พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 310/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในเงินถูกอายัดก่อนคำพิพากษา: เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเดิมมีสิทธิเหนือเงินอายัด แม้ศาลอายัดไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา
การที่ศาลมีคำสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจากบุคคลภายนอกไว้ก่อนพิพากษาก็เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของโจทก์ให้ได้รับผลตามคำพิพากษา ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งถ้าโจทก์ชนะคดีแล้วประสงค์จะให้ได้รับผลตามคำพิพากษา โจทก์ก็จะต้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้น ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 260 อีกชั้นหนึ่งได้ความว่า เมื่อศาลสั่งอายัดเงินซึ่งจำเลยมีสิทธิจะได้รับจาก อ. ตามที่โจทก์ขอ ได้ออกหมายอายัดชั่วคราวไปยัง อ. และแจ้งให้ส่งเงินตามหมายอายัดมายังศาลแล้วผู้ร้องชนะคดีเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยคนเดียวกันนี้ในคดีอีกเรื่องหนึ่ง และศาลได้ตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินจำเลยใช้หนี้ผู้ร้องเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินของจำเลยไปยัง อ. ด้วยแต่ อ. ได้ส่งเงินมาไว้ในคดีนี้ ต่อมาศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีนี้ และออกหมายบังคับคดีตามที่โจทก์ร้องขอและเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ขอให้ศาลส่งเงินไปให้ เพื่อทำการยึดไว้ชำระหนี้แก่ผู้ร้อง เมื่อผู้ร้องซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในอีกคดีหนึ่งได้ร้องขอและศาลได้ออกหมายบังคับคดีให้จัดการยึดอายัดทรัพย์ของจำเลยและเจ้าพนักงานบังคับคดีได้อายัดเงินที่จำเลยมีสิทธิจะได้รับต่อ อ. ตั้งแต่ก่อนที่ศาลจะพิพากษาและออกหมายบังคับคดีในคดีของโจทก์นี้แม้ อ. ได้ส่งเงินดังกล่าวมาไว้ในคดีนี้ ก็ต้องถือว่าเป็นการอายัดเงินของจำเลยในคดีที่ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแล้ว โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ในภายหลังจึงไม่มีสิทธิจะโต้แย้งผู้ร้องได้และกรณีที่มีการอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนคำพิพากษานั้น ผู้ร้องก็ไม่ต้องห้ามที่จะขออายัดทรัพย์สินของจำเลยในคดีนี้(อ้างนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 672/2514) ผู้ร้องจึงมีสิทธิในเงินของจำเลยในคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 301/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ในการสั่งให้พิจารณาใหม่เมื่อศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยประเด็นสำคัญ และการยกฟ้องที่ไม่ต้องกล่าวในอุทธรณ์
แม้จำเลยจะมิได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้งดสืบพยานจนจำเลยไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งแล้วก็ตามถ้าเป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นยังมิได้พิจารณาให้ได้ความจริงตามประเด็นที่ศาลชั้นต้นได้กำหนดไว้ ศาลอุทธรณ์ก็พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาเสียใหม่ได้ เพราะมิใช่พิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและจำเลยมิได้คัดค้านไว้
แม้อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243
ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน ตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่า จำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาท จำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้มิได้มีข้อความตอนใดว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้วฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริง อันเป็นที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ก็ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงต้องสืบพยานกันต่อไป
การที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้น หาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่
แม้อุทธรณ์ของจำเลยเพียงแต่ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์โดยจำเลยมิได้กล่าวไว้ในอุทธรณ์ว่าขอให้ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ก็ตาม ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243 ที่จะมีคำสั่งยกคำพิพากษาหรือคำสั่งศาลชั้นต้น แล้วให้ศาลชั้นต้นพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ หรือให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีนั้นใหม่และพิพากษาหรือมีคำสั่งใหม่ได้
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดเป็นประเด็นไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมิได้วินิจฉัยเรื่องนี้ ถือได้ว่าศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นพิพากษาเสียใหม่ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243
ตามคำให้การของจำเลยมีอยู่ว่า จำเลยไม่มีสิทธิรื้อถอนและโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอน ตามคำแถลงของโจทก์ก็มีเพียงว่า จำเลยไม่เกี่ยวกับสิ่งก่อสร้างอันเป็นทรัพย์พิพาท จำเลยไม่สามารถรื้อถอนได้มิได้มีข้อความตอนใดว่าจำเลยยินดีที่จะรื้อถอนสิ่งก่อสร้าง จึงเรียกไม่ได้ว่าจำเลยได้สละข้อต่อสู้ทั้งปวงหมดสิ้นแล้วนอกจากนี้ยังมีประเด็นข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้อีกข้อหนึ่งที่ว่า โจทก์ยังคงสงวนสิทธิในถนนพิพาทอยู่หรือไม่ ซึ่งข้อนี้จำเลยให้การไว้ในทำนองว่า โจทก์ได้แสดงเจตนาให้ทางพิพาทตกเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทางพิพาทก็ได้ตกอยู่ในภาวะเช่นนั้นแล้วฝ่ายโจทก์แถลงว่าไม่เป็นความจริง อันเป็นที่เห็นได้ว่าข้อเท็จจริงข้อนี้ก็ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ จึงต้องสืบพยานกันต่อไป
การที่ทางใดจะเป็นทางสาธารณะนั้น หาได้ขึ้นอยู่กับหลักฐานทางทะเบียนเสมอไปไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2685/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: การยกฟ้องในคดีอาญาทำให้คดีแพ่งต้องยกฟ้องตามไปด้วย
ศาลทหารกรุงเทพ (ศาลอาญา) ได้พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่มั่นคงยังเป็นที่สงสัย ต้องยกประโยชน์ให้เป็นผลดีแก่จำเลย ฉะนั้นในการพิจารณาคดีแพ่ง ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหารตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 ว่า โจทก์ไม่มีพยนมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดตามที่โจทก์ฟ้องที่โจทก์นำพยานอื่นมาสืบในคดีนี้ว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำผิดหรือกระทำละเมิดต่อโจทก์ ศาลจะรับฟังไม่ได้ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญาดังกล่าวแล้ส เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งโจทก์อ้างว่าเป็นนายข้างจึงไม่ต้องรับผิดไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2497/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอรอการลงโทษจำคุกที่ศาลอุทธรณ์แก้ไขคำพิพากษาเดิม
ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท รอการลงโทษจำคุก ศาลอุทธรณ์แก้เป็นไม่รอการลงโทษ จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก เป็นข้อเท็จจริง ฎีกาไม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขฉบับที่ 8 พ.ศ.2517 มาตรา 6
ใช้ให้ทำผิดและร่วมทำผิดด้วย เป็นความผิดกรรมเดียวฐานตัวการร่วมกระทำ
ใช้ให้ทำผิดและร่วมทำผิดด้วย เป็นความผิดกรรมเดียวฐานตัวการร่วมกระทำ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การคัดลอกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยตรงถือเป็นการกล่าวโดยชัดแจ้งตามมาตรา 249
ฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์โดยคัดลอกจากอุทธรณ์คำต่อคำ ก็เป็นการกล่าวโดยชัดแจ้งตาม มาตรา 249 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2365/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำขอพิจารณาคดีใหม่ต้องระบุเหตุขาดนัดและข้อคัดค้านคำพิพากษาชัดเจน
คำขอให้พิจารณาคดีใหม่จะต้องกล่าวซึ่งเหตุที่คู่ความได้ขาดนัด และข้อคัดค้านคำตัดสินชี้ขาดของศาลโดยละเอียดและชัดแจ้งทั้ง 2 ประการ
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้คดี เพราะจำเลยไม่เคยได้รับหรือทราบว่าถูกฟ้องมาก่อน จึงให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดี เพราะจำเลยไม่ทางชนะ เนื่องจกาจำเลยอยู่ในอาคารพิพาทด้วยการเช่าซื้อจากโจทก์และชำระเงินไปมากแล้วนั้น ดังนี้ คำร้องของจำเลยไม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งว่าเหตุใดจำเลยจึงไม่ได้รับหมายเรียก ฯลฯ จึงทำให้ไม่ทราบว่าถูกฟ้องอันเป็นเหตุให้ขาดนัด และคำร้องที่ว่าได้อยู่ในอาคารพิพาทด้วยการเช่าซื้อจากโจทก์และชำระเงินไปมากแล้วนั้น ไม่มีข้อความตอนใดคัดค้านคำพิพากษาของศาลว่า ได้วินิจฉัยคดีไปไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องตามด้วยเหตุผลประการใด หากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้ว จะเป็นเหตุให้ตนชนะคดีได้อย่างไรบ้าง คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำร้องขอให้พิจารณาใหม่ของจำเลยกล่าวว่า จำเลยไม่มีโอกาสต่อสู้คดี เพราะจำเลยไม่เคยได้รับหรือทราบว่าถูกฟ้องมาก่อน จึงให้โอกาสจำเลยได้ต่อสู้คดี เพราะจำเลยไม่ทางชนะ เนื่องจกาจำเลยอยู่ในอาคารพิพาทด้วยการเช่าซื้อจากโจทก์และชำระเงินไปมากแล้วนั้น ดังนี้ คำร้องของจำเลยไม่ได้กล่าวโดยละเอียดชัดแจ้งว่าเหตุใดจำเลยจึงไม่ได้รับหมายเรียก ฯลฯ จึงทำให้ไม่ทราบว่าถูกฟ้องอันเป็นเหตุให้ขาดนัด และคำร้องที่ว่าได้อยู่ในอาคารพิพาทด้วยการเช่าซื้อจากโจทก์และชำระเงินไปมากแล้วนั้น ไม่มีข้อความตอนใดคัดค้านคำพิพากษาของศาลว่า ได้วินิจฉัยคดีไปไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องตามด้วยเหตุผลประการใด หากมีการพิจารณาคดีใหม่แล้ว จะเป็นเหตุให้ตนชนะคดีได้อย่างไรบ้าง คำร้องของจำเลยจึงไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีตามคำพิพากษา แม้มีข้อตกลงนอกศาลก็ไม่เป็นเหตุให้งดบังคับคดีได้
เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ ข้อตกลงใด ๆ นอกศาลระหว่างโจทก์จำเลยหากจะพึงมี ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปว่ากล่าวถึงกับโจทก์อีกส่วนหนึ่ง หาเป็นเหตุที่ยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับคดีได้ไม่(อ้างฎีกาที่ 293/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2144/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับคดีและการปฏิบัติตามคำพิพากษา ข้อตกลงนอกศาลมิอาจขัดขวางการบังคับคดีได้
เมื่อจำเลยมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีได้ข้อตกลงใดๆ นอกศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยหากจะพึงมี ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะไปว่ากล่าวกับโจทก์อีกส่วนหนึ่ง หาเป็นเหตุที่จะยกขึ้นอ้างเพื่องดการบังคับคดีได้ไม่ (อ้างฎีกาที่ 293/2513)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2002/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาค้ำประกันตามคำพิพากษา: เมื่อจำเลยคนหนึ่งพ้นจากหนี้แล้ว ผู้ค้ำประกันไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยอีกคนร่วมรับผิด
โจทก์เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองในการขอทุเลาการบังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 และคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียวคงยังเป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งโจทก์มีความผูกพันที่จะต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนตามสัญญาค้ำประกัน แม้โจทก์ชำระหนี้แทนไปแล้ว โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1949/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีไม่ขาดอายุ แม้พ้น 10 ปีจากคำพิพากษา และสิทธิเจ้าหนี้บุริมสิทธิยังคงมีผล
บทบัญญัติในมาตรา 271 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง บังคับให้ฝ่ายชนะคดียื่นคำร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปี หาใช่ให้บังคับคดีให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปีไม่ ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีภายใน 10 ปีแล้ว โจทก์ก็มีสิทธิบังคับคดีได้ตลอดไป แม้จะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาและคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิ์จำนองของผู้ร้องซึ่งศาลมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้บุริมสิทธิได้ ก็ยังมีผลบังคับต่อไปเช่นเดียวกัน