พบผลลัพธ์ทั้งหมด 4,515 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5066/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องอุทธรณ์ฎีกาของผู้ที่มิได้เป็นคู่ความหรือผู้มีส่วนได้เสีย
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้ง ก.เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้ร้องจึงเป็นคู่ความในคดีนี้ ส่วน ก.มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกกระทบสิทธิโดยคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ถือว่า ก.เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่อยู่ในฐานะจะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้น และคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ ปัญหาว่าก.มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา142 (5) ประกอบด้วยมาตรา 246, 247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5066/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องอุทธรณ์ฎีกาของผู้จัดการมรดก: ผู้จัดการมรดกไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาหากมิได้ถูกกระทบสิทธิโดยตรง
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งก. เป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายผู้ร้องจึงเป็นคู่ความในคดีนี้ส่วนก. มิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียที่ถูกกระทบสิทธิโดยคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ถือว่าก. เป็นบุคคลภายนอกคดีไม่อยู่ในฐานะจะยื่นอุทธรณ์หรือฎีกาคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นและคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้ปัญหาว่าก. มีอำนาจฟ้องอุทธรณ์หรือฎีกาหรือไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบด้วยมาตรา246,247
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4981/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความและประเด็นอำนาจฟ้อง การพิพากษาเกินคำขอ
จำเลยให้การว่า โจทก์จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทตามฟ้องหรือไม่อย่างไร จำเลยที่ 1 ไม่ทราบและไม่รับรอง เป็นคำให้การที่ไม่ได้แสดงโดยแจ้งชัดว่าปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ทั้งสิ้นหรือแต่บางส่วน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองถือไม่ได้ว่าเป็นคำให้การปฏิเสธว่าโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้อง จึงไม่มีประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์เพราะเหตุไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินตามฟ้องหรือไม่แม้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ชาวบ้านซึ่งรวมถึงผู้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่โจทก์ และโจทก์ได้ใช้ซอยพิพาทในที่ดินของจำเลยเป็นทางเข้าออกโดยเจตนาให้ซอยพิพาทเป็นทางภารจำยอม และระยะเวลาที่ใช้รวมกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้ว ที่ดินของจำเลยจึงตกเป็นภารจำยอมโดยอายุความ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1401 ประกอบด้วยมาตรา 1382 ทางภารจำยอมในส่วนที่อยู่ในที่ดินของจำเลยมีความกว้าง3 เมตร และจำเลยได้สร้างรั้วปิดกั้นทางภารจำยอมส่วนนี้การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าทางภารจำยอมตามแผนที่ท้ายฟ้องกว้าง 6 เมตร มีความยาวเท่ากับความยาวของที่ดินตามโฉนดของจำเลยที่ 1 นั้น เมื่อไม่ชัดแจ้งว่าที่ดินของจำเลยตกอยู่เป็นทางภารจำยอมกว้างเท่าใด เพราะตามแผนที่ท้ายฟ้องระบุว่าทางภารจำยอมอยู่ในที่ดินของจำเลยกว้าง 3 เมตรและอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 2 และที่ 3 กว้าง 3 เมตรอันเป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาเกินคำขอท้ายฟ้อง ศาลฎีกาจึงแก้ในส่วนนี้ให้ชัดเจน ศาลชั้นต้นยกฟ้องโจทก์ทั้งแปด โจทก์ที่ 5 มิได้อุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1 จดทะเบียนภารจำยอมให้แก่โจทก์ที่ 5 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ด้วยจึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4923/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งเกิดเป็นคนญวนอพยพด้วยความสมัครใจ ไม่ถือเป็นการโต้แย้งสิทธิ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ค.ตาของโจทก์แจ้งการเกิดของโจทก์ต่อสำนักงานกิจการญวนอพยพด้วยความสมัครใจมิได้ถูกบังคับให้ไปแจ้งการที่ผู้ว่าราชการจังหวัดประกาศให้คนญวนอพยพไปแจ้งต่อสำนักงานกิจการญวนอพยพนั้นก็น่าจะเป็นประกาศที่มีลักษณะเป็นการประกาศทั่วๆไปไม่ใช่คำสั่งเฉพาะเจาะจงบังคับให้ ค.หรือโจทก์ต้องกระทำตามประกาศดังกล่าวเหตุที่มีชื่อโจทก์ในทะเบียนบ้านญวนอพยพก็เนื่องจาก ค.ไปแจ้งต่อจำเลยที่3ว่าโจทก์เป็นคนญวนอพยพโดย ค.เข้าใจเอาเองว่าโจทก์เป็นคนญวนอพยพมิใช่เกิดจากการกระทำของจำเลยทั้งสามที่เพิ่มชื่อโจทก์ในทะเบียนบ้านญวนอพยพโดยพลการทั้งโจทก์หรือผู้ปกครองของโจทก์ก็ไม่เคยโต้แย้งต่อจำเลยทั้งสามว่าโจทก์ไม่ใช่คนญวนอพยพคดียังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามโต้แย้งสิทธิของโจทก์โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4893/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษีโรงเรือนและที่ดิน: การมอบอำนาจฟ้องต่อผู้มีอำนาจพิจารณาคำร้อง
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่า โจทก์ขอมอบอำนาจให้ ส. มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีกับกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับคดีภาษีโรงเรือนและที่ดิน ขอให้เพิกถอนการประเมิน และคำชี้ขาด และขอคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินส่วนที่โจทก์ ชำระไว้เกินแก่จำเลยที่ 1 แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุให้ฟ้อง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่ 2 ไว้ด้วยแต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการต่าง ๆ แทนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นนิติบุคคล และเมื่อโจทก์ไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของ จำเลยที่ 1 จะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ ต่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 เท่านั้นที่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำคำชี้ขาด หากโจทก์ไม่พอใจคำชี้ขาดของจำเลยที่ 2 โจทก์จึงจะมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลได้ตามที่บัญญัติไว้ใน พระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 มาตรา 29,30,31 เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ ส. ฟ้องเพื่อขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดและขอคืนเงินค่าภาษี ที่ชำระไว้เกิน การที่ ส. ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 2 ด้วย จึงถูกต้องตามหนังสือมอบอำนาจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4893/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ในคดีภาษีโรงเรือนและที่ดิน ผู้รับมอบอำนาจฟ้องได้ตามหนังสือมอบอำนาจ
หนังสือมอบอำนาจมีข้อความว่าโจทก์ขอมอบอำนาจให้ส.มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีกับกรุงเทพมหานครจำเลยที่1เกี่ยวกับคดีภาษีโรงเรือนและที่ดินขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดและขอคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินส่วนที่โจทก์ชำระไว้เกินแก่จำเลยที่1แม้โจทก์จะไม่ได้ระบุให้ฟ้องผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครจำเลยที่2ไว้ด้วยแต่จำเลยที่2เป็นผู้มีอำนาจกระทำการต่างๆแทนจำเลยที่1ซึ่งเป็นนิติบุคคลและเมื่อโจทก์ไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1จะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ต่อจำเลยที่2และจำเลยที่2เท่านั้นที่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำคำชี้ขาดหากโจทก์ไม่พอใจคำชี้ขาดของจำเลยที่2โจทก์จึงจะมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลได้ตามที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติภาษีโรงเรือนและที่ดินพ.ศ.2475มาตรา29,30,31เมื่อโจทก์มอบอำนาจให้ส. ฟ้องเพื่อขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดและขอคืนเงินค่าภาษีที่ชำระไว้เกินการที่ส.ผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่2ด้วยจึงถูกต้องตามหนังสือมอบอำนาจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4893/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีภาษีโรงเรือนและที่ดิน ผู้รับมอบอำนาจฟ้องจำเลยที่เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้
โจทก์ทำหนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องกรุงเทพมหานครจำเลยที่1เกี่ยวกับคดีภาษีโรงเรือนและที่ดินขอให้เพิกถอนการประเมินและคำชี้ขาดและขอคืนเงินค่าภาษีโรงเรือนและที่ดินส่วนที่โจทก์ชำระไว้เกินแก่กรุงเทพมหานครแม้โจทก์จะไม่ได้ระบุให้ฟ้องจำเลยที่2ด้วยแต่จำเลยที่2เป็นผู้มีอำนาจกระทำการต่างๆแทนจำเลยที่1ซึ่งเป็นนิติบุคคลเมื่อโจทก์ไม่พอใจการประเมินของพนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่1จะต้องยื่นคำร้องขอให้พิจารณาการประเมินใหม่ต่อจำเลยที่2และจำเลยที่2เท่านั้นที่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะทำคำชี้ขาดหากโจทก์ไม่พอใจคำชี้ขาดของจำเลยที่2โจทก์จึงจะมีสิทธินำคดีมาสู่ศาลได้การที่ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่2ด้วยจึงถูกต้องตามหนังสือมอบอำนาจแล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีละเมิดปิดกั้นลำน้ำสาธารณะ: โจทก์ต้องมีเสียหายเป็นพิเศษและมีสิทธิโดยตรง
จำเลยให้การว่า ลำบางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะ และนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั่นเอง ครั้นคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะ ฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้
โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลากและทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฏว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาท แม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่
โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลากและทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฏว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาท แม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4884/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องในคดีรื้อถอนสิ่งกีดขวางลำน้ำสาธารณะ: โจทก์ต้องเสียหายเป็นพิเศษหรือไม่
จำเลยให้การว่า ลำบางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะและนำสืบเพื่อแสดงให้เห็นว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 ซึ่งให้จำเลยที่ 2 เช่า จำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิทำคันดินปิดกั้นในที่ดินของจำเลยที่ 1 ได้ และมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลชั้นต้นพิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทอยู่ในที่ดินของจำเลยที่ 1 มิใช่ลำบางสาธารณะการกระทำของจำเลยทั้งสองจึงมิใช่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ เท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเอง ครั้งคดีขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์พิจารณาพยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยทั้งสองแล้ว เชื่อว่าลำบางพิพาทเป็นลำบางสาธารณะฉะนั้นจึงต้องวินิจฉัยปัญหาต่อไปอีกว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองที่ทำการปิดกั้นลำบางพิพาทหรือไม่ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์จึงยังไม่ยุติ และเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคู่ความได้นำสืบเกี่ยวกับเรื่องอำนาจฟ้องไว้แล้วและเพื่อความสะดวกรวดเร็วในการพิจารณาพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้เสร็จไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ได้ โจทก์มีอาชีพค้าขาย ไม่ได้ประกอบอาชีพอื่นเลย และลำบางพิพาทอยู่ห่างบ้านโจทก์ถึง 5 เส้นเศษ โจทก์เพียงแต่เคยใช้เรือผ่านลำบางพิพาทเฉพาะฤดูที่มีน้ำหลาก และทำการจับกุ้งบางครั้งบางคราวตั้งแต่ปี 2516 ต่อมาปรากฎว่าลำบางตื้นเขินเนื่องจากจำเลยมาปิดเส้นทาง โจทก์ก็ไม่ได้ใช้ลำบางพิพาทอีกเลย การที่จำเลยทั้งสองทำการปิดกั้นลำบางพิพาทแม้จะทำให้โจทก์ขาดประโยชน์ในการที่ประสงค์จะใช้ลำบางพิพาทในอนาคต ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายเป็นพิเศษ ฉะนั้นแม้จำเลยทั้งสองปิดกั้นลำบางพิพาทซึ่งเป็นลำบางสาธารณะก็เป็นเรื่องของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองของรัฐ ผู้มีอำนาจหน้าที่จัดการดำเนินคดีต่อจำเลยทั้งสอง โจทก์หามีอำนาจฟ้องให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นออกไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4877/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีอาญา, การนับโทษต่อกัน, และองค์ประกอบความผิดฐานออกเช็คไม่มีเงิน
ตามหนังสือมอบอำนาจให้ดำเนินคดีระบุว่า โจทก์โดยส.และ บ.กรรมการ มอบอำนาจให้ก.เป็นผู้มีอำนาจฟ้องและดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย เป็นการมอบอำนาจเฉพาะการเพื่อฟ้องคดีอาญาและหนังสือมอบอำนาจนี้มิได้ระบุเจาะจงว่าให้ฟ้องได้เพียงคดีใดคดีหนึ่งโดยเฉพาะ ก. ผู้รับมอบอำนาจโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาเป็นหลายสำนวนได้ ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่า จำเลยออกเช็คพิพาททั้งหกฉบับเพื่อชำระหนี้ค่ากระป๋องและฝา กระป๋อง ให้แก่โจทก์จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าพยานโจทก์เบิกความว่า จำเลยออกเช็คเพื่อค้ำประกันหนี้ให้ล.เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลล่างทั้งสองจึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ. 2499 มาตรา 4 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรกศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย จำเลยออกเช็คให้โจทก์รวม 6 ฉบับ เมื่อเช็คแต่ละฉบับถึงกำหนด ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงนำคดีมาฟ้องโดยยกฟ้องเป็นสามสำนวน สำนวนแรกโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 1 ฉบับ สำนวนที่ 2 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 3 ฉบับ สำนวนที่ 3 บรรยายฟ้องว่าจำเลยสั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับ คำขอท้ายฟ้องแต่ละสำนวนไม่ขอให้นับโทษจำเลยต่อ จึงนับโทษต่อกันไม่ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้นับโทษจำเลยแต่ละสำนวนต่อกันจึงไม่ชอบ เพราะเป็นการพิพากษาเกินคำขอ