คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
คำพิพากษา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 105/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกต่อเนื่องหลังมีคำพิพากษาเดิม: ไม่ถือเป็นความผิดใหม่หากไม่มีการกระทำเพิ่มเติม
จำเลยถูกฟ้องว่าบุกรุกที่พิพาท ศาลลงโทษไปแล้ว การที่จำเลยอยู่ในที่พิพาท ต่อมาหลังจากศาลพิพากษาคดีก่อนแล้ว แม้ต่อมาที่พิพาทจะเปลี่ยนมือเป็นของผู้อื่น จำเลยก็ยังไม่ได้ทำประการใดที่จะถือว่าเป็นกรรมใหม่ คงอยู่ในที่พิพาทต่อมาตามปกติ จึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุกตามที่โจทก์ฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1017/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำโดยปราศจากอำนาจของตัวแทนและการผูกพันตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ตั้งทนายดำเนินคดีขอให้ศาลพิพากษาแสดงว่ากรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของโจทก์ จำเลยที่ 1 กลับไปกรอกข้อความเป็นว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 ฟ้องและทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 แล้วร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันด้วยเจตนาฉ้อโกงโจทก์โดยทุจริต เป็นการละเมิดสิทธิของโจทก์ขอให้พิพากษาเพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าว ดังนี้ กรณีเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวแทนกระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกเหนือขอบอำนาจทำให้โจทก์เสียหายและจำเลยทั้งสี่กระทำการละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงชอบที่จะว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามกฎหมายดังกล่าว จะมาฟ้องขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมซึ่งถึงที่สุดแล้วหาได้ไม่เพราะโจทก์เป็นคู่ความในคดีเดิมนั้นจึงต้องถูกผูกพันตามคำพิพากษาในคดีดังกล่าว ศาลย่อมพิพากษายกฟ้องคดีใหม่นี้ได้เลยโดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคดีมาฟ้องใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางแพ่งจากประมาททางอาญา: นายจ้างไม่ผูกพันตามคำพิพากษาอาญา
ศาลคดีอาญาพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้ ส. บุตรโจทก์ตายไม่ผูกพันจำเลยที่ 3 ในคดีแพ่งที่โจทก์ฟ้องให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะนายจ้าง โจทก์ไม่สืบพยานอื่นนอกจากอ้างคำพิพากษาคดีอาญาศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รับผิด แต่ยกฟ้องจำเลยที่ 3

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 560/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการไต่สวนข้อเท็จจริงก่อนมีคำสั่งให้กักขัง จำเลยต้องแสดงเหตุผลที่ไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาได้
โจทก์ยื่นคำร้องว่า จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ขอให้จับจำเลยมากักขังไว้จนกว่าจะปฏิบัติตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์จำเลยยังคงโต้เถียงกันอยู่ว่า จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำพิพากษาได้หรือไม่ ศาลสมควรที่จะไต่สวนให้ข้อเท็จจริงดังกล่าวฟังเป็นยุติเสียก่อนที่จะสั่งยกหรืออนุญาตตามคำร้องของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 297

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 524/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการครอบครองที่ดินหลังคำพิพากษาถึงที่สุด การโอนสิทธิ และการฟ้องขับไล่
คดีก่อนจำเลยฟ้องมารดาโจทก์ว่า บิดาจำเลยกู้เงินมารดาโจทก์ แล้วมอบที่นาพิพาทให้มารดาโจทก์ยึดถือทำกินต่างดอกเบี้ยบิดาจำเลยตายแล้ว จำเลยเป็นผู้รับมรดก จึงขอให้มารดาโจทก์คืนที่นาพิพาทแก่จำเลย ศาลพิพากษาถึงที่สุดฟังตามที่มารดาโจทก์ต่อสู้คดีว่า บิดาจำเลยขายที่นาพิพาทให้มารดาโจทก์จำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิมารดาโจทก์ พิพากษายกฟ้อง ปรากฏว่าระหว่างพิจารณาคดีก่อน มารดาโจทก์ยกที่นาพิพาทให้โจทก์และเมื่อคดีก่อนถึงที่สุดแล้วโจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยเป็นคดีนี้ อ้างว่าจำเลยอาศัย จำเลยต่อสู้ว่า การที่จำเลยฟ้องมารดาโจทก์ในคดีก่อนเป็นการแสดงเจตนาแย่งการครอบครองโจทก์นำคดีมาฟ้องเมื่อเกิน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครอง ไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้เมื่อคำพิพากษาคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดแล้วฟังว่าจำเลยครอบครองที่พิพาทอยู่โดยอาศัยสิทธิมารดาโจทก์จำเลยจะโต้เถียงฝ่าฝืนคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วว่าจำเลยได้แสดงเจตนาแย่งการครอบครองที่พิพาทอีกไม่ได้ โจทก์ได้รับโอนที่นาพิพาทมา ถือได้ว่าได้รับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่เกี่ยวกับที่พิพาทด้วยการที่จำเลยอยู่ในที่พิพาทต่อมาต้องถือว่าจำเลยอยู่โดยอาศัยสิทธิของโจทก์ แม้นานเท่าใดก็หาเป็นการแย่งการครอบครองไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำสั่งศาลชั่วคราวหลังมีคำพิพากษา และการนับระยะเวลาค่าใช้จ่ายรักษาทรัพย์ในการบังคับคดี
โจทก์ฟ้องเรียกหนี้จากจำเลย ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอให้ยึดเรือเดินทะเลของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นมีคำสั่งห้ามมิให้เคลื่อนย้ายเรือลำดังกล่าวออกจากอู่เรือของผู้ร้องผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้โจทก์ถอยเรือออกไปให้พ้นท่าเทียบเรือของผู้ร้อง ต่อมาโจทก์กับผู้ร้องได้ตกลงกันตามรายงานกระบวนพิจารณาว่า โจทก์ยอมให้เงินผู้ร้องในการที่เรือจอดอยู่ที่อู่ของผู้ร้องเดือนละ 3,000 บาทจนกว่าศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น โดยจะจ่ายให้เมื่อได้ขายทอดตลาดเรือแล้ว และให้ถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายในการบังคับคดี ต่อมาศาลพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้โจทก์และโจทก์ขอหมายบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 260(2) ดังนี้ คำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวที่ศาลได้สั่งไว้ในระหว่างการพิจารณาก่อนมีคำพิพากษาคงมีผลต่อไปไม่ได้ถูกยกเลิก ทั้งจะถือว่าศาลได้มีคำสั่งเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ ห้ามเคลื่อนย้ายเรือเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ขายทอดตลาดเรือนั้นไป การนับระยะเวลาที่ผู้ร้องจะได้รับค่ารักษาทรัพย์เดือนละ 3,000 บาทนั้น จึงต้องนับถึงวันที่ได้ย้ายเรือออกไปจากอู่ของผู้ร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 38/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลของคำขอท้ายฟ้องที่ให้ถือคำพิพากษาแทนเจตนาจำเลย และการบังคับคดีตามสัญญาให้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ประสงค์จะยกที่ดินให้ ฉ. และจำเลยที่ 1 คนละครึ่ง จำเลยร่วมกันหลอกลวงให้โจทก์ยกที่ดินให้จำเลยที่ 1 ทั้งแปลงก่อน โดยจำเลยที่ 1 ตกลงจะแบ่งให้ ฉ. ครึ่งหนึ่งภายหลัง และจะระบุข้อตกลงไว้ในหนังสือสัญญาให้ด้วย โจทก์จึงลงลายพิมพ์นิ้วมือในหนังสือสัญญาให้ ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่แบ่งที่ดินให้ ฉ. มิได้ระบุข้อตกลงไว้ในสัญญาให้ และได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 จำนองที่พิพาทไว้กับธนาคาร สัญญาให้จึงไม่สมบูรณ์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนจำนอง โดยจำเลยเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย และแบ่งที่พิพาทที่ไถ่ถอนแล้วให้ ฉ. ครึ่งหนึ่ง ถ้าจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ดังนี้ ในกรณีที่โจทก์ชนะคดีและจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาจะด้วยเหตุใดก็ตาม โจทก์ก็อาจไถ่ถอนที่ดินพิพาทอันมีผลผูกพันส่วนที่จะยกให้ ฉ. เสียเอง แล้วมาฟ้องเรียกร้องเอาค่าไถ่ถอนคืนจากจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้ สำหรับผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกก็อาจร้องสอดหรืออาจถูกเรียกให้เข้ามาในคดีนี้ได้อยู่แล้ว หรือคู่กรณีจะเลือกฟ้องร้องกันใหม่เป็นอีกคดีหนึ่งก็ได้
ความประสงค์ของโจทก์ตามคำขอก็คือต้องการให้จำเลยโอนที่พิพาทครึ่งหนึ่งให้ ฉ. โดยปลอดจำนองเท่านั้น ซึ่งถ้าปรากฏว่าจำเลยที่ 1 ทำสัญญากับโจทก์รับที่ดินพิพาทไว้โดยมีข้อตกลงดังกล่าว จำเลยก็ถูกผูกมัดโดยสัญญาที่จะต้องโอนที่ดินให้ ฉ. ตามที่โจทก์ขอมา ส่วนการที่ ฉ. จะรับการให้หรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่งในชั้นบังคับคดี หาทำให้คำขอของโจทก์บังคับไม่ได้แต่อย่างไรไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2898/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแบ่งแยกที่ดินมรดก: ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม แม้มีข้อโต้แย้งเรื่องลำดับการนำสืบพยาน
คำสั่งศาลชั้นต้นเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบจะเป็นการถูกต้องหรือไม่ก็ตาม เมื่อโจทก์จำเลยได้สืบพยานเสร็จสิ้นบริบูรณ์แล้ว และไม่มีผลทำให้การวินิจฉัยคำพยานเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องแก้ไขเกี่ยวกับหน้าที่นำสืบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2707/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์ รับของโจร และปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานรับของโจร มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 จำคุก 1 ปี ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 กระทำผิดฐานลักทรัพย์ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 จำคุก 1 ปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่เก็บเงินและได้ออกจากงานไปแล้วก่อนเกิดเหตุ ได้ไปเรียกเก็บเงินค่าหนังสือพิมพ์จากลูกค้าของผู้เสียหายโดยจำเลยที่ 1 กรอกข้อความในใบเสร็จรับเงิน และลงชื่อเป็นผู้รับเงิน ลูกค้าของผู้เสียหายหลงเชื่อจึงมอบเงินให้ไป เป็นการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ลูกค้าและผู้เสียหาย เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ์ เพราะใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐานแห่งการระงับซึ่งสิทธิ์ และเมื่อจำเลยที่ 1 ใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมดังกล่าวโดยมอบให้แก่ลูกค้าของผู้เสียหาย จึงเป็นความผิดฐานใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับเงินก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลสั่งคืนเงินเมื่อศาลฎีกาตัดสินกลับ
โจทก์กับผู้ร้องพิพาทกันเรื่องเงินที่ธนาคารออมสินส่งมาตามคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ก่อนมีคำพิพากษา ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์มีสิทธิ์เหนือเงินจำนวนนี้ดีกว่าผู้ร้อง ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ผู้ร้องมีสิทธิ์ในเงินจำนวนนี้ การที่โจทก์รับเงินไปจากศาลก่อนศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษา เท่ากับโจทก์รับเงินที่ตนไม่มีสิทธิ์ได้รับตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าว
of 189