พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,024 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3015/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลายื่นฎีกา: เหตุสุดวิสัยต้องเป็นเหตุการณ์ภายนอกควบคุมมิใช่ความบกพร่องของคู่ความและทนาย
จำเลยที่ 2 แต่งทนายความให้มีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณาใช้สิทธิในการฎีกาแทนได้ การที่ทนายความติดต่อกับจำเลยที่ 2ไม่ได้เพราะจำเลยที่ 2 เดินทางไปค้าขายและไปล้มป่วยที่ต่างจังหวัดก็เป็นความผิดพลาดบกพร่องของจำเลยที่ 2 กับทนายความเอง ถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษอันศาลจะพึงขยายระยะเวลาการยื่นฎีกาให้จำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2881/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การจำกัดสิทธิฎีกาในคดีอาญาเมื่อศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษเล็กน้อยและลงโทษจำคุกเกินห้าปี
ศาลชั้นต้นพิพากษาข้อหาความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 233 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 16 ปี8 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เฉพาะโทษให้จำคุกจำเลยที่ 113 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 6 ปี 8 เดือน เป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและลงโทษจำคุกจำเลยเกินห้าปี ต้องห้ามมิให้โจทก์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่เป็นไปตามรูปแบบ เหตุไม่โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ และมิได้ยกข้อเท็จจริง/ข้อกฎหมายใหม่
ฎีกาของโจทก์มี 3 ข้อ กล่าวคือ ข้อ 1. เป็นคำฟ้อง คำให้การของจำเลยทั้งสอง คำพิพากษาศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ข้อ 2. โจทก์นำคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นมาเขียนไว้เกือบทั้งหมด และข้อ 3.โจทก์เขียนไว้ในฎีกาเพียงว่า "โจทก์ขอถือเอาคำอุทธรณ์ของโจทก์เป็นส่วนหนึ่งของคำฎีกาโจทก์" กับท้ายฎีกาของโจทก์ระบุว่า ดังนั้นขอศาลฎีกาได้โปรดพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายจำนวน395,147 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ฎีกาของโจทก์เช่นนี้เป็นฎีกาที่โจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาไม่ชอบและโจทก์ไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์เพราะเหตุใด คำอุทธรณ์ของโจทก์ที่โจทก์ขอถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฎีกาโจทก์นั้นก็เป็นการคัดค้านเฉพาะคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่อาจนำมาเป็นคำคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่มิได้ยกข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายขึ้นอ้างอิงไว้โดยชัดแจ้ง ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก (เดิม)ศาลฎีกาไม่อาจรับวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2614/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในคดีแพ่ง: ราคาทรัพย์สินต่ำกว่าสองแสนบาท และปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาที่ว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์หรือไม่ และบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์หรือไม่เป็นปัญหาข้อเท็จจริง คดีนี้ราคาทรัพย์สินที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 250-251/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานปล้นทรัพย์โดยใช้ อาวุธปืน: ศาลฎีกาพิจารณาความถูกต้องของการปรับบทและข้อจำกัดการฎีกา
ฟ้องว่าจำเลยมีและใช้อาวุธปืนปล้นทรัพย์ แต่ไม่ระบุว่าเป็นอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ อันจะทำให้ต้องรับโทษหนักขึ้น ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 78 วรรคสามดังนี้ จึงลงโทษจำเลยหนักขึ้นไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นเรื่องที่โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษหนักขึ้น เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพาอาวุธปืนโดยผิดกฎหมายไม่เกิน5 ปี การที่จำเลยฎีกาว่ามิได้พาอาวุธปืน ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 และในกรณีศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยฐานมีอาวุธปืนที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ แต่จำเลยกลับฎีกาโต้แย้งว่ามิได้มีอาวุธปืนสั้นซึ่งมีนายทะเบียนของบุคคลอื่นไว้ในครอบครองดังนี้ถือว่าฎีกาที่ไม่โต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2463/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อจำกัดการฎีกาในข้อเท็จจริงเมื่อทุนทรัพย์น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด และการโต้แย้งดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐาน
คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกามีเพียง 10,750 บาท และกรณีไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง การที่ผู้ร้องสอดฎีกาว่า ส.ค.1 ของบิดาผู้ร้องสอดเป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้ก่อนเอกสารใบจองของโจทก์ จึงยืนยันความแน่นอนได้ว่าบิดาผู้ร้องสอดอยู่อาศัยในที่พิพาทก่อนโจทก์ โจทก์มีเพียงพยานบุคคล ส่วนสัญญาเช่าระหว่างโจทก์จำเลยโจทก์ก็ทำขึ้นเองและมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสาระสำคัญ ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์ให้จำเลยเช่าที่พิพาท พยานหลักฐานผู้ร้องสอดเชื่อได้ว่า ที่พิพาทเป็นของบิดาผู้ร้องสอดนั้นเป็นการฎีกาโต้แย้งดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ผู้ร้องสอดฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2461/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาที่ไม่ชัดเจนและฝ่าฝืนข้อกำหนดการยื่นพยานหลักฐาน ทำให้ศาลฎีกาไม่รับฟัง
จำเลยฎีกาว่า การดำเนินคดีของโจทก์เป็นการไม่สุจริตจะรับฟังตามคำเบิกความของพยานโจทก์ได้อย่างไรว่า จำเลยพึ่งล้อมรั้วและปักเสาคอนกรีตลงในที่ดินพิพาทในปลายปี 2530 อาจเป็นเดือนกรกฎาคม สิงหาคมหรือต้นเดือนกันยายนก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นจริงโจทก์ฟ้องคดีเมื่อวันที่ 28 กันยายน2531 คดีของโจทก์จะขาดอายุความ พยานโจทก์บางคนมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลย ฉะนั้นคำเบิกความของพยานโจทก์จึงต้องรับฟังด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ได้คัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างใด และข้อกฎหมายเป็นอย่างใด เพียงแต่เสนอความเห็นว่า น่าจะต้องรับฟังคำเบิกความของพยานโจทก์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่งเท่านั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคแรก
การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
การที่จำเลยยื่นสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่331/2533 ของศาลชั้นต้นพร้อมเอกสารประกอบคดีท้ายฟ้องฎีกา เป็นการอ้างและยื่นพยานหลักฐานต่อศาลโดยฝ่าฝืน ป.วิ.พ. มาตรา 87 (2) และไม่ใช่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลฎีกาไม่รับฟังพยานหลักฐานนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิอุทธรณ์ฎีกาในคดีอาญา แม้ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ
แม้ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ศาลชั้นต้นลงโทษปรับ 100 บาท จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ และศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อหาความผิดนี้มาแล้วก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ย่อมมีสิทธิฎีกาให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษจำเลยในข้อหาความผิดดังกล่าวนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายระยะเวลาฎีกาต้องมีพฤติการณ์พิเศษ การอ้างเหตุผู้พิพากษาโยกย้ายไม่เพียงพอ
การขอขยายระยะเวลาตามที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.พ. หรือตามที่ศาลกำหนดไว้ หรือตามกฎหมายอื่นให้พึงทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษโจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 วันที่ 19 สิงหาคม 2534 แต่ไม่ทำฎีกาและยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาจนเวลาล่วงเลยไปถึงวันที่ 17 กันยายน 2534 ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 2 วันจะครบกำหนดยื่นฎีกากลับมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาอ้างว่าผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นย้ายไปรับราชการศาลอื่น ทั้งที่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีอีกนายยังรับราชการที่ศาลชั้นต้นนั้นเอง และถึงแม้โจทก์จะให้ผู้พิพากษาที่ย้ายไปเป็นผู้อนุญาตให้ฎีกา ระยะเวลาภายในหนึ่งเดือนก็เพียงพอที่จะดำเนินการหากโจทก์รีบจัดการเสียแต่เนิ่น ๆ ข้ออ้างดังกล่าวของโจทก์ถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษ จึงไม่เป็นเหตุที่จะขยายระยะเวลาฎีกาให้.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 237/2536
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยื่นฎีกาข้ามกำหนด: เหตุขยายเวลาต้องเป็นพฤติการณ์พิเศษที่ไม่อาจกะเกณฑ์ได้
โจทก์ฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันที่ 19 สิงหาคม 2534 โจทก์ไม่ทำฎีกาและคำร้องยื่นขอให้ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีอนุญาตให้ฎีกาจนเหลือเวลาอีกเพียง 2 วัน จะครบกำหนดยื่นฎีกา จึงมายื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาออกไปอีก 25 วัน นับแต่วันครบกำหนดอ้างว่าผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้นย้ายไปรับราชการที่ศาลอื่น ทั้งที่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่พิจารณาคดีอีกนายหนึ่งยังรับราชการอยู่ที่ศาลชั้นต้นนั้นแม้โจทก์ประสงค์จะให้ผู้พิพากษาที่ย้ายไปเป็นผู้อนุญาตให้ฎีกา ระยะเวลาหนึ่งเดือนก็เพียงพอที่จะดำเนินการได้ทันหากโจทก์รีบจัดการเสียแต่เมื่อฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ข้ออ้างของโจทก์จึงถือไม่ได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษไม่เป็นเหตุที่จะขยายระยะเวลายื่นฎีกาได้