คำพิพากษาที่อยู่ใน Tags
อุทธรณ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 3,483 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9402/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขอบเขตการอุทธรณ์จำกัดสิทธิฎีกาของผู้ค้ำประกัน - การเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาเฉพาะจำเลยหลัก
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน18,327,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 3 ผู้ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน 2,898,257.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ปรากฏว่าเฉพาะโจทก์เท่านั้นที่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพิ่มขึ้น จำเลยที่ 3หาได้อุทธรณ์ไม่ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าวก็หามีผลทำให้จำเลยที่ 3ต้องรับผิดเพิ่มขึ้นจากคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่ จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้จนถึงวันที่หักทอนบัญชีกันครั้งสุดท้าย คือวันที่ 1 เมษายน 2534 ไม่ถูกต้อง เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9402/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำกัดขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามคำพิพากษาเดิม แม้มีการเปลี่ยนแปลงจำนวนหนี้โดยการอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน18,327,369 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ และให้จำเลยที่ 3ผู้ค้ำประกันร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดชำระเงินจำนวน2,898,257.21 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ เฉพาะโจทก์เท่านั้นที่อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 1 รับผิดเพิ่มขึ้นจำเลยที่ 3 ไม่ได้อุทธรณ์ คดีสำหรับจำเลยที่ 3 จึงถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 21,904,294.10 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ก็ไม่มีผลทำให้จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดเพิ่มขึ้น จำเลยที่ 3 จึงไม่มีสิทธิฎีกาว่าศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลยที่ 1 ได้จนถึงวันที่หักทอนบัญชีกันครั้งสุดท้ายไม่ถูกต้อง เพราะเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้น ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9342/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อุทธรณ์คืนของหมั้นสินสอดต้องห้ามตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความแพ่ง
อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามที่ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้คืนของหมั้นและสินสอดแก่โจทก์ไม่ถูกต้อง เพราะว่าไม่มีการหมั้น อีกทั้งไม่มีเหตุที่ต้องคืนสินสอดให้แก่โจทก์ตามกฎหมาย จำเลยทั้งสามจึงไม่ได้ผิดสัญญาและไม่ต้องคืนของหมั้นและสินสอดเป็นเงินรวม 41,250 บาท แก่โจทก์เป็นการ โต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นรับฟังมาว่ามีการหมั้น และ จำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาหมั้นต้องคืนของหมั้นและสินสอด แก่โจทก์ จึงเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงและทุนทรัพย์ที่พิพาทกัน ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท อีกทั้งมิได้เป็นคดีที่ เกี่ยวด้วยสิทธิในครอบครัว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสามจึงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 92/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ค่าชดเชยหลังเลิกจ้าง: ประเด็นข้อที่ยังไม่ได้ยกขึ้นว่ากันในศาล และผลกระทบประกาศกระทรวงมหาดไทย
อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่า โจทก์มีคำสั่งที่ 426/2531ไล่จำเลยที่ 1 ออกจากงานเนื่องจากไม่ปฏิบัติตามคำสั่งโจทก์ที่ 2220/223 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2523 ด้วย คำสั่งดังกล่าวถือเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งโจทก์ในกรณีที่ร้ายแรง โจทก์จึงไม่ต้องรับผิดจ่ายค่าชดเชยแก่จำเลยที่ 1 และโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจ มีประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้รัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยพนักงานสัมพันธ์เป็นกิจกาที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ไม่ใช้บังคับดังนั้น ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงานข้อ 46 ซึ่งออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 103 จึงไม่มีผลใช้บังคับแก่โจทก์แล้วตั้งแต่วันที่12 กันยายน 2534 จำเลยที่ 1 ต้องฟ้องเรียกค่าชดเชยจากโจทก์ก่อนที่จะมีประกาศกระทรวงมหาดไทยกำหนดให้รัฐวิสาหกิจไม่อยู่ในบังคับตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 นั้นเมื่อโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ไว้เพียงว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชยเพราะโจทก์มีคำสั่งเลิกจ้างจำเลยที่ 1 เนื่องจากจำเลยที่ 1 ขาดงานติดต่อกันเกินกว่า 10 วัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร ดังนั้น ข้อที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์ดังกล่าวข้างต้น จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงาน ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคแรกประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 31 ปัญหาที่โจทก์อุทธรณ์ว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีอำนาจฟ้องแย้งเรียกค่าชดเชย เพราะโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจอันเป็นกิจการที่ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 103 ไม่ใช้บังคับนั้นเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9117/2538 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งไม่รับคำให้การและการพิจารณาคดีต่อเนื่อง ผลกระทบต่อคำพิพากษาถึงที่สุด
ศาลสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับคำให้การของจำเลย เป็นคำสั่งไม่รับคำคู่ความตาม ป.วิ.พ.มาตรา 18 จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้ทันที ตามป.วิ.พ.มาตรา 228 (3)
ในระหว่างที่จำเลยอุทธรณ์คำสั่งไม่รับคำให้การ ศาลชั้นต้นได้ดำเนินการพิจารณาคดีต่อไป และศาลอุทธรณ์มิได้สั่งให้ศาลชั้นต้นงดการพิจารณาคดีไว้ก่อน ตาม ป.วิ.พ. 228 วรรคสอง จนศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาคดีไปโดยจำเลยมิได้อุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้นแต่อย่างใด คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงเสร็จเด็ดขาดถึงที่สุดแล้ว การที่จะให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนและมีคำสั่งรับหรือไม่รับคำให้การใหม่ ไม่ว่าผลการไต่สวนจะเป็นประการใดย่อมไม่อาจจะทำให้ผลของคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วเปลี่ยนแปลงไปได้ อุทธรณ์ของจำเลยจึงไม่เป็นประโยชน์แก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8510/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การคัดค้านการกำหนดประเด็นข้อพิพาทนอกกรอบเวลาที่กฎหมายกำหนด ทำให้จำเลยไม่สามารถอุทธรณ์ได้
ศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทซึ่งเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาเมื่อวันที่25เมษายน2537การที่จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องเมื่อวันที่13ตุลาคม2537คัดค้านว่าศาลแรงงานกลางกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ถูกต้องเป็นการคัดค้านเมื่อล่วงพ้นกำหนดเจ็ดวันนับแต่วันที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา183วรรคสี่ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31ถือได้ว่าจำเลยทั้งสองไม่ได้คัดค้านหรือโต้แย้งคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลแรงงานกลางจำเลยทั้งสองจึงอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งในการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลแรงงานกลางดังกล่าวไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8450/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้อน: คดีเดิมยังไม่ถึงที่สุด แม้ฟ้องใหม่ก่อนอุทธรณ์คดีเก่า ก็เป็นฟ้องซ้อน
โจทก์เคยฟ้องจำเลยให้ชำระค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีและค่าทนายความเรื่องเดียวกันกับคดีนี้มาก่อน แต่โจทก์ขาดนัดพิจารณาและศาลสั่งให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลดังกล่าว คู่ความยังอาจอุทธรณ์คำสั่งได้ และจำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นแล้ว จึงต้องถือว่าคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 201 ประกอบด้วยมาตรา 147 วรรคสอง แม้โจทก์จะยื่นฟ้องคดีนี้ก่อนจำเลยยื่นอุทธรณ์ ก็ต้องห้ามมิให้โจทก์ยื่นคำฟ้องเรื่องเดียวกันต่อศาลเดียวกัน หรือต่อศาลอื่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173(1) ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้อน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8444/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีทรัพย์มรดก: การคิดมูลค่าคดีตามส่วนแบ่ง และข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลอุทธรณ์
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่าที่ดินพิพาทราคา 200,000 บาท เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายตกได้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละส่วน ขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามส่วนและขอให้แบ่งค่าเช่าที่ดินพิพาทจำนวน 1,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้าด้วย จำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่เป็นทรัพย์ที่ผู้ตายยกให้แก่จำเลยตั้งแต่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ต้องคิดตามส่วนแบ่งของโจทก์แต่ละคนจะได้รับแยกต่างหากจากกัน ไม่ใช่ถือราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องรวมกันมา เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.พ.มาตรา 224 วรรคหนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดก โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวแม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8444/2538

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทุนทรัพย์พิพาทในชั้นอุทธรณ์ต้องคิดตามส่วนแบ่งของโจทก์แต่ละคน หากไม่เกิน 50,000 บาท จะต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ข้อเท็จจริง
โจทก์ทั้งห้าฟ้องว่าที่ดินพิพาทราคา 200,000 บาท เป็นทรัพย์มรดกของผู้ตายตกได้แก่โจทก์ทั้งห้าและจำเลยคนละส่วนขอให้แบ่งที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ทั้งห้าตามส่วนและขอให้แบ่งค่าเช่าที่ดินพิพาทจำนวน 1,500 บาท ให้แก่โจทก์ทั้งห้าด้วยจำเลยให้การว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดกแต่เป็นทรัพย์ที่ผู้ตายยกให้แก่จำเลยตั้งแต่ผู้ตายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ต้องคิดตามส่วนแบ่งของโจทก์แต่ละคนจะได้รับแยกต่างหากจากกัน ไม่ใช่ถือราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่ฟ้องรวมกันมา เมื่อราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่โจทก์แต่ละคนอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคหนึ่ง คดีนี้ศาลชั้นต้นฟังว่าผู้ตายยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลย ที่ดินพิพาทจึงไม่ใช่ทรัพย์มรดก โจทก์ทั้งห้าอุทธรณ์ว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกจึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาล เป็นข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว แม้ศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบ จำเลยฎีกาในปัญหาดังกล่าวถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8393/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์ข้อเท็จจริงในคดีที่มีทุนทรัพย์น้อยกว่า 50,000 บาท ย่อมเป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้าม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยในประเด็นความประมาทของจำเลยที่ 1 และประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 กระทำไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่ว่า โจทก์มีแต่ผู้รับมอบอำนาจมาเบิกความรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเป็นเรื่องความผิดเกี่ยวกับกฎหมายจราจร ไม่ได้แสดงว่าการกระทำเป็นละเมิด ส่วนเอกสารหมาย จ.4 ก็ไม่ใช่หลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ 2เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาฟังไม่ได้สมตามฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ว่า รายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีเป็นเอกสารราชการที่ทางราชการสถานีตำรวจรับรองสำเนาถูกต้องมีรายละเอียดเหตุการณ์ที่จำเลยที่ 1 ขับรถยนต์โดยประมาทชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้ และจำเลยที่ 1 ยอมรับผิด เป็นเอกสารที่แสดงว่าจำเลยที่ 1ประมาท และเอกสารหมาย จ.4 ก็ระบุว่าจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์และเป็นผู้ประกอบการ ย่อมแสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ดังนี้คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าว เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยพยานหลักฐานในสำนวนนั้นเองว่าจะรับฟังได้หรือไม่เพียงใด มิใช่ไม่รับฟังเอกสารของโจทก์ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1กระทำโดยประมาทหรือไม่ และจำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 หรือไม่อันเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง เมื่อคดีนี้มีทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน50,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริง ป.วิ.พ. มาตรา 224วรรคหนึ่ง
of 349