พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,640 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4410-4411/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การออกเช็คหลายฉบับเพื่อชำระหนี้รายเดียวกันถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลมีดุลพินิจหักวันคุมขังได้
การที่จำเลยออกเช็คแต่ละฉบับชำระหนี้รายเดียวกันถือได้ว่ามีเจตนาให้จ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับแยกจากกันเป็นคนละส่วนคนละจำนวนแม้ได้ลงวันที่สั่งจ่ายวันเดียวกันและธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินวันเดียวกันก็เป็นความผิดที่เกิดขึ้นต่างหากแยกจากกันได้โดยชัดเจนเป็นการเฉพาะของเช็คแต่ละฉบับจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน การที่ศาลจะสั่งให้หักจำนวนวันที่จำเลยถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษาออกจากโทษจำคุกตามคำพิพากษาหรือไม่นั้น เป็นดุลพินิจของศาลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคแรก ทั้งมิใช่กรณีที่หากโจทก์ไม่มีคำขอขึ้นมาศาลก็วินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4398/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สถานะกรรมการลูกจ้างเริ่มเมื่อใด การเลิกจ้างกรรมการลูกจ้างต้องได้รับอนุญาตจากศาล
สถานประกอบกิจการของจำเลยมีคณะกรรมการลูกจ้างได้ 11 คนลูกจ้างของจำเลยเกินหนึ่งในห้าของจำนวนลูกจ้างทั้งหมดเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน อ.สหภาพแรงงานอ. ได้แต่งตั้งกรรมการลูกจ้าง6 คน โดยโจทก์ได้รับแต่งตั้งให้เป็นกรรมการลูกจ้างด้วย ดังนี้โจทก์เป็นกรรมการลูกจ้างตั้งแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้งแม้จะยังไม่มีการเลือกตั้งกรรมการลูกจ้างอีก 5 คนก็ตาม จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมิได้รับอนุญาตจากศาลแรงงาน จึงไม่ชอบด้วยพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 52
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4388/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการคัดค้านการขายทอดตลาด: การไม่ปฏิบัติตามคำคัดค้านของจำเลยและการไม่ยื่นคำร้องต่อศาลภายในกำหนด
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกาว่า เจ้าพนักงานบังคับคดี ไม่ควรขายที่ดินที่ถูกยึดแปลงที่ 8 และแปลงที่ 9 กับแปลงที่ 10และแปลงที่ 11 รวมกัน เพราะถ้าแยกขายแปลงที่ 8 และแปลงที่ 9 จะทำให้รายได้ในการขายเพิ่มขึ้นกว่าการขายรวมกัน และการขายแปลงที่ 10 กับแปลงที่ 11 รวมกันทำให้ ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ที่ขายเป็นเงินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละเท่าไร เพราะที่ดินแปลงที่ 10 มีชื่อจำเลยที่ 2 ที่ 3เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่แปลงที่ 11 จำเลยที่ 3มีกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียว เมื่อปรากฏว่า ในวันขายทอดตลาดนั้นจำเลยที่ 2 ที่ 3 มาดูแลการขายด้วย และยังได้คัดค้านการรวมขายที่ดินแปลง ที่ 8 และแปลงที่ 9 กับแปลงที่ 10และแปลงที่ 11 แล้ว แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีไม่บันทึกไว้และบอกให้ไปร้องต่อศาลเอง กรณีเท่ากับว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีไม่ยอมปฏิบัติตามคำคัดค้านของจำเลยที่ 2ที่ 3 จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ชอบที่จะต้องไปยื่นคำร้องขอต่อศาลขอให้มีคำสั่งชี้ขาดเสียภายในสองวัน นับแต่วันที่ เจ้าพนักงานบังคับคดีปฏิเสธคำคัดค้านของจำเลยที่ 2 ที่ 3ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 309 วรรคท้ายเมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ยื่นคำร้องต่อศาล เสีย ภายในกำหนดเวลาดังกล่าว จำเลยที่ 2 ที่ 3 จะยกเป็นเหตุคัดค้านภายหลังไม่ได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ โจทก์เป็นธนาคารพาณิชย์ ย่อมมีสิทธิซื้อที่ดินที่จำนองเป็นประกันไว้แก่โจทก์จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลเพื่อชำระหนี้โจทก์ได้ตามพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505มาตรา 12(4)(ข)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4367/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องต้องชัดเจนถึงเหตุรับผิด ศาลมิอาจพิพากษาเกินกว่าที่ฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องเพียงว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 จำเลยทั้งสี่ร่วมกับ ก.ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์ โดยสมคบร่วมกันขุดหน้าที่ดินของโจทก์โดยไม่ได้รับอนุญาตทำให้โจทก์เสียหายเท่านั้น มิได้บรรยายฟ้องถึงว่า จำเลยที่ 3ผู้เป็นลูกจ้างได้กระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2อันจำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดดังกล่าว จึงเป็นการบรรยายฟ้องถึงข้ออ้างที่เป็นหลักแห่งข้อหา หรือเหตุที่จะต้องรับผิดเฉพาะการที่ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์เท่านั้น การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ได้กระทำละเมิดไปในทางการที่จ้างและจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการละเมิดดังกล่าวนั้น จึงเป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ต้องห้ามตามมาตรา 142 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4344/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าธรรมเนียมบังคับคดีจากการยึดทรัพย์ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา และการหักเงินประกันเพื่อชำระค่าธรรมเนียม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 259 ให้นำบทบัญญัติลักษณะ 2 แห่งภาค 4 ว่าด้วยการบังคับแก่วิธีการชั่วคราวที่ศาลสั่งตามที่กล่าวไว้ในลักษณะ 1 โดยอนุโลมเมื่อโจทก์เป็นผู้ดำเนินการร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ถือได้ว่าโจทก์ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างอื่น ตามมาตรา 149 แล้ว แม้ว่าต่อมา โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน และโจทก์ไม่ได้รับประโยชน์จากการยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา โจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีตามที่ บัญญัติไว้ในตาราง 5 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในกรณีที่ยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินจำนวน 5,000 บาทไว้เพื่อเป็นประกันค่าเสียหายในการที่มีคำสั่งให้ยึดทรัพย์ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา แม้จำเลยมิได้รับความเสียหายก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มีหน้าที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีกรณีที่ยึดแล้วไม่มีขายจำนวน 20,370บาท และศาลชั้นต้นได้แจ้งคำสั่งให้โจทก์นำเงินดังกล่าวมาชำระต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ซึ่งโจทก์ได้ทราบคำสั่งดังกล่าวแล้วแต่ก็มิได้นำเงินมาชำระ เช่นนี้ ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจที่จะไม่คืนเงินที่โจทก์วางไว้เป็นประกัน จำนวน5,000 บาท ให้แก่โจทก์จนกว่าโจทก์จะนำเงินค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีจำนวน 20,370 บาท มาชำระแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ และถ้าหากในที่สุดโจทก์ไม่นำเงินค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีมาชำระและไม่มีทรัพย์สินที่จะยึดมาชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นย่อมเบิกเงินจำนวน 5,000 บาท มาชำระค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4280/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการวินิจฉัยพยานหลักฐานและการไม่จำต้องวินิจฉัยหากไม่ส่งผลต่อผลคดี
พยานหลักฐานใดที่เกี่ยวพันกับประเด็นในคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามลำดับประเด็นแห่งคดี แต่เมื่อผลคำวินิจฉัยฟังเป็นยุติโดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีเกี่ยวกับพยานหลักฐานนั้น หรือการวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานนั้นไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงแล้ว ศาลก็ไม่จำต้องวินิจฉัยถึงพยานหลักฐานเหล่านั้นต่อไปได้
การที่ศาลได้วินิจฉัยผลแห่งคดีว่า การซื้อนาฬิกาของจำเลยเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เช่นนี้ จึงหาจำต้องพิจารณาว่ามีข้อตกลงว่าหากเป็นของปลอมจะต้องคืนของหรือไม่อีก
การที่ศาลได้วินิจฉัยผลแห่งคดีว่า การซื้อนาฬิกาของจำเลยเป็นโมฆียะและจำเลยบอกล้างแล้ว เช็คพิพาทจึงไม่มีมูลหนี้ต่อกัน เช่นนี้ จึงหาจำต้องพิจารณาว่ามีข้อตกลงว่าหากเป็นของปลอมจะต้องคืนของหรือไม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4210/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการจำหน่ายคดี: ศาลชอบที่จะจำหน่ายคดีเมื่อโจทก์ทราบวันนัดแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุ
โจทก์ทราบวันนัดสืบพยานโดยชอบแล้วไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลจึงมีคำสั่งจำหน่ายคดี แม้โจทก์จะอ้างว่าเหตุที่มิได้มาศาลตามกำหนดนัดเกิดเพราะรถยนต์ขัดข้องก็มิใช่กรณีที่ศาลจำหน่ายคดีไปโดยผิดหลงหรือผิดระเบียบ อันจะเป็นเหตุให้เพิกถอนคำสั่งได้และการที่โจทก์ขาดนัดพิจารณาก็ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิโจทก์ที่จะขอให้พิจารณาใหม่ โจทก์เพียงแต่มีสิทธิที่จะเสนอคำฟ้องเข้ามาใหม่ภายในกำหนดอายุความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 200
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4210/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขาดนัดพิจารณาคดีและการจำหน่ายคดี ศาลชอบด้วยกฎหมายหากโจทก์ไม่แจ้งเหตุขัดข้อง
เมื่อโจทก์จำเลยขาดนัดพิจารณาและศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีแม้โจทก์จะอ้างเหตุที่โจทก์ไม่ได้มาศาลตามกำหนดนัดเพราะรถยนต์ขัดข้องก็ตามก็มิใช่กรณีศาลสั่งจำหน่ายคดีไปโดยผิดหลงหรือผิดระเบียบ จะเพิกถอนคำสั่งจำหน่ายคดีไม่ได้ และกรณีโจทก์ขาดนัดพิจารณา ไม่มีบทกฎหมายใดให้สิทธิโจทก์ขอพิจารณาใหม่เพียงแต่ให้โจทก์มีสิทธิเสนอคำฟ้องเข้ามาใหม่ภายในอายุความเท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4184/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามในคดีทุนทรัพย์ไม่เกินสองแสนบาท: การโต้เถียงข้อเท็จจริงและดุลพินิจศาล
ในคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง(ฉบับที่ 12) พ.ศ. 2534 มาตรา 18 คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยที่ 3 ชำระเงิน 190,454 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ฎีกาขอให้ตนเป็นฝ่ายชนะคดีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาคงมีจำนวนเพียง 190,454 บาทส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ถือเป็นค่าเสียหายในอนาคตจะนำมาคำนวณเป็นทุนทรัพย์ในชั้นฎีกาหาได้ไม่ ฎีกาของจำเลยที่ 3 ที่ว่าจำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายประมาทเลินเล่อและจำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างและกระทำการในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 3 เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทบัญญัติดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 410/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำหน่ายเฮโรอีน: พยานหลักฐานมั่นคงแม้มีการเบิกความแตกต่างเล็กน้อย ศาลแก้ไขโทษลดลง
พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอดได้ความว่าจำเลยได้จำหน่ายเฮโรอีนที่มีไว้ในครอบครองให้แก่ผู้ล่อซื้อ 1 หลอดในราคา 550 บาทโดยมิได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีน 3 หลอด และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อเป็นของกลาง แม้การเบิกความบางตอนจะแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงพลความมิใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำพยานโจทก์เหล่านั้นมีน้ำหนักน้อยลงถึงกับรับฟังไม่ได้โดยเฉพาะพยานโจทก์ทั้งสามต่างเป็นข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ จำเลยเองก็รับอยู่ว่าในวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจยึดเฮโรอีนพร้อมเงินสดจำนวน600 บาท ของกลางได้จากจำเลยจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้นั้นมีผู้นำมาฝากจำเลยไว้ โดยจำเลยไม่ทราบว่าของที่นำมาฝากนั้นเป็นเฮโรอีน ซึ่งผิดวิสัยที่คนทั่วไปจะรับของฝากไว้ โดยไม่รู้จักกับคนที่ฝากเลย ดังนี้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิด.