พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,887 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2961/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินของผู้มีคำพิพากษาถึงที่สุดก่อนการยึดทรัพย์ของเจ้าหนี้
โจทก์นำยึดที่ดินมีโฉนดของจำเลยเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินใช้หนี้เงินกู้ตามคำพิพากษา ปรากฏว่าที่ดินแปลงนี้จำเลยได้ขายให้ผู้ร้องขัดทรัพย์แล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2511 แต่การโอนขัดข้อง ผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ฟ้องจำเลย ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง หากจำเลยไม่จัดการโอน ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย คดีถึงที่สุดแล้ว แม้ศาลได้พิพากษาให้จำเลยใช้เงินให้แก่โจทก์ และโจทก์ยึดทรัพย์จำเลยก่อนที่ศาลจะพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดีจำเลยดังกล่าว และกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดนี้ยังไม่ได้เปลี่ยนมือและยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องก็ตาม แต่เมื่อผู้ร้องได้สิทธิที่จะจดทะเบียนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงนี้โดยผลแห่งคำพิพากษาคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินให้ซึ่งถึงที่สุดแล้วเช่นนี้ ผู้ร้องจึงมีสิทธิที่จะจดทะเบียนการได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์ในที่ดินนี้ก่อนโจทก์ ซึ่งเพียงแต่ยึดที่ดินแปลงนี้ไว้เพื่อบังคับคดีเท่านั้น ผู้ร้องย่อมจะขอให้เพิกถอนการยึดของโจทก์ได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1300 เช่นกัน กรณีต่างกับมาตรา 1299 ซึ่งเป็นเรื่องของการได้มาซึ่งทรัพย์สิทธิซึ่งยังไม่บริบูรณ์จนกว่าจะได้จดทะเบียนทรัพย์สิทธินั้น ๆ แล้ว
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและพยานโจทก์และพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ แม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะอุทธรณ์ขอให้มีการสืบพยานใหม่เท่านั้นก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานพร้อมที่จะตรวจดูได้เพียงพอที่จะชี้ขาดได้แล้วศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะชี้ขาดพิพากษาคดีไปได้เลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 วรรคแรก
ในกรณีที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานผู้ร้องและพยานโจทก์และพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องขัดทรัพย์ แม้ผู้ร้องขัดทรัพย์จะอุทธรณ์ขอให้มีการสืบพยานใหม่เท่านั้นก็ตาม แต่เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีมีพยานหลักฐานพร้อมที่จะตรวจดูได้เพียงพอที่จะชี้ขาดได้แล้วศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะชี้ขาดพิพากษาคดีไปได้เลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 วรรคแรก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2694/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันตามคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง และข้อตกลงรอฟังคำพิพากษาคดีอาญา
โจทก์เป็นผู้เสียหายในคดีที่ผู้ว่าคดีศาลแขวงเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีอาญา โจทก์จำเลยจึงต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เพราะถือว่าผู้ว่าคดีฟ้องคดีที่โจทก์เป็นผู้เสียหายนั้นเอง(อ้างฎีกาที่ 1134-1135/2509)
โจทก์จำเลยตกลงกันในคดีนี้ว่าขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีอาญาเสียก่อนถ้า ผลที่สุดของคดีอาญาเป็นอย่างไร โจทก์จำเลยจะถือตาม ดังนี้ เมื่อศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาทโจทก์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ขอให้สืบพยานในข้อนี้ขึ้นอีกหาได้ไม่
โจทก์จำเลยตกลงกันในคดีนี้ว่าขอให้ศาลรอฟังคำพิพากษาถึงที่สุดของคดีอาญาเสียก่อนถ้า ผลที่สุดของคดีอาญาเป็นอย่างไร โจทก์จำเลยจะถือตาม ดังนี้ เมื่อศาลในคดีอาญาฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมิได้ประมาทโจทก์จะรื้อฟื้นข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาท ขอให้สืบพยานในข้อนี้ขึ้นอีกหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2658/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอพยานเพิ่มเติมหลังสืบพยานฝ่ายตรงข้าม และการพิพากษาแบ่งทรัพย์สินแทนการคืนทั้งหมด
การขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากที่คู่ความฝ่ายที่มีหน้าที่นำสืบก่อนสืบไปหมดแล้ว คู่ความฝ่ายนั้นต้องแสดงเหตุผลอันสมควรที่ตนไม่สามารถทราบได้ว่าต้องนำพยานหลักฐานบางอย่างมาสืบเพื่อ ประโยชน์ของตน หรือไม่ทราบว่าพยานหลักฐานบางอย่างได้มีอยู่หรือมีเหตุอันสมควรอื่นใด เมื่อคำร้องของจำเลยที่ 2 ที่ขอระบุพยานเพิ่มเติมหลังจากสืบพยานโจทก์เสร็จสิ้นไปแล้วมิได้แสดงเหตุผลดังกล่าวเพียงแต่อ้างว่าพลั้งเผลอเท่านั้น ศาลสั่งไม่อนุญาตจึงเป็นการชอบแล้ว
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินเป็นของตนทั้งหมดจากจำเลย แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาท ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์สินเป็นของตนทั้งหมดจากจำเลย แต่พิจารณาได้ความว่าโจทก์ควรได้แต่ส่วนแบ่ง ศาลพิพากษาให้แบ่งทรัพย์พิพาท ไม่เป็นการพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และการฟ้องเพิกถอนสัญญาจากข้อสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้ คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดย โจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2611/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลผูกพันคำพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความ การเพิกถอนสัญญาเนื่องจากสำคัญผิด
ในคดีก่อน จำเลยฟ้องโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระหนี้เงินกู้คู่ความทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน โดยโจทก์ทั้งสองยอมชำระหนี้ให้แก่จำเลยตามฟ้องและศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ต่อมาโจทก์ทั้งสองมาฟ้องจำเลยขอให้เพิกถอนสัญญาประนีประนอมยอมความที่ทำไว้ในคดีก่อน และพิพากษาว่า คำพิพากษาในคดีนั้นไม่ผูกพันโจทก์ทั้งสองโดยอ้างว่าทำไปเพราะสำคัญผิดว่าลูกหนี้ยังไม่ได้ชำระเงินกู้ให้จำเลยซึ่งความจริงลูกหนี้ชำระให้เสร็จสิ้นแล้ว ดังนี้หาได้ไม่เพราะคำพิพากษาของศาลในคดีก่อนนั้นย่อมผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษานับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาจนถึงวันที่คำพิพากษาได้ถูกเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดเสียถ้าหากมีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
เรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีฝ่ายใดอ้างขึ้นมา เมื่อศาลฎีกาเห็นสมควรก็ยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินพิพาทหลังคำพิพากษาถึงที่สุด และอายุความฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง
เดิมจำเลยฟ้องหาว่าโจทก์บุกรุกที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์เข้าเกี่ยวข้อง โจทก์ต่อสู้ว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชนะคดี และนับวันที่ศาลชั้นต้นพิพากษา จำเลยได้เข้าครอบครองทำกินในที่พิพาทแต่ฝ่ายเดียว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้อง จำเลยคงครอบครองที่พิพาทตลอดมา โจทก์จึงฟ้องขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหาย การที่จำเลยครอบครองที่พิพาทระหว่างคดีในคดีก่อนนั้น จำเลยเข้าครอบครองโดยผลของคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ซึ่งมิใช่เป็นการแย่งการครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิแห่งการครอบครองดังกล่าวมายันโจทก์หาได้ไม่ ส่วนที่จำเลยครอบครองที่พิพาทตั้งแต่วันที่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้องมาจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกิน 1 ปีโจทก์หาหมดสิทธิฟ้องร้องไม่
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวยอมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้นเมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
ในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์และสามีเป็นฝ่ายครอบครองที่พิพาท จำเลยไม่ได้ครอบครอง จึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท คำพิพากษาดังกล่าวยอมผูกพันคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 จำเลยจะเถียงในคดีนี้ว่าจำเลยได้ครอบครองที่พิพาทหาได้ไม่
การที่จำเลยเข้าทำประโยชน์ในที่พิพาทระหว่างคดีเดิมนั้นเมื่อต่อมาศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดว่าจำเลยไม่มีสิทธิในที่พิพาทและคดีนี้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์การกระทำของจำเลยดังกล่าวย่อมเป็นการละเมิดต่อสิทธิของโจทก์ โจทก์เรียกค่าเสียหายได้แต่ค่าเสียหายที่เกิน 1 ปี ย่อมขาดอายุความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 207/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การช่วยเหลือผู้ถูกกล่าวหาที่ไม่ใช่ผู้กระทำผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189
ท.ถูกฟ้องว่าฆ่าผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ครั้นเมื่อศาลนัดฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ ท.หลบหนี ศาลออกหมายจับ ท. จำเลยให้พำนักและซ่อนเร้น ท. และบอก ท. ให้รู้ตัวเมื่อตำรวจมาตามจับ จำเลยก็ไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 189 เพราะตราบใดที่ยังไม่มีคำพิพากษาศาลสูงเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาศาลชั้นต้น ก็ต้องถือว่า ท. ไม่ใช่ผู้กระทำผิดในข้อหาฆ่าผู้อื่น และการที่ศาลออกหมายจับนั้น ก็เพื่อให้ได้ตัวมาฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ไม่ใช่เพราะกระทำผิดฐานหลบหนีไม่ไปศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1893/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชอบด้วยกฎหมายเมื่ออ้างว่าคดีมีมูลโดยไม่คัดค้านคำพิพากษาศาลล่าง และฎีกาข้อเท็จจริงได้เมื่อศาลล่างพิพากษาโดยข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ในข้อหาปลอมและใช้เอกสารปลอมโดยอ้างว่าคดีขาดอายุความแล้ว โจทก์ฎีกาว่าการนำสืบของโจทก์สำหรับข้อหาทั้งสองข้อเท็จจริงพอฟังว่าคดีมีมูลดังนี้ ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข้อหานำสืบแสดงพยานหลักฐานเท็จ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วว่าเอกสารที่จำเลยนำสืบเป็นเอกสารปลอมและในข้อหาเบิกความเท็จ วินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จในตอนใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาทั้งสองนี้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าเอกสารนั้นปลอม จำเลยเบิกความว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงไปตามความเชื่อของตนดังนี้ เป็นการวินิจฉัยในข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 และด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานเพิ่มเติม
ข้อหานำสืบแสดงพยานหลักฐานเท็จ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟังไม่ได้ว่าจำเลยรู้แล้วว่าเอกสารที่จำเลยนำสืบเป็นเอกสารปลอมและในข้อหาเบิกความเท็จ วินิจฉัยว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยเบิกความเท็จในตอนใด ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาทั้งสองนี้ว่ายังไม่มีการพิสูจน์ว่าเอกสารนั้นปลอม จำเลยเบิกความว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงไปตามความเชื่อของตนดังนี้ เป็นการวินิจฉัยในข้อเท็จจริงเมื่อศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์โดยข้อเท็จจริง โจทก์จึงฎีกาในข้อเท็จจริงไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 และด้วยเหตุนี้ จึงไม่ต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ที่ขอให้สืบพยานเพิ่มเติม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: เจ้าหนี้รายหลังมีสิทธิบังคับคดีได้ แม้มีคำพิพากษาในคดีก่อนหน้า
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1730/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณา: จำเลยไม่มีสิทธิฎีกาจนกว่าศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษา
คำสั่งของศาลอุทธรณ์ที่สั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์นั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้มีคำพิพากษา จำเลยไม่มีสิทธิฎีกา ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196