พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,033 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1564/2550
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีที่ดินสาธารณประโยชน์: โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องหากที่ดินเป็นของรัฐ
จำเลยมีสิทธิที่จะยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ เพราะเป็นปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคสอง และประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายซึ่งศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาหรือวินิจฉัยในส่วนข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญในประเด็นเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย แต่ศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานโจทก์และจำเลยจนเสร็จสิ้นกระแสความแล้ว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงอันนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาใหม่
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของหนองน้ำและลำรางสาธารณประโยชน์ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) การที่โจทก์ให้จำเลยและผู้อื่นเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิเพราะเท่ากับนำที่ดินของรัฐไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยรัฐไม่ยินยอม และมีผลเป็นการมอบการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยและผู้เช่ารายอื่นๆ ทำให้โจทก์ขาดการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
ที่ดินพิพาทเป็นส่วนหนึ่งของหนองน้ำและลำรางสาธารณประโยชน์ เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภทพลเมืองใช้ร่วมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1304 (2) การที่โจทก์ให้จำเลยและผู้อื่นเช่าที่ดินพิพาทจึงเป็นการกระทำที่ไม่มีสิทธิเพราะเท่ากับนำที่ดินของรัฐไปให้บุคคลอื่นเช่าโดยรัฐไม่ยินยอม และมีผลเป็นการมอบการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทให้จำเลยและผู้เช่ารายอื่นๆ ทำให้โจทก์ขาดการยึดถือครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยมีสิทธิในที่ดินพิพาทดีกว่าโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5556/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็คพิพาทไม่มีมูลหนี้ โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าจำเลยซื้อสินค้าจริง จึงไม่ต้องรับผิดชำระเงิน
เมื่อโจทก์นำสืบไม่ได้ว่าเช็คพิพาทมีมูลหนี้ตามที่โจทก์กล่าวอ้างในคำฟ้อง แม้ว่าจำเลยจะลงชื่อสั่งจ่ายเช็คพิพาทมอบให้โจทก์ จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2262/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิครอบครองที่ดินพิพาท: การโอนสิทธิและข้ออ้างการหักกลบลบหนี้ไม่มีผลต่อสิทธิโจทก์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท และขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ปีละ 6,000 บาท นับจากวันฟ้อง จำเลยให้การว่า จำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้ที่จะได้รับการจดทะเบียนอยู่ก่อน โจทก์รับโอนที่ดินพิพาทมาโดยไม่สุจริต ขอให้ยกฟ้อง เป็นการต่อสู้โต้แย้งกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ซึ่งมีราคา 84,800 บาท แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชำระค่าเสียหายปีละ 6,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง ค่าเสียหายในส่วนนี้เป็นค่าเสียหายในอนาคตไม่สามารถนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ คดีตามฟ้องโจทก์จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ฎีกาของจำเลยในส่วนฟ้องโจทก์ในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง (เดิม) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะที่โจทก์ยื่นฟ้อง
จำเลยร่วมทั้งสองให้จำเลยปลูกบ้านเพื่ออยู่กินกับบุตรสาวของจำเลยร่วมที่ 2 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ต. แล้ว การที่ ร. และจำเลยร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทจึงถือเป็นการครอบครองแทน ต. การเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงถือเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิ ร. และจำเลยร่วมทั้งสอง จึงถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ต. ด้วยเช่นกัน เมื่อ ต. โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยจึงครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้
คดีในส่วนฟ้องโจทก์มีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่เท่านั้น ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากจำเลยต้องชดใช้ราคาที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินเดิมก็ขอให้นำค่าใช้จ่ายที่จำเลยได้ก่อสร้างลงบนที่ดินพิพาทและค่าราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นมาขอหักกลบลบหนี้นั้น เป็นกรณีที่ศาลจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าเจ้าของที่ดินเดิมกับจำเลยมีหนี้สินต่อกันที่สามารถหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่ เพียงใด อันเป็นมูลหนี้มาจากนิติกรรมสัญญา มิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
จำเลยร่วมทั้งสองให้จำเลยปลูกบ้านเพื่ออยู่กินกับบุตรสาวของจำเลยร่วมที่ 2 ซึ่งขณะนั้นที่ดินพิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของ ต. แล้ว การที่ ร. และจำเลยร่วมทั้งสองครอบครองที่ดินพิพาทจึงถือเป็นการครอบครองแทน ต. การเข้าครอบครองที่ดินพิพาทของจำเลยจึงถือเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิ ร. และจำเลยร่วมทั้งสอง จึงถือว่าจำเลยครอบครองที่ดินพิพาทแทน ต. ด้วยเช่นกัน เมื่อ ต. โอนที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ จำเลยจึงครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนและขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินพิพาทได้
คดีในส่วนฟ้องโจทก์มีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทหรือไม่เท่านั้น ซึ่งหากข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย ส่วนฟ้องแย้งของจำเลยที่ว่า หากจำเลยต้องชดใช้ราคาที่ดินให้แก่เจ้าของที่ดินเดิมก็ขอให้นำค่าใช้จ่ายที่จำเลยได้ก่อสร้างลงบนที่ดินพิพาทและค่าราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นมาขอหักกลบลบหนี้นั้น เป็นกรณีที่ศาลจะต้องรับฟังข้อเท็จจริงต่อไปอีกว่าเจ้าของที่ดินเดิมกับจำเลยมีหนี้สินต่อกันที่สามารถหักกลบลบหนี้กันได้หรือไม่ เพียงใด อันเป็นมูลหนี้มาจากนิติกรรมสัญญา มิได้เกี่ยวกับฟ้องเดิมที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาท ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1046/2562
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดี: การคิดค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินต้องไม่เกินส่วนแบ่งที่โจทก์มีสิทธิได้รับ
การกระทำของโจทก์ที่ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมรดกของ น. เพื่อนำออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันโดยมิได้มีการขอแบ่งทรัพย์มรดกของ น. จากจำเลยทั้งห้าก่อน ซึ่งไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนที่ระบุไว้ในคำพิพากษา ต่อมาศาลฎีกาได้มีคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้เพิกถอนการยึดอันเป็นความผิดของโจทก์เอง ดังนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ขอบังคับคดี จึงต้องเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดตาม ป.วิ.พ. มาตรา 149 วรรคหนึ่ง, 153 วรรคสอง, 153/1 และตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. (เดิม) บทบัญญัติดังกล่าวไม่ได้ระบุว่าผู้ที่นำยึดจะต้องเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาต่อกันแต่อย่างใด ประกอบกับเมื่อโจทก์เป็นฝ่ายชนะคดีย่อมเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลได้ หากจำเลยทั้งห้าเป็นฝ่ายแพ้คดี (ลูกหนี้ตามคำพิพากษา) มิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลทั้งหมดหรือบางส่วน เพียงแต่คดีนี้ศาลได้กำหนดในคำพิพากษาไว้แล้วถึงวิธีการแบ่งทรัพย์มรดกระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าโดยให้ตกลงแบ่งทรัพย์มรดกกันก่อน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยทั้งห้ายังมิได้แบ่งทรัพย์มรดกกัน แต่โจทก์กลับขอให้บังคับคดียึดที่ดินมรดกออกขายทอดตลาดนำเงินมาแบ่งกันข้ามขั้นตอนตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษา การที่โจทก์ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินมรดก จึงเกิดจากการกระทำของโจทก์เอง เมื่อศาลมีคำสั่งให้เพิกถอนการยึด โจทก์จึงต้องมีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย คำสั่งของศาลชั้นต้นและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ที่ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายจึงชอบแล้ว
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วว่า โจทก์นำยึดที่ดินมรดกโดยยังมิได้ตกลงแบ่งกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าอันเป็นการบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามคำพิพากษาจนศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการยึดที่ดิน ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย อย่างไรก็ตาม การคิดค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. (เดิม) ระบุว่า เมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น เหตุผลที่บัญญัติเช่นนี้เพราะโดยปกติผลของการไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะได้มูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี กฎหมายจึงบัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมตามราคาทรัพย์สินที่ยึดได้ ซึ่งจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี แต่กฎหมายมิได้คำนึงถึงกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว หากได้มูลค่าทรัพย์สินเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีจะให้ปฏิบัติในเรื่องการเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นประการใดและคงไม่ประสงค์จะให้เสียค่าธรรมเนียมมากกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี มิฉะนั้นจะเป็นการเสียค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่พิพาทกันในคดีซึ่งย่อมไม่ถูกต้อง ฉะนั้น กรณีที่ยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย การเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น คำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงหมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี ประกอบกับไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งคดีว่าโจทก์นำยึดที่ดินมรดกเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามสิทธิที่โจทก์ได้รับดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดนั้น จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนส่วนแบ่งที่โจทก์มีสิทธิได้รับในทรัพย์สินที่ยึด
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกาแล้วว่า โจทก์นำยึดที่ดินมรดกโดยยังมิได้ตกลงแบ่งกันในระหว่างโจทก์กับจำเลยทั้งห้าอันเป็นการบังคับคดีไม่เป็นไปตามลำดับขั้นตอนตามคำพิพากษาจนศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการยึดที่ดิน ซึ่งโจทก์มีหน้าที่ชำระค่าธรรมเนียมกรณียึดทรัพย์สินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย อย่างไรก็ตาม การคิดค่าธรรมเนียมของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามตาราง 5 ข้อ 3 ท้าย ป.วิ.พ. (เดิม) ระบุว่า เมื่อยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายให้เสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น เหตุผลที่บัญญัติเช่นนี้เพราะโดยปกติผลของการไปยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาจะได้มูลค่าทรัพย์สินน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี กฎหมายจึงบัญญัติให้คิดค่าธรรมเนียมตามราคาทรัพย์สินที่ยึดได้ ซึ่งจะเสียค่าธรรมเนียมน้อยกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี แต่กฎหมายมิได้คำนึงถึงกรณีที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของลูกหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว หากได้มูลค่าทรัพย์สินเกินกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดีจะให้ปฏิบัติในเรื่องการเสียค่าธรรมเนียมดังกล่าวเป็นประการใดและคงไม่ประสงค์จะให้เสียค่าธรรมเนียมมากกว่าจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี มิฉะนั้นจะเป็นการเสียค่าธรรมเนียมเกินกว่าที่พิพาทกันในคดีซึ่งย่อมไม่ถูกต้อง ฉะนั้น กรณีที่ยึดทรัพย์สินซึ่งไม่ใช่ตัวเงินแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย การเสียค่าธรรมเนียมร้อยละ 3 ครึ่งของราคาทรัพย์สินที่ยึดนั้น คำว่า ราคาทรัพย์สินที่ยึดตามบทบัญญัติดังกล่าวจึงหมายถึงราคาทรัพย์สินที่ยึดซึ่งไม่เกินจำนวนหนี้ที่จะต้องรับผิดในการบังคับคดี ประกอบกับไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งคดีว่าโจทก์นำยึดที่ดินมรดกเกินกว่าที่จำเป็นแก่การบังคับคดีตามสิทธิที่โจทก์ได้รับดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึดทั้งหมดนั้น จึงไม่ถูกต้อง และไม่เป็นธรรมแก่โจทก์ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรให้คิดค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ 3.5 ของราคาทรัพย์สินที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนส่วนแบ่งที่โจทก์มีสิทธิได้รับในทรัพย์สินที่ยึด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8154/2561
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกา: โจทก์ชำระหนี้แทนจำเลยไม่ได้ไล่เบี้ย
การที่ศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ร่วมกันชำระเงิน 1,350,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่จำเลยร่วมทั้งสอง หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระให้บังคับเอาจากโจทก์เป็นเงิน 450,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย และมีคำวินิจฉัยด้วยว่า ตามพฤติการณ์เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย โจทก์ต้องรับผิดในมูลละเมิด ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. รับผิดในมูลสัญญาซื้อขาย แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยร่วมทั้งสองจำนวนเดียวกัน แต่ก็มิใช่ร่วมกันทำให้จำเลยร่วมทั้งสองได้รับความเสียหาย หนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองและหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองมิใช่หนี้ร่วม แต่เป็นหนี้อันจะแบ่งกันชำระได้ เพียงแต่ศาลฎีกาจัดลำดับการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ร่วมกันชำระแก่โจทก์ก่อน หากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระก็ให้บังคับเอาจากโจทก์
เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระและโจทก์ได้นำเงินจำนวนที่ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองตามคำพิพากษาศาลฎีกาไปวางศาลเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสอง การชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่ผูกพันโจทก์ ไม่ใช่การชำระหนี้เพื่อหรือแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของจำเลยร่วมทั้งสองมาบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ชำระหนี้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง
เมื่อจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ไม่ชำระและโจทก์ได้นำเงินจำนวนที่ต้องรับผิดต่อจำเลยร่วมทั้งสองตามคำพิพากษาศาลฎีกาไปวางศาลเป็นการชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสอง การชำระหนี้แก่จำเลยร่วมทั้งสองดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาในส่วนที่ผูกพันโจทก์ ไม่ใช่การชำระหนี้เพื่อหรือแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. โจทก์จึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้รับช่วงสิทธิของจำเลยร่วมทั้งสองมาบังคับให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และ อ. ชำระหนี้แก่โจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 226 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7290/2561
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนโดยปริยาย อำนาจฟ้อง สัญญาจ้างเหมา: โจทก์ฟ้องผิดคู่ความ
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด โดยมีจำเลยที่ 2 และ ว. บุตรจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการ โดยกรรมการคนหนึ่งมีอำนาจลงลายมือชื่อและประทับตราสำคัญของบริษัทผูกพันจำเลยที่ 1 โจทก์ทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคาร และทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยที่ 2 ก่อสร้างอาคาร และทำสัญญาจ้างเหมาจำเลยที่ 2 จัดหาวัสดุก่อสร้างอาคาร
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 โดยผู้ถือหุ้นจำเลยที่ 1 ส่วนใหญ่ คือ จำเลยที่ 2 กับภริยาและบุตรของจำเลยที่ 2 โจทก์ทำสัญญาสามฉบับ โดยฉบับแรกระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับจ้าง ฉบับที่สองและฉบับที่สามระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจ้าง การก่อสร้างตามสัญญาทั้งสามฉบับไม่มีการแยกคนงานและอุปกรณ์ว่าเป็นของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่มีผังคนงานและพนักงาน และการส่งมอบงานตามสัญญาทั้งสามฉบับรวมอยู่ในเล่มเดียวกัน โจทก์ประสงค์จะพัฒนาที่ดินให้เป็นโรงแรมและรีสอร์ท จึงประกาศหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 กรรมการผู้มีอำนาจ เสนอตัวเข้าเป็นผู้รับเหมาตามแบบก่อสร้างตกลงราคาทั้งหมด โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อรับจ้างก่อสร้างโครงการทั้งหมดของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 มาทำสัญญารับจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างเหมาชุดที่ 2 และสัญญาจ้างวัสดุก่อสร้างชุดที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของโจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโดยปริยายของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาจ้างเหมาฉบับที่สองและฉบับที่สาม และในทำนองเดียวกันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยปริยายของจำเลยที่ 1 ก็ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาดังกล่าวฟ้องแย้งโจทก์ในนามตนเองได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 145 (5), 246 และมาตรา 246 (เดิม) ซึ่งใช้ในขณะยื่นฟ้อง
จำเลยที่ 2 เป็นผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้มีอำนาจคนหนึ่งของจำเลยที่ 1 โดยผู้ถือหุ้นจำเลยที่ 1 ส่วนใหญ่ คือ จำเลยที่ 2 กับภริยาและบุตรของจำเลยที่ 2 โจทก์ทำสัญญาสามฉบับ โดยฉบับแรกระบุชื่อจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับจ้าง ฉบับที่สองและฉบับที่สามระบุชื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับจ้าง การก่อสร้างตามสัญญาทั้งสามฉบับไม่มีการแยกคนงานและอุปกรณ์ว่าเป็นของจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะจำเลยที่ 2 ไม่มีผังคนงานและพนักงาน และการส่งมอบงานตามสัญญาทั้งสามฉบับรวมอยู่ในเล่มเดียวกัน โจทก์ประสงค์จะพัฒนาที่ดินให้เป็นโรงแรมและรีสอร์ท จึงประกาศหาผู้รับเหมาก่อสร้าง ต่อมาจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 กรรมการผู้มีอำนาจ เสนอตัวเข้าเป็นผู้รับเหมาตามแบบก่อสร้างตกลงราคาทั้งหมด โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อรับจ้างก่อสร้างโครงการทั้งหมดของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ยินยอมให้จำเลยที่ 2 มาทำสัญญารับจ้างก่อสร้างตามสัญญาจ้างเหมาชุดที่ 2 และสัญญาจ้างวัสดุก่อสร้างชุดที่ 2 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการของโจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโดยปริยายของจำเลยที่ 1 โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้รับผิดตามสัญญาจ้างเหมาฉบับที่สองและฉบับที่สาม และในทำนองเดียวกันจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนโดยปริยายของจำเลยที่ 1 ก็ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาดังกล่าวฟ้องแย้งโจทก์ในนามตนเองได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 145 (5), 246 และมาตรา 246 (เดิม) ซึ่งใช้ในขณะยื่นฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4732/2560
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจการสอบสวนคดีอาญาที่กระทำนอกราชอาณาจักรไทย และการมีอำนาจฟ้องของโจทก์
จำเลยร่วมรับรู้ถึงการประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของ บ. และ ม. ตลอดมา อีกทั้งจำเลยยังเป็นผู้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้เช่าที่ทำการของ บ. และเช่าหมายเลขโทรศัพท์จากบริษัท ซ. เพื่อดำเนินการติดต่อธุรกิจของ บ. ซึ่งก็คือการติดต่อซื้อขายหลักทรัพย์ ทั้งยังสามารถทำการแทน บ. ตั้งแต่การเช่าสถานที่ตั้งที่ทำการ และซื้อหลักทรัพย์จากบริษัทที่ออกหลักทรัพย์และกลุ่มของ บ. แล้วนำมาจำหน่ายต่อให้แก่นักลงทุน รวมทั้งออกใบหุ้นให้แก่ลูกค้าทั่วไป พฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลยแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับบุคคลที่ยังไม่ปรากฏชัดเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดฐานประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ประเภทเป็นนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และค้าหลักทรัพย์โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 90, 289 ประกอบ ป.อ. มาตรา 83
การกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 ตั้งแต่โทรศัพท์หลองลวงผู้เสียหายทั้งสี่ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสี่อยู่ที่ประเทศออสเตรเลียจนกระทั่งผู้เสียหายทั้งสี่โอนเงินเข้าบัญชีที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกงเป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรตาม ป.วิ.อ. มาตรา 20 เมื่อพันตำรวจโท อ. เสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อขอให้อัยการสูงสุดมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งมอบหมายให้พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ถือว่าคณะพนักงานสอบสวนดังกล่าวมีอำนาจทำการสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 20 วรรคหนึ่ง การสอบสวนในคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
การกระทำความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 ตั้งแต่โทรศัพท์หลองลวงผู้เสียหายทั้งสี่ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสี่อยู่ที่ประเทศออสเตรเลียจนกระทั่งผู้เสียหายทั้งสี่โอนเงินเข้าบัญชีที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกงเป็นความผิดที่กระทำนอกราชอาณาจักรตาม ป.วิ.อ. มาตรา 20 เมื่อพันตำรวจโท อ. เสนอความเห็นต่อผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นเพื่อขอให้อัยการสูงสุดมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ต่อมาอัยการสูงสุดมีคำสั่งมอบหมายให้พนักงานสอบสวนตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นพนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบ ถือว่าคณะพนักงานสอบสวนดังกล่าวมีอำนาจทำการสอบสวนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 20 วรรคหนึ่ง การสอบสวนในคดีนี้จึงชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2296/2565
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อวัสดุก่อสร้างโดยจำเลยในฐานะตัวแทนของโจทก์ และการชำระหนี้ค่าวัสดุที่จำเลยต้องรับผิด
สัญญาว่าจ้างก่อสร้างอาคารโภชนาการกำหนดให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างเป็นผู้จัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้าง แม้จำเลยซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างเป็นผู้จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างตามฟ้องเพื่อติดตั้งในอาคารโภชนาการ และเป็นผู้ชำระราคาวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างดังกล่าวให้แก่ผู้ขาย แต่เป็นการทดรองจ่ายแทนโจทก์ จำเลยจึงเป็นเพียงตัวแทนของโจทก์ในการจัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างแทนโจทก์ซึ่งเป็นตัวการ วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างที่จำเลยจัดซื้อมาจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ จำเลยซึ่งเป็นตัวแทนคงมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ซึ่งเป็นตัวการจ่ายเงินทดรองคืนให้แก่จำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 816 วรรคหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2892/2564
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการยื่นคำร้องขอรื้อฟื้นคดีอาญาจำกัดเฉพาะผู้ต้องรับโทษหรือผู้เกี่ยวข้อง ไม่รวมโจทก์/ผู้เสียหาย
พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 9 วรรคหนึ่งและวรรคสาม บัญญัติให้ศาลที่ได้รับคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ทำการไต่สวนคำร้องนั้นว่ามีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่ เมื่อได้ไต่สวนคำร้องแล้ว ให้ศาลที่ไต่สวนคำร้องส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้า และตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "เมื่อศาลอุทธรณ์ได้รับสำนวนการไต่สวนและความเห็นแล้ว ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ให้ศาลอุทธรณ์สั่งรับคำร้องและสั่งให้ศาลชั้นต้นที่รับคำร้องดำเนินการพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ต่อไป แต่ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่าคำร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกคำร้องนั้น" แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งให้ยกคำร้องโดยมิได้ส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปให้ศาลอุทธรณ์สั่ง และศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา 9 วรรคสาม และมาตรา 10 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ที่จะสั่งคำร้องดังกล่าว อย่างไรก็ตามเมื่อคดีนี้ได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มีคำสั่งใหม่
พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 6 บัญญัติเกี่ยวกับบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ คือ บุคคลผู้ต้องรับโทษทางอาญา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องรับโทษอาญาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยไม่ปรากฏว่า กฎหมายบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์แต่อย่างใด แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้เสียหายก็ไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ เนื่องจากผู้ร้องได้ใช้สิทธิในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องคดี มีโอกาสนำเสนอพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างตามข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องก็มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาตามสิทธิได้ต่อไป มิใช่ว่าเมื่อพบพยานหลักฐานใหม่ก็จะมาใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ กฎหมายมิได้บัญญัติให้สิทธิดังกล่าวแก่ผู้ร้อง มิฉะนั้นแล้ว การฟ้องร้องดำเนินคดีของผู้ร้องในฐานะโจทก์ก็ย่อมไม่มีวันจบสิ้น
พ.ร.บ.การรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 6 บัญญัติเกี่ยวกับบุคคลผู้มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ คือ บุคคลผู้ต้องรับโทษทางอาญา หรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้ต้องรับโทษอาญาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยไม่ปรากฏว่า กฎหมายบัญญัติให้สิทธิแก่ผู้ร้องซึ่งเป็นโจทก์แต่อย่างใด แม้ผู้ร้องจะเป็นผู้เสียหายก็ไม่มีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ เนื่องจากผู้ร้องได้ใช้สิทธิในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องคดี มีโอกาสนำเสนอพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างตามข้อกล่าวหาอย่างเต็มที่แล้ว เมื่อศาลพิพากษายกฟ้องก็มีสิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาตามสิทธิได้ต่อไป มิใช่ว่าเมื่อพบพยานหลักฐานใหม่ก็จะมาใช้สิทธิยื่นคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ กฎหมายมิได้บัญญัติให้สิทธิดังกล่าวแก่ผู้ร้อง มิฉะนั้นแล้ว การฟ้องร้องดำเนินคดีของผู้ร้องในฐานะโจทก์ก็ย่อมไม่มีวันจบสิ้น