พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบวกโทษคดีอาญา: โจทก์ไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่อาจเพิ่มโทษจำเลยได้
คดีนี้ซึ่งเป็นคดีหลัง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและบวกโทษจำเลยที่ 4 ตามคำขอท้ายฟ้อง แต่บวกโทษผิดพลาด โดยนำโทษจำคุก3 เดือน ของจำเลยอื่นในคดีก่อนมาบวกโทษแทน แต่เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ก็ต้องถือว่าโจทก์พอใจในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น ศาลฎีกาไม่อาจนำโทษจำคุก 1 ปี 5 เดือน ของจำเลยที่ 4ในคดีก่อนที่ถูกต้องมาบวกได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยที่ 4
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2244/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง ไม่ระบุข้อพิพาทเดิม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ฎีกาของจำเลยทั้งสองมิได้กล่าวถึงคำพิพากษาศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 โดยบรรยายในฎีกาเพียงว่าศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้อง และเอกสารหมาย จ.1รับฟังไม่ได้ ซึ่งเมื่ออ่านฎีกาของจำเลยทั้งสองโดยตลอดแล้ว ไม่อาจทราบได้ว่าคดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าอย่างไร ทั้งไม่อาจทราบได้ว่าข้อที่จำเลยทั้งสองยกขึ้นฎีกานั้น เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์หรือไม่ ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรกศาลฎีกาจึงไม่อาจรับไว้วินิจฉัยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 223/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทำร้ายร่างกาย vs. พยายามฆ่า: ศาลฎีกาวินิจฉัยจากพฤติการณ์ยิงในระดับต่ำ
ที่เกิดเป็นเหตุการณ์คดีนี้เนื่องจากสาเหตุที่มีการสอบถามถึงเรื่องที่จำเลยด่าว่าบุตรสาว จ. เท่านั้น อันเป็นเหตุเล็กน้อยไม่น่าจะปองร้ายกันถึงชีวิต และได้ความจากคำเบิกความของ จ.ว่า จำเลยใช้อาวุธปืนยิงไปทาง ร. ในระยะห่างประมาณ 5 ถึง 6 วาหากจำเลยประสงค์จะปองร้ายจ.และร. ถึงชีวิต จำเลยคงเลือกยิงในตำแหน่งซึ่งอาจทำให้ถึงตายได้โดยไม่ยาก การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิง ร.ในระดับต่ำถูกบริเวณต้นขาและน่องซ้ายของร.ย่อมแสดงให้เห็นว่าจำเลยเจตนาให้ จ. และ ร. ได้รับอันตรายแก่กายเท่านั้น จึงฟังได้เพียงว่า จำเลยทำร้ายร่างกาย ร. อันเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2185/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดแจ้ง: การไม่ระบุประเด็นคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อย่างชัดเจน ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
โจทก์ฎีกาว่า ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1แต่มิได้กล่าวให้แจ้งชัดว่าไม่เห็นด้วยในปัญหาข้อไหน อย่างไรเป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัยหรือไม่ เพียงแต่กล่าวอ้างความเป็นมาของที่ดินพิพาทและโต้แย้งการรับฟังเอกสารซึ่งซ้ำกับที่กล่าวในอุทธรณ์อันเป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นเท่านั้นจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1991/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายต่อเนื่องและการร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ศาลฎีกาพิจารณาพฤติการณ์ปัจจุบันทันด่วนและการสมคบคิด
พฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นไปโดยปัจจุบันทันด่วนต่อเนื่องจากการที่ผู้ตายใช้ศอกกระแทกหน้าอกจำเลย เป็นเหตุให้จำเลยชกต่อยผู้ตาย 1 ทีแล้ววิ่งหนีจากนั้น ส. จึงเข้าซ้ำเติมใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย ซึ่งจำเลยและ ส. ต่างคนต่างทำร้ายผู้ตายโดยมิได้สมคบกันมาก่อน ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกับ ส. ฆ่าผู้ตายคงฟังได้แต่เพียงว่าจำเลยทำร้ายผู้ตายโดยชกผู้ตาย 1 ที จำเลยจึงต้องมีความผิดแต่เฉพาะการกระทำของตนเองฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1922/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายเนื่องจากผู้เรียงฎีกาไม่มีคุณสมบัติเป็นทนายความ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา
จำเลยยื่นฎีกาโดยลงชื่อเป็นผู้ฎีกา แต่มี ส. ซึ่งเป็นนักลงโทษลายมือชื่อเป็นผู้เรียง ปรากฎว่า ส. มิได้เป็นผู้ซึ่งได้จดทะเบียนและรับใบอนุญาตเป็นทนายความ กับทั้งไม่ปรากฎว่าเป็นบุคคลซึ่งอยู่ในข้อยกเว้นตามมาตรา 33แห่งพระราชบัญญัติ ทนายความ พ.ศ.2528 ดังนั้น การที่ ส.เรียงหรือแต่งฟ้องฎีกาให้จำเลยจึงเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาซึ่งเกิดจากการกระทำอันไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับพิจารณาให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1843/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานพาอาวุธและการพิพากษาโดยไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขได้
เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าผู้เสียหาย จำเลยย่อมไม่มีความผิดฐานพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยด้วย แม้ความผิดในข้อหาพาอาวุธไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรจะยุติโดยต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกฟ้องในข้อหาความผิดนี้ได้ด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบมาตรา 215และมาตรา 225 เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกัน
คำฟ้องมิได้บรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ.มาตรา 376 แม้คำขอท้ายฟ้องจะระบุให้ลงโทษมาด้วย ศาลก็จะพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดข้อหาดังกล่าว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษายกฟ้องข้อหาดังกล่าวได้
คำฟ้องมิได้บรรยายถึงองค์ประกอบความผิดตาม ป.วิ.อ.มาตรา 376 แม้คำขอท้ายฟ้องจะระบุให้ลงโทษมาด้วย ศาลก็จะพิพากษาลงโทษจำเลยไม่ได้ เพราะต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคแรก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดข้อหาดังกล่าว แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ฎีกาขึ้นมา แต่ปัญหาดังกล่าวเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขให้ถูกต้องโดยพิพากษายกฟ้องข้อหาดังกล่าวได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 176/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปลอมเอกสารมอบอำนาจเพื่อโอนที่ดิน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้จำเลยมีความผิด
ที่โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันเงินกู้ แต่จำเลยที่ 1 กลับกรอกข้อความว่าโจทก์มอบอำนาจให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 1 อันเป็นการกระทำโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ และจำเลยที่ 1 ได้นำหนังสือมอบอำนาจไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่โจทก์ จึงเป็นการปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อเป็นพยานในหนังสือมอบอำนาจที่จำเลยที่ 1 ได้กรอกข้อความโดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของโจทก์ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับจำเลยที่ 1ในการปลอมหนังสือมอบอำนาจด้วย แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ได้ไปด้วยในวันที่นำหนังสือมอบอำนาจปลอมไปจดทะเบียนโอนที่ดิน แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 มาตั้งแต่ต้นทั้งเป็นสามีภรรยากันมีส่วนได้เสียในที่ดินที่รับโอน จึงถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมในการใช้เอกสารปลอมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1622/2537
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามเนื่องจากทุนทรัพย์ไม่เกิน 200,000 บาท และข้อพิพาทเป็นเรื่องข้อเท็จจริง
ทุนทรัพย์ในชั้นร้องขัดทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน200,000 บาท ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ผู้ร้องฎีกาว่าตามพฤติการณ์ต้องฟังว่า รถยนต์พิพาทที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้นั้น ผู้ร้องรับโอนมาโดยสุจริตเสียค่าตอบแทนและรับโอนมาโดยไม่มีพิรุธ เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาทั้งสิ้นซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของผู้ร้องมาโดยไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 160/2537 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับบุคคลนอกคดีและการโอนมรดก: ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษาให้จำกัดขอบเขตการโอนเฉพาะส่วนของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่าที่ดินพิพาท ร. สามีจำเลยเป็นผู้ไปแจ้งการครอบครอง และ ร. ได้นำที่ดินไปขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ ทั้งปรากฏตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวว่ามีชื่อ ร.เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง ต่อมา ร. ตาย จำเลย และบุตรได้จดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินแปลงนี้ต่อมาตั้งแต่ก่อนโจทก์ฟ้องคดี เมื่อโจทก์มิได้ฟ้องผู้มีชื่อในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ทั้งหมดมาด้วย คำพิพากษาอุทธรณ์ที่พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ด้วยนั้น จึงมีผลเป็นการบังคับบุคคลนอกคดี ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องโดยพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของจำเลยเท่านั้นแก่โจทก์