พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,842 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทสัญญาซื้อขายเครื่องจักร: การลดราคาชดใช้ความเสียหายจากสินค้าไม่ตรงตามสัญญา และการคิดค่าปรับ
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาซื้อหม้อเคี่ยวน้ำตาลจากโจทก์ ในสัญญาระบุว่าการติดตั้งหม้อเคี่ยวน้ำตาลนั้น โจทก์จะต้องทำคอนเดนเซอร์ด้วย และถ้าหากไม่ทำฐานบ่อน้ำคอนเดนเซอร์แล้ว หม้อเคี่ยวน้ำตาลและคอนเดนเซอร์ก็ไม่สามารถจะใช้การได้ จึงเห็นได้ว่าฐานบ่อน้ำคอนเดนเซอร์เป็นอุปกรณ์ในการติดตั้งหม้อเคี่ยวน้ำตาล ต้องถือว่าการทำฐานบ่อน้ำคอนเดนเซอร์เป็นส่วนหนึ่งของการติดตั้งหม้อเคี่ยวน้ำตาล โจทก์จะเรียกร้องค่าใช้จ่ายในการทำฐานบ่อน้ำคอนเดนเซอร์จากจำเลยที่1 ไม่ได้
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ว่า ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบหม้อเคี่ยวน้ำตาลให้ผู้ซื้อถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละห้าของราคาที่ยังมิได้ส่งมอบฯ และข้อ 8ว่า นอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ 6 และข้อ 7 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาด้วยเหตุใด ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ให้แก่ผู้ซื้อโดยสิ้นเชิงด้วย เช่นนี้เมื่อตามสัญญาโจทก์จะต้องใช้จุ๊ปชนิดไม่มีตะเข็บ แต่โจทก์นำจุ๊ปชนิดมีตะเข็บซึ่งมีราคาและคุณภาพต่ำกว่าจุ๊ปชนิดไม่มีตะเข็บมาใช้ย่อมเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิงตามสัญญาข้อ 8 ที่จำเลยลดราคาหม้อเคี่ยวน้ำตาลลง 310,409 บาท เป็นเพียงการให้จำเลยคืนราคาจุ๊ปชนิดไม่มีตะเข็บที่จะต้องใช้ตามสัญญา ส่วนที่เกินจากราคาจุ๊ปชนิดมีตะเข็บที่โจทก์นำมาใช้เท่านั้น ส่วนการคิดค่าปรับฐานผิดสัญญาร้อยละ 5 ของเงิน 310,409 บาทต่อเดือนจากวันสิ้นสุดสัญญา การส่งมอบถึงวันที่ทดลองทำการเทสท์เพรสเซอร์ได้ตามกำหนด เป็นการกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายจากการใช้จุ๊ปที่มีคุณภาพต่ำกว่าจุ๊ปที่ระบุไว้ในสัญญา และจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะทำได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 8 โดยไม่จำต้องให้โจทก์ยินยอม ทั้งไม่เป็นการปรับซ้อนค่าปรับฐานส่งมอบหม้อเคี่ยวน้ำตาลล่าช้า
สัญญาซื้อขายข้อ 7 ว่า ถ้าผู้ขายไม่ส่งมอบหม้อเคี่ยวน้ำตาลให้ผู้ซื้อถูกต้องครบถ้วนภายในกำหนดเวลาตามสัญญา ผู้ขายยอมให้ผู้ซื้อปรับเป็นเงินร้อยละห้าของราคาที่ยังมิได้ส่งมอบฯ และข้อ 8ว่า นอกจากที่กล่าวแล้วในข้อ 6 และข้อ 7 ถ้าผู้ขายไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตามสัญญาด้วยเหตุใด ๆ จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ซื้อแล้ว ผู้ขายรับผิดชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ให้แก่ผู้ซื้อโดยสิ้นเชิงด้วย เช่นนี้เมื่อตามสัญญาโจทก์จะต้องใช้จุ๊ปชนิดไม่มีตะเข็บ แต่โจทก์นำจุ๊ปชนิดมีตะเข็บซึ่งมีราคาและคุณภาพต่ำกว่าจุ๊ปชนิดไม่มีตะเข็บมาใช้ย่อมเกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งโจทก์ต้องชดใช้ค่าเสียหายต่าง ๆ ให้แก่จำเลยที่ 1 โดยสิ้นเชิงตามสัญญาข้อ 8 ที่จำเลยลดราคาหม้อเคี่ยวน้ำตาลลง 310,409 บาท เป็นเพียงการให้จำเลยคืนราคาจุ๊ปชนิดไม่มีตะเข็บที่จะต้องใช้ตามสัญญา ส่วนที่เกินจากราคาจุ๊ปชนิดมีตะเข็บที่โจทก์นำมาใช้เท่านั้น ส่วนการคิดค่าปรับฐานผิดสัญญาร้อยละ 5 ของเงิน 310,409 บาทต่อเดือนจากวันสิ้นสุดสัญญา การส่งมอบถึงวันที่ทดลองทำการเทสท์เพรสเซอร์ได้ตามกำหนด เป็นการกำหนดให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายจากการใช้จุ๊ปที่มีคุณภาพต่ำกว่าจุ๊ปที่ระบุไว้ในสัญญา และจำเลยที่ 1 มีสิทธิที่จะทำได้ตามที่ระบุไว้ในสัญญาข้อ 8 โดยไม่จำต้องให้โจทก์ยินยอม ทั้งไม่เป็นการปรับซ้อนค่าปรับฐานส่งมอบหม้อเคี่ยวน้ำตาลล่าช้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ตัวแทนและความรับผิดต่อความเสียหายจากการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดเรียกหลักประกัน
จำเลยได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้จัดการธนาคารสาขาวรจักรของโจทก์ในการจ่ายเงินล่วงหน้า หรือให้ลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีนั้น จะต้องมีดอกเบี้ยและเรียกหลักประกัน เช่น การรับจำนำหรือรับจำนอง แต่จำเลยให้ ซ. และ ฟ. เบิกเงินเกินบัญชีไปโดยไม่ได้เรียกหลักประกันไว้ ครั้น ซ.ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ โจทก์จึงหมดสิทธิเรียกร้องเอาจาก ซ. ส่วน ฟ. ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โจทก์ไม่สามารถติดตามให้ชำระหนี้ได้ ถ้าจำเลยเรียกหลักประกันไว้จากบุคคลทั้งสองนี้โจทก์จะไม่เสียหาย การที่โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้จากบุคคลทั้งสองนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่เรียกหลักประกันอันเป็นการกระทำนอกเหนือขอบอำนาจ และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 254/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หน้าที่ตัวแทน การปฏิบัติงานนอกเหนืออำนาจ และความรับผิดต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น
จำเลยได้รับมอบอำนาจให้เป็นผู้จัดการธนาคารสาขาวรจักรของโจทก์ ในการจ่ายเงินล่วงหน้าหรือให้ลูกค้าเบิกเงินเกินบัญชีนั้น จะต้องมีดอกเบี้ยและเรียกหลักประกัน เช่นการรับจำนำหรือรับจำนอง แต่จำเลยให้ ซ.และฬ. เบิกเงินเกินบัญชีไปโดยไม่ได้เรียกหลักประกันไว้ ครั้น ซ. ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จำเลยไม่ได้ยื่นขอรับชำระหนี้ โจทก์จึงหมดสิทธิเรียกร้องเอาจาก ซ. ส่วนฬ. ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง โจทก์ไม่สามารถติดตามให้ชำระหนี้ได้ ถ้าจำเลยเรียกหลักประกันไว้จากบุคคลทั้งสองนี้โจทก์จะไม่เสียหาย การที่โจทก์ไม่ได้รับชำระหนี้จากบุคคลทั้งสองนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะจำเลยไม่เรียกหลักประกันอันเป็นการกระทำนอกเหนือขอบอำนาจ และเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2502/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในรถเช่าซื้อระหว่างสมรส: เจ้าของรวมมีอำนาจฟ้องคดีความเสียหาย
สิทธิตามสัญญาเช่าซื้อเป็นทรัพย์สิน เมื่อได้มาระหว่างสมรส สามีภริยาเป็นเจ้าของรวม ภริยาฟ้องคดีเกี่ยวกับสินบริคณห์ได้โดยรับอนุญาตจากสามี ตาม มาตรา 1469 เดิมที่ใช้ในขณะภริยาฟ้องคดีละเมิดและประกันภัยรถที่สามีเช่าซื้อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2408/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทต้องระบุข้อความใส่ความชัดเจน หากไม่ชัดเจนและไม่บรรยายให้เห็นถึงความเสียหาย ฟ้องไม่ชอบ
เมื่อข้อความและเอกสารท้ายฟ้องที่หาว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ ไม่มีความหมายชัดแจ้งอันจะพึงเห็นได้อยู่ในตัวว่าเป็นการใส่ความ ทั้งโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าข้อความตอนใดเป็นการใส่ความโจทก์โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังอย่างไร เพียงแต่บรรยายคำว่า "อัปมงคลฟิล์ม" และ "บริษัทขี้เรื้อน" จำเลยมีเจตนาจะให้ผู้อ่านเข้าใจว่าหมายถึงโจทก์เท่านั้น จึงเป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2405/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความร้องทุกข์ฐานบุกรุกกับความเสียหายต่อทรัพย์สิน: ข้อความในคำแจ้งความต้องชัดเจนถึงความเสียหาย
แจ้งต่อตำรวจบันทึกไว้ว่า จำเลยบุกรุกเข้ามาปักเสาหินล้อมเขตที่ดินของผู้เสียหาย เป็นการร้องทุกข์ในข้อหาบุกรุก ไม่ใช่ตัดลวดหนามทำให้เสียทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2377/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หมิ่นประมาทจากการกล่าวหา 'ไถเงิน' กรณีขึ้นทะเบียนทหาร ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษา
สัสดีอำเภอแนะนำให้บุตรจำเลย ยื่นคำร้องขอใช้นามสกุลของมารดา ก่อนรับขึ้นทะเบียนทหาร โดยเสียค่าธรรมเนียม 52 บาท จำเลยไม่ยอม และให้ข่าวหนังสือพิมพ์ลงโฆษณาว่าสัสดีไถเงิน เป็นหมิ่นประมาท โดยไม่ใช่แสดงความคิดเห็นป้องกันตนโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2371/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยคำว่า 'กระหรี่ที่ดิน' แม้ไม่ระบุรายละเอียดก็ถือเป็นคำหมิ่นประมาทได้ ศาลมีอำนาจวินิจฉัยความเสียหายเอง
ผู้เสียหายในคดีหมิ่นประมาทได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนผู้รับคำร้องทุกข์ได้ทำการสอบสวนปากคำผู้เสียหายและพยานอีกปากหนึ่ง โดยยังไม่ได้ทำบันทึกการมอบคดีและลงบันทึกประจำวัน พนักงานสอบสวนผู้นั้นก็ได้ย้ายไปรับราชการที่อื่นต่อมาพนักงานสอบสวนคนใหม่มาทำการสอบสวนต่อจึงได้ทำบันทึกการมอบคดีและบันทึกประจำวันขึ้นดังนี้ หาทำให้การสอบสวนที่ได้กระทำไปแล้วนั้นเสียไปไม่ เพราะเมื่อผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนผู้รับคำร้องทุกข์ย่อมมีอำนาจทำการสอบสวนได้แล้วโดยไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 121 วรรคสอง โจทก์ซึ่งมีอำนาจฟ้อง
จำเลยพูดถึงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอว่ากระหรี่ที่ดิน คำว่า "กระหรี่" หมายความว่าหญิงนครโสเภณีหรือหญิงค้าประเวณี แม้จำเลยจะไม่ได้กล่าวรายละเอียดว่าค้าประเวณีกับใครประพฤติสำส่อนในทางเพศกับใครบ้างก็เพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำหมิ่นประมาทแล้ว
ผลของการใส่ความผู้อื่นน่าจะทำให้เขาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่นั้นศาลมีอำนาจวินิจฉัยเองได้ไม่จำต้องอาศัยคำเบิกความของพยาน
จำเลยพูดถึงผู้เสียหายซึ่งเป็นหญิงทำงานอยู่ที่สำนักงานที่ดินอำเภอว่ากระหรี่ที่ดิน คำว่า "กระหรี่" หมายความว่าหญิงนครโสเภณีหรือหญิงค้าประเวณี แม้จำเลยจะไม่ได้กล่าวรายละเอียดว่าค้าประเวณีกับใครประพฤติสำส่อนในทางเพศกับใครบ้างก็เพียงพอที่จะถือว่าเป็นคำหมิ่นประมาทแล้ว
ผลของการใส่ความผู้อื่นน่าจะทำให้เขาเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชังหรือไม่นั้นศาลมีอำนาจวินิจฉัยเองได้ไม่จำต้องอาศัยคำเบิกความของพยาน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 236/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขระเบียบการจ่ายบำนาญที่กระทบสิทธิลูกจ้างเดิม นายจ้างต้องไม่ทำให้เกิดความเสียหาย
ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 บัญญัติห้ามนายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า ดังนั้น จำเลยจะแก้ไขระเบียบว่าด้วยการจ่ายเงินบำนาญให้แก่ลูกจ้างให้กระทบกระเทือนเป็นที่เสียหายแก่สิทธิของลูกจ้างที่มีอยู่แล้วไม่ได้
บำนาญหมายถึงเงินเลี้ยงชีพที่จ่ายให้โดยมีกำหนดเวลาสำหรับความดีความชอบในการทำงานที่ได้ทำมา เมื่อโจทก์ทำงานกับบริษัทจำเลยมานานเกิน 10 ปี จึงมีสิทธิได้รับบำนาญตามระเบียบของจำเลยฉบับเดิม ถึงแม้โจทก์จะลาออกเอง ก็มีสิทธิได้รับบำนาญโดยไม่จำเป็นต้องทำงานให้ครบเกษียณ
บำนาญหมายถึงเงินเลี้ยงชีพที่จ่ายให้โดยมีกำหนดเวลาสำหรับความดีความชอบในการทำงานที่ได้ทำมา เมื่อโจทก์ทำงานกับบริษัทจำเลยมานานเกิน 10 ปี จึงมีสิทธิได้รับบำนาญตามระเบียบของจำเลยฉบับเดิม ถึงแม้โจทก์จะลาออกเอง ก็มีสิทธิได้รับบำนาญโดยไม่จำเป็นต้องทำงานให้ครบเกษียณ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2196/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการผ่านทางจำเป็นและค่าทดแทนความเสียหาย การฟ้องร้องเรียกค่าทดแทนไม่ถือเป็นฟ้องซ้ำหากประเด็นต่างกัน
คดีก่อนซึ่งจำเลยฟ้องโจทก์นั้นศาลพิพากษาถึงที่สุดว่าที่ดินของจำเลยตกอยู่ในที่ล้อม จำเลยมีสิทธิผ่านที่ดินของโจทก์ซึ่งล้อมอยู่ไปสู่คลองและทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฟ้องแย้งในคดีนั้นเรียกค่าทดแทนความเสียหายจากการที่จำเลยจะใช้ที่ดินของโจทก์ ศาลจึงไม่พิพากษา ให้จำเลยใช้ค่าทดแทนความเสียหายให้แก่โจทก์และว่าหากโจทก์ประสงค์จะได้ค่าทดแทนความเสียหายก็ชอบที่จะว่ากล่าวแก่จำเลยเป็นอีกคดีหนึ่งต่างหาก โจทก์จึงมาฟ้องคดีนี้ ขอให้จำเลยใช้ค่าทดแทนที่โจทก์เปิดทางเดินให้ดังนี้ ในคดีก่อนมีประเด็นเพียงว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นหรือไม่ส่วนคดีหลังมีประเด็นว่าจำเลยจะต้องให้ค่าทดแทนเพื่อการใช้ ทางผ่านนั้นแก่โจทก์หรือไม่ ประเด็นคนละอย่างกัน ฟ้องของโจทก์จึงไม่ เป็นฟ้องซ้ำ