คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
ศาลฎีกา

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,432 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์สินผิดประเภท: ศาลฎีกาพิพากษายืนว่าตำรวจต้องคืนรถยนต์ที่ยึดผิดให้เจ้าของ
ภายหลังจากที่ศาลมีคำสั่งให้ริบรถยนต์ ซึ่งเป็นทรัพย์ ที่จำเลยใช้กระทำความผิดแล้ว เจ้าพนักงานตำรวจ ไปยึดรถยนต์คันอื่นที่มิใช่รถยนต์คันที่ศาลมีคำสั่งให้ริบมา ย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องคืน รถยนต์นั้นแก่เจ้าของไป ศาลมีอำนาจคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ก็แต่เฉพาะ ในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบ และผู้เป็น เจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้น เจ้าของจะยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้แก่ตนไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 897/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคืนรถยนต์ที่ถูกยึด: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเจ้าพนักงานตำรวจต้องคืนรถยนต์ที่ยึดผิดให้เจ้าของ
ศาลมีอำนาจสั่งคืนทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36ก็แต่เฉพาะในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นเป็นทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบและผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดเท่านั้น แต่กรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดรถยนต์ของผู้ร้องซึ่งเป็นรถยนต์คันอื่นที่มิใช่รถยนต์คันที่ศาลมีคำสั่งให้ริบมาย่อมเป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานตำรวจที่จะต้องคืนรถยนต์นั้นแก่เจ้าของ ผู้ร้องชอบที่จะเรียกร้องให้เจ้าพนักงานตำรวจคืนรถยนต์แก่ผู้ร้อง มิใช่มาร้องขอคืนของกลางต่อศาล

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 807/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องแย้งเกี่ยวกับการเลิกจ้างและค่าเสียหายเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับคำฟ้องเดิม ศาลฎีกาเห็นควรรับไว้พิจารณา
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยฟ้องแย้งว่าจำเลยไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ แต่โจทก์หยุดงานไปเองจนเป็นเหตุให้จำเลยได้รับความเสียหาย เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันโดยมีข้ออ้างที่เกี่ยวพันกันว่าเหตุที่โจทก์หยุดงานไปนั้น เป็นเพราะจำเลยเลิกจ้างโจทก์ตามคำฟ้องของโจทก์ หรือจำเลยหยุดงานไปเองตามฟ้องแย้งของจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ และที่โจทก์ฟ้องว่าจำเลยค้างจ่ายค่าเปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้า จำเลยฟ้องแย้งว่าโจทก์ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินเปอร์เซ็นต์จากจำเลย เพราะโจทก์ขายสินค้าให้จำเลยได้ต่ำกว่าที่กำหนดซึ่งโจทก์ต้องรับผิดชดใช้เงินสำหรับส่วนของสินค้าที่ขายต่ำกว่าที่กำหนดไว้นั้นก็เป็นกรณีที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันโดยมีข้ออ้างที่เกี่ยวพันกันว่า โจทก์ขายสินค้าให้จำเลยมากกว่าจำนวนที่กำหนดและมีสิทธิได้รับเงินเปอร์เซ็นต์จากการขายสินค้าจากจำเลยตามคำฟ้องหรือขายสินค้าได้น้อยกว่าที่กำหนดและจะต้องรับผิดชำระเงินให้จำเลยตามฟ้องแย้งฟ้องแย้งของจำเลยในส่วนนี้จึงเกี่ยวกับคำฟ้องเดิมเช่นกันฟ้องแย้งของจำเลยดังกล่าวจึงเป็นฟ้องแย้งที่ชอบจะให้รับไว้พิจารณาตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสาม ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 769/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องจำเลยที่ 3 เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่ากระทำความผิด
เมื่อพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 กระทำความผิดศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องโจทก์ถึงความผิดอื่นที่เป็นข้อเท็จจริงอันเดียวเกี่ยวพันกันและยุติแล้วได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคแรก ประกอบมาตรา215 และมาตรา 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 73/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาจากทะเลาะวิวาทหลังเมาสุรา ศาลฎีกายืนยันคำรับสารภาพชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ
โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นเหตุการณ์ แต่จำเลยแสดงกิริยาอาการพิรุธคือหลังเกิดเหตุ เมื่อจำเลยนำผู้ตายส่งโรงพยาบาลแต่ไม่ยอมอยู่แจ้งรายละเอียดต่อแพทย์ จำเลยบอกผู้อื่นว่าผู้ตายยิงตัวตายบ้าง ถูกคนร้ายลอบยิงบ้าง ตอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามตัวจำเลยเดินออกมาจากป่าหลังบ้านและแจ้งว่าไปถ่ายอุจจาระแต่ก็ไม่พบร่องรอย ชั้นสอบสวนจำเลยแจ้งว่านำอาวุธปืนไปทิ้งในถ้ำข้างบ้าน เจ้าหน้าที่ตำรวจไปค้นก็พบอาวุธปืน และพบร่องรอยการต่อสู้ที่ลานดินหน้าบ้าน เสื้อของจำเลยมีรอยฉีกขาดคล้ายถูกฟันด้วยใบเลื่อย มีรอยจุดแดง ๆ ที่หลังของจำเลยตรงกับรอยฉีกขาดของเสื้อปลอกกระสุนปืนและลูกกระสุนปืนของกลางใช้ยิงมาจากอาวุธปืนของกลางซึ่งเป็นของจำเลย จากลักษณะบาดแผลของผู้ตายกว้างประมาณ5-6 นิ้ว ไม่มีเขม่าดินปืนติดตัว ผู้ตายถูกยิงในระยะห่างไม่น้อยกว่า1 เมตร จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้ตายจะยิงตัวเอง พฤติการณ์และรูปคดีและพยานหลักฐานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีดังกล่าวประกอบกับคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลย จึงรับฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนยิงผู้ตาย คำให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้ตามมาตรา 78 แม้ศาลชั้นต้นไม่ลดโทษให้ ศาลฎีกามีอำนาจลดโทษให้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 708/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายเล็กน้อยโดยเจ้าพนักงานตำรวจ ศาลฎีกาวินิจฉัยความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 391
จำเลยเพียงแต่ใช้มือทำร้ายผู้เสียหายและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับเพียงแต่ช้ำบวมที่หัวคิ้วขวาเท่านั้นไม่มีโลหิตออก ทั้งการที่แพทย์ลงความเห็นว่าบาดแผลจะหายภายใน 10 วัน นั้น ก็เป็นแต่การคาดคะเน บาดแผลดังกล่าวอาจจะหายภายในเวลาไม่ถึง 10 วันก็ได้ พิเคราะห์ถึงการกระทำของจำเลยและบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับประกอบด้วย แสดงว่าจำเลย คงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 663/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจศาลฎีกาแก้ปัญหาข้อเท็จจริงนอกฎีกา และการประเมินความผิดฐานประมาท
เมื่อศาลฎีการับวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยจะว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดโดยบันดาลโทสะ แล้ว แม้ฎีกาของจำเลยในข้อต่อไปที่ว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายตามคำฟ้องหรือไม่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่งก็ตาม แต่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานในสำนวนฟังไม่ได้ว่าจำเลยพยายามฆ่าผู้เสียหายซึ่งมีผลให้การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจหยิบยกปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามฎีกาขึ้นวินิจฉัย และพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 ประกอบด้วย มาตรา 215 และ 225
แม้ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า เหตุที่อาวุธปืนลั่นเป็นเพราะจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้เสียหายก็ตาม แต่การที่จำเลยถืออาวุธปืนวิ่งไล่ตามยิงขู่ผู้เสียหายตามวิสัยและพฤติการณ์เช่นนั้น จำเลยต้องใช้ความระมัดระวังให้มาก เพราะวิถี-กระสุนปืนอาจจะไปถูกผู้เสียหายได้ แต่จำเลยหาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้อาวุธปืนลั่นไปถูกผู้เสียหายเมื่อถูกผู้เสียหายใช้มือปัดและผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บกระดูกนิ้วชี้หักต้องใช้เวลารักษาให้หายเป็นปกติประมาณ 3 เดือน การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 300 แม้ว่าทางพิจารณาจะได้ความแตกต่างกับคำฟ้อง แต่การแตกต่างระหว่างการกระทำโดยเจตนากับประมาทนั้น กฎหมายมิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญ ศาลฎีกาย่อมพิพากษาลงโทษจำเลยตามที่พิจารณาได้ความได้ตามป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายยาเสพติด: ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ โดยยืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และไม่อนุมัติมาตรการพิเศษด้านความปลอดภัย
แม้นายดาบตำรวจ ส. และจ่าสิบตำรวจ จ. พยานโจทก์จะเบิกความว่า จำเลยเคยถูกจับกุมในคดีเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษมาก่อนแต่ก็ไม่ปรากฏว่าในขณะกระทำผิดคดีนี้ จำเลยเป็นผู้ติดยาเสพติดให้โทษ จึงไม่อาจนำวิธีการเพื่อความปลอดภัยตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49 มาใช้บังคับแก่จำเลยได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 589/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แจ้งความเท็จเรื่องข่มขืน ศาลฎีกาพิพากษาว่าเป็นการกลั่นแกล้งและมีเหตุผลเชื่อว่าเป็นการร่วมประเวณีโดยสมัครใจ
จำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลยนั้น เป็นพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องพักของโรงแรมไม่มีผู้ใดรู้เห็น เมื่อโจทก์ร่วมกับจำเลยเบิกความโต้แย้งกันอยู่ จึงต้องฟังเหตุผลและพยานพฤติเหตุแวดล้อมประกอบกัน เมื่อพนักงานโรงแรมเบิกความว่า ในวันเกิดเหตุตนเองเป็นผู้บริการเปิดม่านรูดให้โจทก์ร่วมและจำเลยขับรถเข้าไปจอดในโรงแรม และเปิดม่านรูดเมื่อรถยนต์ของโจทก์ร่วมและจำเลยจะออกไป จำเลยมิได้ร้องขอความช่วยเหลือประกอบกับข้อเท็จจริงว่าโจทก์ร่วมมิได้ใช้กำลังบังคับหรือใช้อาวุธขู่เข็ญจำเลยเพราะจะร่วมประเวณี พฤติการณ์ดังกล่าวจึงมีเหตุผลน่าเชื่อว่าโจทก์ร่วมกับจำเลยร่วมประเวณีกันโดยสมัครใจ เมื่อจำเลยแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนในเวลาต่อมาว่าโจทก์ร่วมข่มขืนกระทำชำเราจำเลย จึงเป็นการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งที่เคลือบคลุม ศาลฎีกายกคำร้องเนื่องจากไม่แสดงสภาพแห่งข้อหาชัดเจน
(คำสั่งศาลฎีกาที่ 56/2536) คำร้องของ ผู้ร้องที่ว่าเขตเลือกตั้งที่ 1 จังหวัดสมุทรสาคร มีเขตพื้นที่อำเภอเมืองสมุทรสาคร อำเภอบ้านแพ้ว และอำเภอกระทุ่มแบนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในแต่ละอำเภอ มีกรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนซึ่งเป็นผู้ได้รับแต่งตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยเฉพาะเขตพื้นที่อำเภอกระทุ่มแบนมี ช.นายอำเภอกระทุ่มแบน เป็นเจ้าพนักงานผู้ดำเนินการเลือกตั้งกรรมการตรวจคะแนนและเจ้าหน้าที่คะแนนในเขตพื้นที่ อำเภอเมืองสมุทรสาคร จำนวน 43 หน่วยเลือกตั้ง ในเขตพื้นที่ อำเภอบ้านแพ้ว จำนวน 31 หน่วยเลือกตั้ง ได้นับคะแนนไม่ตรงกับความจริงในบัตรเลือกตั้ง อ่านบัตรเลือกตั้งของผู้ร้องหมายเลข 7 เป็นของผู้สมัครหมายเลข 1 บ้าง เป็นของผู้สมัครหมายเลข 5 บ้าง หรือเป็นของผู้สมัครอื่นบ้างอ่านบัตรดีของผู้ว่าเป็นบัตรเสียบ้าง อ่านบัตรเสียของผู้สมัครหมายเลข 5 เป็นบัตรดีบ้าง และอ่านบัตรที่ลงคะแนนให้ผู้ร้องเป็นบัตรที่ไม่ลงคะแนนบ้าง ทั้งกระทำหรือละเว้นกระทำด้วยประการใด ๆ ทำให้คะแนนของผู้ร้องเปลี่ยนแปลงลดลง และมีผลให้คะแนนของ อ. ผู้สมัคร รับเลือกตั้งหมายเลข 5 มีคะแนนเพิ่มขึ้น ทำให้คะแนนรวมทั้งหมดของ อ.มากกว่าคะแนนของผู้ร้อง 344 คะแนน และได้รับเลือกตั้งเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสมุทรสาคร การบรรยายคำร้องใน ลักษณะนี้มิใช่การแสดงถึงสภาพแห่งข้ออ้างและข้อหาของผู้ร้อง โดยแจ้งชัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสอง หากแต่เป็นคำร้องที่กล่าวถึงข้อเท็จจริงคลุม ๆ และรวมกันมา คำร้องของผู้ร้องจึงทำให้ผู้มีส่วน ได้เสียจากเหตุตามคำร้องเสียเปรียบ ไม่อาจเข้าใจและยื่นคำ คัดค้านได้ตรงกับรูปเรื่อง จึงเป็นคำร้องที่เคลือบคลุม แม้ศาลชั้นต้นจะส่งความเห็นไปยังศาลฎีกา โดยไม่ดำเนิน กระบวนพิจารณาไต่สวนคำร้อง หรือในกรณีที่เห็นว่าอาจทำให้ ความเห็นได้ไม่ต้องให้คู่ความสืบพยานและสั่งงดการไต่สวน แต่ไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาดังกล่าวก็ตาม ศาลฎีกาก็มี อำนาจมีคำสั่งในเรื่องนี้ได้
of 344