พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5520/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสิทธิการเช่าและการไม่มีอำนาจฟ้องคดีขับไล่
คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างและสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 7416/2529 ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษา คือให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่าง อ.กับโจทก์และเพิกถอนสัญญาเช่าสร้างระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อสร้างตึกแถวแล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้โจทก์ร่วม และไม่มีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ โจทก์ร่วมและโจทก์ยังไม่มีสิทธิอย่างใดในตึกแถวพิพาทโจทก์ร่วมและโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5520/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสิ้นสุดสิทธิเช่าและผลกระทบต่ออำนาจฟ้องขับไล่เมื่อศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเพิกถอนสัญญาเช่า
คดีนี้โจทก์และโจทก์ร่วมฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและจำเลยร่วมออกจากตึกแถวพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่าสร้างและสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์เมื่อปรากฏว่าคดีแพ่งหมายเลขแดงที่7416/2529ของศาลชั้นต้นถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้เพิกถอนการโอนสิทธิการเช่าสร้างระหว่างอ. กับโจทก์และเพิกถอนสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์ซึ่งมีผลเสมือนไม่มีการโอนสิทธิการเช่าที่ดินของโจทก์ร่วมเพื่อสร้างตึกแถวแล้วยกกรรมสิทธิ์ในตึกแถวนั้นให้โจทก์ร่วมและไม่มีสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ร่วมกับโจทก์โจทก์ร่วมและโจทก์ยังไม่มีสิทธิอย่างใดในตึกแถวพิพาทโจทก์ร่วมและโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5411/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนังสือสัญญาจำนองเป็นเอกสารมหาชน คู่ความต้องนำสืบหักล้างหากอ้างว่าไม่ถูกต้อง อำนาจฟ้องมีอยู่แล้ว
หนังสือสัญญาจำนองเป็นเอกสารราชการที่เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำขึ้นและเป็นเอกสารมหาชน จึงต้องถือว่าข้อความถูกต้องตรงตามความเป็นจริงผู้ที่อ้างว่าไม่ถูกต้องจึงมีหน้าที่นำสืบหักล้างว่าเอกสารไม่ถูกต้องอย่างไร ตามป.วิ.พ. มาตรา 127
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และสัญญาจำนอง จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากับโจทก์ตามฟ้อง ภายหลังวันชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจของโจทก์จากสำนักงานใหญ่ให้ผู้จัดการสาขาของโจทก์ที่จังหวัดพิษณุโลกหรือพนักงานอื่นใดทำสัญญาดังกล่าวแทน จึงขอตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสี่จึงยื่นภายหลังวันชี้สองสถานได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าตามฟ้องและพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่เป็นคู่สัญญากู้ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองกับโจทก์โดยตรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสี่ตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองได้อยู่แล้ว แม้จำเลยทั้งสี่จะอ้างว่าข้อตัดฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่แล้วเสียไป ทั้งไม่ทำให้รูปคดีของจำเลยทั้งสี่ดีขึ้นแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีเหตุอนุญาตให้จำเลยทั้งสี่แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสี่รับผิดต่อโจทก์ตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกัน และสัญญาจำนอง จำเลยทั้งสี่ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญากับโจทก์ตามฟ้อง ภายหลังวันชี้สองสถานและสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว จำเลยทั้งสี่ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะโจทก์ไม่มีหนังสือมอบอำนาจของโจทก์จากสำนักงานใหญ่ให้ผู้จัดการสาขาของโจทก์ที่จังหวัดพิษณุโลกหรือพนักงานอื่นใดทำสัญญาดังกล่าวแทน จึงขอตัดฟ้องว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องทั้งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยทั้งสี่จึงยื่นภายหลังวันชี้สองสถานได้ ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าตามฟ้องและพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสี่เป็นคู่สัญญากู้ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองกับโจทก์โดยตรง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยทั้งสี่ตามสัญญากู้ สัญญาค้ำประกันและสัญญาจำนองได้อยู่แล้ว แม้จำเลยทั้งสี่จะอ้างว่าข้อตัดฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ตาม ก็ไม่ทำให้อำนาจฟ้องของโจทก์ที่มีอยู่แล้วเสียไป ทั้งไม่ทำให้รูปคดีของจำเลยทั้งสี่ดีขึ้นแต่อย่างใด กรณีจึงไม่มีเหตุอนุญาตให้จำเลยทั้งสี่แก้ไขเพิ่มเติมคำให้การ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องขับไล่และโมฆะสัญญาซื้อขายที่ดินนิคมฯ ผู้ขายโอนไม่ได้
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจให้เช่าได้ค่าเช่าเดือนละ 5,000 บาท แม้โจทก์จะขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราปีละ 200,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไป แต่โจทก์ก็มิได้เรียกร้องค่าเสียหายนี้มาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่น หากแต่เรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่ผู้เช่าออกจากอสังหาริมทรัพย์ คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248 วรรคสอง
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ด้วยก็ตามแต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเอง ยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้สมาชิกของนิคมหรือทายาทผู้รับมรดกโอนไปยังบุคคลภายนอกตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511มาตรา 12 วรรคหนึ่ง การที่ผู้รับมรดกที่ดินพิพาทโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม แม้จะมอบการครอบครองในระยะเวลาห้ามโอนผลก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ห้ามโอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเข้าไปหาประโยชน์ ยึดถือหรือครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องไว้ด้วยก็ตามแต่เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเอง ยังไม่มีโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ จึงเป็นที่ดินที่ต้องห้ามมิให้สมาชิกของนิคมหรือทายาทผู้รับมรดกโอนไปยังบุคคลภายนอกตาม พ.ร.บ.จัดที่ดินเพื่อการครองชีพ พ.ศ.2511มาตรา 12 วรรคหนึ่ง การที่ผู้รับมรดกที่ดินพิพาทโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ถือเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามของกฎหมาย สัญญาซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ.มาตรา 113 เดิม แม้จะมอบการครอบครองในระยะเวลาห้ามโอนผลก็เท่ากับเป็นการฝ่าฝืนวัตถุประสงค์ของกฎหมายที่ห้ามโอน โจทก์จึงไม่มีสิทธิจะเข้าไปหาประโยชน์ ยึดถือหรือครอบครองที่ดินและบ้านพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5389/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนที่ดินนิคมสร้างตนเองก่อนครบกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจให้เช่าได้ค่าเช่าเดือนละ5,000บาทแม้มีคำขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายปีละ200,000บาทนับถัดจากวันฟ้องก็เป็นการเรียกร้องมาเป็นส่วนหนึ่งของการฟ้องขับไล่มิได้เรียกร้องมาอย่างเอกเทศในข้อหาอื่นจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคสอง เรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นเรื่องนี้ไว้ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินของนิคมสร้างตนเองจัดสรรให้ ฉ.ทำกินจะโอนไปยังบุคคลภายนอกได้ต้องเป็นที่ดินมีโฉนดที่ดินหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินแล้วและต้องให้เลยเวลาห้าปีนับแต่วันที่ได้รับเอกสารนั้นก่อนตามพระราชบัญญัติจัดที่ดินเพื่อการครองชีพพ.ศ.2511มาตรา12,15การที่ ล.ภริยาผู้รับมรดกของ ฉ.ซึ่งถึงแก่ความตายโอนขายและส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทซึ่งยังไม่มีเอกสารดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นการฝ่าฝืนต่อข้อห้ามตามกฎหมายตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา113เดิมโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะเข้าไปหาประโยชน์ยึดถือหรือครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5364/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดี, หนังสือมอบอำนาจ, ฟ้องซ้ำ/ฟ้องซ้อน, ป.วิ.พ.มาตรา 144, 173
คดีก่อนศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าโจทก์มอบอำนาจให้ ข.ฟ้องคดีแทน แต่หนังสือมอบอำนาจไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ย่อมฟังเป็นพยานหลักฐานไม่ได้ ข.จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีแทนโจทก์ โดยยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นแห่งคดีข้ออื่น ดังนั้น ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำกับคดีก่อนตาม ป.วิ.พ.มาตรา 144 เมื่อขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ถึงแม้คดีก่อนจะยังอยู่ภายในกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์ แต่คู่ความก็มิได้ยื่นอุทธรณ์ จึงถือไม่ได้ว่าคดีก่อนนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้อนอันต้องห้ามตามป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5194/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, ข้อห้ามตามกฎหมาย, การแบ่งกรรมสิทธิ์รวม, ศาลฎีกาแก้ไขคำพิพากษา
ปัญหาว่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่ แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การ แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้ การที่โจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นการต้องห้ามตาม ป.พ.พ.มาตรา 1562 อันเป็นผลให้โจทก์ที่ 2 ไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 3 แต่ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ถึงแก่กรรมโจทก์ที่ 2 ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 3ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 3 แล้ว จำเลยที่ 3 จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีอีกต่อไป และเมื่อจำเลยอื่นไม่ใช่บุพการีของโจทก์ที่ 2 ฟ้องโจทก์ที่ 2 สำหรับจำเลยอื่นหาตกเป็นโมฆะ หรือต้องห้ามตามกฎหมายไม่
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวม การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1364
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวม การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตาม ป.พ.พ.มาตรา 1364 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา 1364
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5194/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, กรรมสิทธิ์รวม, การแบ่งแยกที่ดิน, ข้อห้ามตามกฎหมาย, การแก้ไขคำพิพากษา
ปัญหาว่่่าคำฟ้องของโจทก์ต้องห้ามตามกฎหมายหรือไม่แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ในคำให้การแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาเห็นสมควรหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ได้การที่โจทก์ที่่2ฟ้องจำเลยที่3ซึ่งเป็นมารดาของตนเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1562อันเป็นผลให้โจทก์ที่2ไม่มีอำนาจฟ้องเฉพาะจำเลยที่3แต่ในระหว่างพิจารณาจำเลยที่3ถึงแก่กรรมโจทก์ที่2ได้ขอถอนฟ้องจำเลยที่3ศาลชั้นต้นอนุญาตและสั่งจำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่3แล้วจำเลยที่3จึงมิได้เป็นคู่ความในคดีอีกต่อไปและเมื่อจำเลยอื่นไม่ใช่บุพการีของโจทก์ที่2ฟ้องโจทก์ที่2สำหรับจำเลยอื่นหาตกเป็นโมฆะหรือต้องห้ามตามกฎหมายไม่่่ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค2พิพากษายืนให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์รวมการที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยที่1ที่2และที่4ใบจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินพิพาทต่อเจ้าพนักงานที่ดินหากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนามานั้นจึงเป็นการไม่ถูกต้องเพราะไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1364ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องโดยแบ่งกรรมสิทธิ์รวมตามมาตรา1364
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5072/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่: แม้ไม่มีสัญญาเช่าเป็นหนังสือ โจทก์มีสิทธิไล่จำเลยออกจากบ้านได้ หากจำเลยสิ้นสิทธิครอบครอง
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่า เมื่อประมาณเดือนมกราคม 2528 จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์มีกำหนด 3 ปี โดยมิได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกันไว้ก็ตาม แต่ตามเนื้อหาแห่งคำฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าหากแต่เป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1336 เท่านั้น ส่วนที่บรรยายถึงเรื่องที่จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ก็เป็นเรื่องที่โจทก์เพียงแต่ท้าวความให้เห็นว่าในเบื้องต้นจำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่า แต่หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด3 ปีแล้ว จำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านพิพาทอีกต่อไปการฟ้องคดีดังกล่าวมิได้ตกอยู่ในบังคับของมาตรา 538 ฉะนั้นแม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยโจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5072/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีขับไล่: แม้ไม่มีสัญญาเช่าเป็นหนังสือ โจทก์ฟ้องได้โดยอาศัยสิทธิเจ้าของทรัพย์
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องว่าเมื่อประมาณเดือนมกราคม2528จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์มีกำหนด3ปีโดยมิได้ทำสัญญาเช่าเป็นหนังสือกันไว้ก็ตามแต่ตามเนื้อหาแห่งคำฟ้องโจทก์มิได้ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าหากแต่เป็นการฟ้องเพื่อใช้สิทธิติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของโจทก์จากจำเลยผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1336เท่านั้นส่วนที่บรรยายถึงเรื่องที่จำเลยได้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์ก็เป็นเรื่องที่โจทก์เพียงแต่ท้าวความให้เห็นว่าในเบื้องต้นจำเลยเข้าไปอยู่ในบ้านพิพาทโดยอาศัยสิทธิแห่งสัญญาเช่าแต่หลังจากสัญญาเช่าสิ้นสุดลงเมื่อครบกำหนด3ปีแล้วจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะอยู่ในบ้านพิพาทอีกต่อไปการฟ้องคดีดังกล่าวมิได้ตกอยู่ในบังคับของมาตรา538ฉะนั้นแม้โจทก์จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อจำเลยโจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง