คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ความเสียหาย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,842 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2524 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดร่วมกันจากการยักยอกเงินและสิทธิในการไล่เบี้ยของผู้รับช่วงสิทธิ
โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้ร่วมกันยักยอกเงินของสหกรณ์ ไป ต้องร่วมกันรับผิดชอใช้ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายนั้นแก่สหกรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 432 วรรคแรก ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ไม่มีพฤติการณ์ที่จะต้องรับผิดยิ่งหย่อนกว่ากันจึงต้องรับผิดเป็นส่วนเท่า ๆ กันตามมาตรา 432 วรรคสาม เมื่อโจทก์ได้ชำระเงินที่ยักยอกให้สหกรณ์ฯ ไป ย่อมรับช่วงสิทธิของสหกรณ์ฯ มาไล่เบี้ยเอากับจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 229 (3), 266 การที่โจทก์ใช้เงินคืนแก่สหกรณ์ฯ ไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน โจทก์ฟ้องเรียกเงินส่วนที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อสหกรณ์ฯ จากจำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ได้ชำระให้ไปแล้ว มิใช่ฟ้องเรียกเงินที่โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 1 ยักยอกมา จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามกฎหมายและถือไม่ได้ว่าเป็นการมาศาลด้วยมืออันไม่บริสุทธิ์ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในการเข้าทำงานกับสหกรณ์ฯ เมื่อหนี้ที่จำเลยที่ 1 ก่อขึ้นต่อสหกรณ์ฯ นี้เป็นหนี้ที่จำเลยที่ 2 จะต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันแล้ว โจทก์เข้ารับช่วงสิทธิจากสหกรณ์ จึงใช้สิทธิของสหกรณ์ฯ บังคับเอาแก่จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ได้ตามมาตรา 226

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1011/2524

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำทางสาธารณะและทางส่วนบุคคลทำให้เจ้าของที่ดินเสียหาย มีสิทธิฟ้องให้รื้อถอนได้
แม้ที่ดินที่จำเลยปลูกบ้านอยู่เป็นที่ดินคันคลอง อยู่ในความดูแลของกรมชลประทาน มิใช่เป็นที่ดินของโจทก์ทั้งสอง แต่โดยเหตุที่ที่ดินส่วนนั้นเป็นทางสาธารณะ และเป็นที่ดินคันคลองสาธารณะ ซึ่งประชาชนรวมทั้งโจทก์ทั้งสองมีสิทธิที่จะใช้สอยร่วมกัน และบ้านที่จำเลยสร้างขึ้นบังหน้าที่ดินของโจทก์ที่ 1 ทางด้านคันคลอง และปิดกั้นทางส่วนบุคคลซึ่งโจทก์ทั้งสองใช้ในการไปมาจากที่ดินโจทก์ทั้งสองสู่ทางสาธารณะดังกล่าว เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองไม่สามารถเข้าออกไปมายังคันคลองอันเป็นทางสาธารณะ และไม่มีความสะดวกในการที่จะใช้น้ำในคลองสาธารณะ ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย เพราะการกระทำของจำเลยเป็นพิเศษ โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องให้จำเลยรื้อถอนบ้านและสิ่งปลูกสร้างที่จำเลยปลูกสร้างขึ้นทำความเสียหายให้โจทก์ทั้งสองได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 893/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล่อยตัวชั่วคราวและการฟ้องร้องความเสียหายแยกต่างหาก
ผู้ร้องยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ศาลไต่สวนแล้วมีคำสั่งปล่อยตัวผู้ร้องจากการควบคุมของเจ้าพนักงานที่มีความเห็นว่าผู้ร้องเป็นบุคคลซึ่งเป็นภัยต่อสังคมเมื่อปรากฏว่าระหว่างการไต่สวนของศาลชั้นต้น ผู้ร้องได้รับการปล่อยตัวไปแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไต่สวนต่อไป หากผู้ร้องเห็นว่าการกระทำของผู้คัดค้านเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับความเสียหายโดยผิดกฎหมายอย่างไรก็ชอบที่ผู้ร้องจะต้องว่ากล่าวกันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 637/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่สาธารณประโยชน์ริมคลอง: การฟ้องขับไล่จำเลยที่ปลูกบ้านในที่สาธารณประโยชน์โดยโจทก์ไม่มีความเสียหาย
จำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่ริมตลิ่งซึ่งกว้าง 15 เมตร และติดกับหน้าที่ดินของโจทก์ที่ริมตลิ่งอยู่ในความดูแลของกรมชลประทานอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสำหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน โจทก์มีทางลงสู่คลองได้โดยไม่ต้องผ่านที่พิพาทโจทก์จึงไม่เสียหาย ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3101-3102/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมและการพิสูจน์ความเสียหายของลูกจ้าง กรณีลูกจ้างมีส่วนผิด
วันเกิดเหตุ ก. ซึ่งเป็นพนักงานขายของได้ไปที่บริษัทนายจ้าง แล้วได้ปั๊มบัตรลงเวลาทำงาน นำรถยนต์บรรทุกน้ำอัดลมออกไปเพื่อทำการขาย และได้ให้พนักงานขายสำรองไปด้วย ระหว่างทาง ก.ลงจากรถไป โดยให้พนักงานขายสำรองทำการขายแทน ครั้นตอนเป็น ก.กลับไปที่บริษัทนายจ้างอีกเพื่อปั๊มบัตรเลิกงาน ดังนี้ การกระทำของ ก. เป็นการหลีกเลี่ยงไม่ทำงาน เป็นการละทิ้งหน้าที่ซึ่งบัญญัติไว้ต่างหากแล้วในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ มาตรา 123 (4) มิใช่อาศัยอำนาจหน้าที่ที่เป็นพนักงานขายแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายอันจะถือได้ว่าทุจริตต่อหน้าที่
ตามมาตรา 41 (4) พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ เห็นได้ว่า เมื่อได้สั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานแล้ว จะไม่สั่งให้นายจ้างจ่ายค่าเสียหายอีกก็ได้ เมื่อศาลแรงงานกลางพิพากษาให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงานแล้ว และปรากฏว่าลูกจ้างมิได้นำสืบว่าได้รับความเสียหายอย่างไรบ้าง ทั้งมีส่วนผิดอยู่ด้วย ศาลแรงงานกลางจึงชอบที่จะใช้ดุลพินิจไม่ให้นายจ้างชดใช้ค่าเสียหายแก่ลูกจ้างได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเสียหายโดยตรงจากการละเว้นการจับกุมและการแจ้งความเท็จ ผู้เสียหายต้องมีความเสียหายโดยตรงจากการกระทำ
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใด การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกที่สาธารณะ จึงมิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3035/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกและการแจ้งความเท็จ ผู้เสียหายต้องพิสูจน์ความเสียหายโดยตรง
เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าการบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ตามที่โจทก์กล่าวมาในฟ้องทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายแต่ประการใด การที่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการจับกุมผู้บุกรุกที่สาธารณะ จึงมิใช่เป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ตามความหมายในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2966/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกจ้างที่ไม่จ่ายค่าชดเชย: การฝ่าฝืนระเบียบงานถือเป็นกรณีร้ายแรงได้ แม้ไม่เกิดความเสียหาย
การฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอันใดของนายจ้างจะถือว่าเป็นกรณีที่ร้ายแรงหรือไม่นั้น ย่อมต้องพิจารณาจากลักษณะของการกระทำนั้น ๆ มิใช่ว่าจะต้องให้ความเสียหายต่อนายจ้างปรากฏขึ้นด้วยเสมอไปจึงจะนับว่าการฝ่าฝืนนั้น ๆ เป็นกรณีที่ร้ายแรง
แม้ระเบียบของจำเลยจะมิได้ห้ามมิให้พนักงานดำรงตำแหน่งใดในธุรกิจอื่นโดยเด็ดขาด โดยยังมีข้อยกเว้นให้พนักงานสามารถกระทำได้ก็ตาม โจทก์ก็พึงปฏิบัติตามข้อยกเว้นนั้น กรณีจึงจะไม่เป็นการกระทำฝ่าฝืนระเบียบ ส่วนที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเคยไม่ปลดหรือไล่พนักงานที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อนี้ออกจากงานนั้น หากจะเป็นจริงก็เป็นสิทธิของจำเลยที่จะใช้ดุลพินิจ เพราะตามระเบียบนี้ใช้คำว่า 'อาจเป็นผลให้'และความร้ายแรงของการฝ่าฝืนของพนักงานอื่นอาจต่างกับกรณีของโจทก์มากก็ได้
ระเบียบทั่วไปว่าด้วยสภาพการจ้างสำหรับพนักงานของบริษัทจำเลยกล่าวไว้ว่าการฝ่าฝืน ข้อ 87 อาจทำให้จำเลยเลิกจ้างพนักงานโดยไม่จ่ายค่าชดเชยนั้น มีความหมายว่าในบางกรณีจำเลยอาจถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นกรณีที่ร้ายแรงตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) แต่การฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานอันใดจะเป็นกรณีที่ร้ายแรงถึงขนาดที่นายจ้างมีสิทธิเลิกจ้างโดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยได้หรือไม่นั้น ศาลย่อมพิเคราะห์ว่ามีเหตุผลอันสมควรหรือไม่ มิใช่ว่าเมื่อนายจ้างกำหนดไว้ในระเบียบว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแล้วศาลจะต้องถือตามเสมอไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2938/2523

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดในความเสียหายต่อรถยนต์ แม้ผู้ขับไม่ใช่ผู้ฟ้อง
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดฐานละเมิด เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยทำให้รถยนต์ของโจทก์เสียหายจริง จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 การที่โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ขับรถเองและได้รับบาดเจ็บแต่ทางพิจารณาได้ความว่าผู้อื่นเป็นผู้ขับ และโจทก์มิได้โดยสารไปด้วยไม่เป็นข้อแตกต่างสำคัญที่จะให้ยกฟ้องได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2675/2523 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิจารณาคดีหมิ่นประมาทจากเอกสารท้ายฟ้อง และการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ความเสียหายจากการหมิ่นประมาท
คดีหมิ่นประมาท โจทก์บรรยายฟ้องถึงข้อความบางตอนที่อ้างว่าเป็นหมิ่นประมาทโจทก์ และได้บรรยายด้วยว่ารายละเอียดข้อความดังกล่าวปรากฏตามภาพถ่ายเอกสารท้ายฟ้อง ดังนี้ ศาลหยิบยกเอาข้อความในเอกสารท้ายฟ้องซึ่งเป็นส่วนหนึ่งแห่งคำฟ้องมาพิจารณาว่าโจทก์บรรยายฟ้อง ครบองค์ความผิดหรือไม่ได้
โจทก์แถลงขอสืบพยานว่า ข้อความที่ลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ ทำให้โจทก์ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง เมื่อบุคคลอื่นได้อ่านหนังสือพิมพ์แล้วก่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์ ดังนี้ จึงไม่อาจพิจารณาแต่เพียงข้อความในเอกสารท้ายฟ้องเท่านั้น ศาลชอบที่จะทำการพิจารณาสืบพยานโจทก์จำเลยต่อไป
of 185