายตามคำฟ้องโจทก์เกิดจากการยักยอกทรัพย์ของ ท. ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ยืมรถยนต์นั้นจากโจทก์ที่2ผู้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ที่1 ท. มิใช่เป็นผู้เช่าซื้อผู้เช่าผู้รับจำนำหรือผู้ซื้อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ทั้งมิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่าเช่าซื้อซื้อขายหรือสัญญาจำนำการที่รถยนต์ซึ่งจำเลยรับประกันไว้ถูก ท. ยักยอกเอาไปจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขข้อจำกัดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยหากจะตีความเจตนาของคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าโจทก์ที่2เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยตามความประสงค์ของโจทก์ที่1ก็เพื่อคุ้มครองรถยนต์ที่โจทก์ที่2เช่าซื้อมาจากโจทก์ที่1ซึ่งหากเกิดความเสียหายใดแก่รถยนต์ที่โจทก์ที่2เช่าซื้อมาโจทก์ทั้งสองย่อมประสงค์จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5925/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันภัยเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอก ผู้เอาประกันภัยมีอำนาจฟ้องเรียกร้องได้ แม้ไม่ใช่ผู้รับประโยชน์โดยตรง
แม้โจทก์ที่2จะมิใช่ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยแต่โจทก์ที่2เป็นผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญากับจำเลยผู้รับประกันภัยโดยตรงและเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์บุคคลภายนอกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา374เมื่อมีข้อพิพาทโต้แย้งสิทธิกันขึ้นตามสัญญาประกันภัยโจทก์ที่2ในฐานะคู่สัญญาย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยให้ปฏิบัติตามสัญญาได้ จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาประกันภัยรถยนต์กับโจทก์ที่2โดยมีโจทก์ที่1เป็นผู้รับประโยชน์จริงเช่นนี้สัญญาประกันภัยระหว่างโจทก์ที่2กับจำเลยจึงเป็นสัญญาเพื่อประโยชน์แก่โจทก์ที่1ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกเมื่อรถยนต์ที่โจทก์ที่2เอาประกันภัยไว้แก่จำเลยสูญหายไปเพราะถูก ท. ยักยอกเอาไปจำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ที่2ตามสัญญาประกันภัยนั้นโจทก์ที่2จึงมีอำนาจฟ้องขอให้จำเลยใช้เงินตามกรมธรรม์ประกันภัยแก่โจทก์ที่1ผู้รับประโยชน์ได้แม้โจทก์ที่2จะไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ที่1ก็ตาม จำเลยให้การต่อสู้เพียงว่าโจทก์ที่2ผู้เอาประกันภัยมิได้ฟ้องร้องหรือติดตามเอาคืนจาก ท. กลับมาฟ้องเรียกร้องเอาจากจำเลยเป็นการกระทำไม่สุจริตเท่านั้นคำให้การของจำเลยดังกล่าวยังไม่ชัดเจนถึงขนาดว่าวินาศภัยซึ่งได้ระบุไว้ในสัญญานั้นได้เกิดขึ้นเพราะความทุจริตของโจทก์ที่1ผู้เอาประกันภัยอันจะเป็นเหตุให้จำเลยผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา879วรรคแรกและศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นข้อนี้เป็นประเด็นข้อพิพาทไว้อีกทั้งจำเลยก็ไม่ได้โต้แย้งคัดค้านปัญหาเรื่องความไม่สุจริตของโจทก์ที่2จึงไม่เป็นประเด็นพิพาทในคดี ความเสียหายหรือความสูญหายตามคำฟ้องโจทก์เกิดจากการยักยอกทรัพย์ของ ท. ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้ยืมรถยนต์นั้นจากโจทก์ที่2ผู้เช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ที่1 ท. มิใช่เป็นผู้เช่าซื้อผู้เช่าผู้รับจำนำหรือผู้ซื้อรถยนต์ที่เอาประกันภัยไว้ทั้งมิใช่ผู้ครอบครองรถยนต์ตามสัญญาเช่าเช่าซื้อซื้อขายหรือสัญญาจำนำการที่รถยนต์ซึ่งจำเลยรับประกันไว้ถูก ท. ยักยอกเอาไปจึงไม่อยู่ในเงื่อนไขข้อจำกัดความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยหากจะตีความเจตนาของคู่สัญญาตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้วยิ่งเห็นได้ชัดว่าโจทก์ที่2เอาประกันภัยรถยนต์ไว้กับจำเลยตามความประสงค์ของโจทก์ที่1ก็เพื่อคุ้มครองรถยนต์ที่โจทก์ที่2เช่าซื้อมาจากโจทก์ที่1ซึ่งหากเกิดความเสียหายใดแก่รถยนต์ที่โจทก์ที่2เช่าซื้อมาโจทก์ทั้งสองย่อมประสงค์จะได้รับความคุ้มครองจากกรมธรรม์มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จำเลยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหาย, การทิ้งฟ้อง, ข้อหาฟ้องซ้ำ, และอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ
จำเลยกล่าวในฟ้องแย้งว่า การที่โจทก์ฟ้องคดีเป็นการกลั่นแกล้งจำเลยอันเป็นละเมิด ทำให้จำเลยเสียหายในทางการค้าและชื่อเสียงขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้นเป็นการฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยตรง มิใช่เพียงต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ น. ไม่ได้อาศัยสิทธิโจทก์เท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยคำนวณตั้งทุนทรัพย์และชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์โดยกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติจึงชอบแล้ว เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงเป็นการทิ้งฟ้องแย้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 174 (2)ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่คำนวณตั้งทุนทรัพย์และชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด เป็นการทิ้งฟ้องแย้งนั้นจึงชอบแล้ว ไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใด ศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่ และไม่ต้องกำหนดเวลาให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลอีก
หนังสือมอบอำนาจมีลักษณะเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปผู้มอบอำนาจอาจมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจกระทำการหลายสิ่งหลายอย่างแทนตนได้ และในหนังสือมอบอำนาจก็ระบุว่า ให้ผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งคดีล้มละลาย... เพื่อป้องกันและรักษาทรัพย์สินผลประโยชน์หรือสิทธิต่าง ๆ ของธนาคารโจทก์ได้ เมื่อการฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการฟ้องคดีแพ่งจึงถือได้ว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้
เดิมศาลพิพากษาขับไล่ ว. และ ศ. คดีถึงที่สุด ชั้นบังคับคดีจำเลยได้ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวว่า ไม่ใช่บริวารของ ว. และ ศ. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยเป็นบริวารให้ขับไล่จำเลย คดียังไม่ถึงที่สุด ในคดีดังกล่าวจำเลยมิได้เป็นคู่ความ ดังนั้นคู่ความในคดีนี้กับคดีดังกล่าวจึงไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันอันจะต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148 และ 144 ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว
จำเลยให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธ จึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ และศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบ และเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา249 วรรคหนึ่ง
ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าได้ขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้บุคคลภายนอกแล้ว ก็ไม่ลบล้างสิทธิต่าง ๆ ของโจทก์ที่มีอยู่เดิมที่ได้ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายไว้ก่อนแล้วโจทก์อาจเสียสิทธิไปเฉพาะเรื่องค่าเสียหายหลังจากการขายที่ดินและตึกแถวพิพาทไปแล้วเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายละเมิด, การทิ้งฟ้อง, และอำนาจฟ้องของผู้รับมอบอำนาจ
จำเลยกล่าวในฟ้องแย้งว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีเป็นการกลั่นแกล้งจำเลยอันเป็นละเมิดทำให้จำเลยเสียหายในทางการค้าและชื่อเสียงขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายเดือนละ5,000บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปนั้นเป็นการฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดโดยตรงมิใช่เพียงต่อสู้ว่าจำเลยอยู่ในที่ดินและตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิของ น. ไม่ได้อาศัยสิทธิโจทก์เท่านั้นการที่ศาลชั้นต้นให้จำเลยคำนวณตั้งทุนทรัพย์และชำระค่าขึ้นศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์โดยกำหนดเวลาให้จำเลยปฏิบัติจึงชอบแล้วเมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเป็นการทิ้งฟ้องแย้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา174(2)ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าการที่จำเลยไม่คำนวณตั้งทุนทรัพย์และชำระค่าขึ้นศาลภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดเป็นการทิ้งฟ้องแย้งนั้นจึงชอบแล้วไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่อย่างใดศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยว่าเป็นคดีมีทุนทรัพย์หรือไม่และไม่ต้องกำหนดเวลาให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลอีก หนังสือมอบอำนาจมีลักษณะเป็นหนังสือมอบอำนาจทั่วไปผู้มอบอำนาจอาจมอบอำนาจให้ผู้รับมอบอำนาจกระทำการหลายสิ่งหลายอย่างแทนตนได้และในหนังสือมอบอำนาจก็ระบุว่าให้ผู้รับมอบอำนาจมีสิทธิฟ้องคดีแพ่งคดีล้มละลายเพื่อป้องกันและรักษาทรัพย์สินผลประโยชน์หรือสิทธิต่างๆของธนาคารโจทก์ได้เมื่อการฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายเป็นการฟ้องคดีแพ่งจึงถือได้ว่าผู้รับมอบอำนาจโจทก์มีสิทธิฟ้องคดีนี้ได้ เดิมศาลพิพากษาขับไล่ ว. และ ศ. คดีถึงที่สุดชั้นบังคับคดีจำเลยได้ยื่นคำร้องในคดีดังกล่าวว่าไม่ใช่บริวารของ ว. และ ศ. ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยเป็นบริวารให้ขับไล่จำเลยคดียังไม่ถึงที่สุดในคดีดังกล่าวจำเลยมิได้เป็นคู่ความดังนั้นคู่ความในคดีนี้กับคดีดังกล่าวจึงไม่ใช่คู่ความรายเดียวกันอันจะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา148และ144ฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำหรือดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีดังกล่าว จำเลยให้การเพียงว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้และศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยให้เป็นการไม่ชอบและเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่ง ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โจทก์ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลชั้นต้นว่าได้ขายที่ดินและตึกแถวพิพาทให้บุคคลภายนอกแล้วก็ไม่ลบล้างสิทธิต่างๆของโจทก์ที่มีอยู่เดิมที่ได้ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายไว้ก่อนแล้วโจทก์อาจเสียสิทธิไปเฉพาะเรื่องค่าเสียหายหลังจากการขายที่ดินและตึกแถวพิพาทไปแล้วเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5795/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินเพื่อเกษตรกรรม สัญญาประนีประนอมยอมความมีผลบังคับ และอำนาจฟ้องบังคับตามสัญญา
การซื้อขายที่ดินเพื่อเกษตรกรรมซึ่งต้องปฎิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมนั้นต้องให้คชก.รับทราบและวินิจฉัยและต้องปฎิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติดังกล่าวบัญญัติไว้แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปฎิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวเสมอไปหากจะต้องปฎิบัติก็เฉพาะการซื้อขายที่มีข้อพิพาทระหว่างเจ้าของที่ดินและผู้เช่าเท่านั้นถ้าเป็นการซื้อขายที่ไม่มีข้อพิพาทต่อกันก็หาต้องปฎิบัติตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไม่จำเลยได้ยื่นเรื่องราวขอขายที่พิพาทให้แก่ผู้อื่นโดยมิได้แจ้งความประสงค์ที่จะขายให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าก่อนโจทก์จึงได้ยื่นคำร้องคัดค้านต่อคชก.ตำบลแต่คชก.ตำบลไม่ได้วินิจฉัยเพราะประธานคชก.ตำบลได้นำโจทก์จำเลยไปพบปลัดอำเภอทำการไกล่เกลี่ยและสามารถตกลงกันได้โดยจำเลยตกลงขายที่พิพาทให้แก่โจทก์และได้บันทึกข้อตกลงกันไว้บันทึกข้อตกลงดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จสิ้นไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา850มีผลบังคับได้ข้ออ้างตามคำคัดค้านของโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่ปฎิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจึงได้ยุติลงแล้วโดยข้อตกลงดังกล่าวและไม่มีกรณีพิพาทให้ต้องปฎิบัติตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอีกต่อไปการที่จำเลยไม่ยอมขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงกันไว้เป็นการผิดสัญญาและโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฎิบัติตามข้อตกลงที่ทำกันไว้ได้
of 452